Research
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing Research by Title
Now showing 1 - 20 of 508
Results Per Page
Sort Options
Item กระดานยางพาราวาดภาพนูนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) เกยูร วงศ์ก้อม; ณัฐกฤตา สุวรรณทีปการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมยางพาราแผ่นสำหรับการทำกระดาน ยางพาราวาดภาพนูน และศึกษาประสิทธิภาพกระดานยางพาราวาดภาพนูนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น รวมทั้งศึกษาความคิดเห็นของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นและครูต่อการใช้กระดานยางพาราวาดภาพนูน กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นระดับประถมศึกษาปีที่ 5 - 6 และครูผู้สอนในโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ จำนวน 31 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ ผลการวิจัย พบว่า สามารถเตรียมยางพาราแผ่นสำหรับการทำกระดานวาดภาพนูนที่มีคุณลักษณะทางกายภาพเทียบเคียงได้กับแผ่นยางพอลิเมอร์ทางการค้า เมื่อนำแผ่นยางพาราไปประกอบเป็นชุดกระดาน ยางพาราวาดภาพนูนไปทดสอบประสิทธิภาพพบว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ผลการศึกษาความคิดเห็นของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นและครูต่อการใช้กระดานยางพาราวาดภาพนูนพบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดทั้งในรายบุคคลและภาพรวม สรุปได้ว่ากระดาน ยางพาราวาดภาพนูนมีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การใช้วาดภาพนูน สามารถช่วยส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นอันจะส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นItem กระบวนการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) จันทร์แรม เรือนแป้น; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; เขมภัทท์ เย็นเปี่ยม; สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์; ยุทธภูมิ ภู่ไพบูลย์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ตรวจสอบและเสนอแนวทางพัฒนานิเวศวิจัยของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต และ 2) พัฒนารูปแบบและแนวทางจัดการเรียนรู้ด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติวิธีการดำเนินงาน ประกอบด้วย การวิจัยเอกสารมหาวิทยาลัยต่างประเทศ 5 แห่ง การสัมภาษณ์เชิงลึกมหาวิทยาลัยในประเทศ 5 แห่ง การสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนานิเวศวิจัย 49 คน และการจัดสนทนากลุ่มอาจารย์ผู้สอน 9 คน เครื่องมือวิจัย คือ ประเด็นการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสาร แนวสัมภาษณ์เชิงลึก และแนวการสนทนากลุ่ม วิธีวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์เนื้อหา และการเปรียบเทียบข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบของนิเวศวิจัยที่ต้องตรวจสอบและพัฒนามี 3 ด้าน คือ ด้านนโยบายและการบริหารจัดการด้านเครือข่ายความร่วมมือ และด้านการจัดการสภาพแวดล้อมและสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ โดยแนวทางในการพัฒนา คือ 1.1) ใช้ระบบวิทยานิพนธ์อิเล็คทรอนิกส์ในการบริหารจัดการการทำวิทยานิพนธ์ทั้งกระบวนการ 1.2) ใช้ระบบการประชุมออนไลน์ในการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์ 1.3) จัดทำเอกสารตำราอิเล็กทรอนิกส์ที่ตรงกับสาขาวิชาที่เปิดสอน 1.4) ตรวจสอบการใช้งานฐานข้อมูลออนไลน์ทุกฐานที่มีและบริหารจัดการให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.5) สร้าง/ขยาย/พัฒนาความสัมพันธ์กับเครือข่ายเพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน 1.6) พัฒนาสมรรถนะบุคลากรห้องสมุด 1.7) กำหนดผู้รับผิดชอบและช่องทางการขอรับบริการที่ชัดเจน การพัฒนารูปแบบและแนวทางจัดการเรียนรู้ด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติ มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของวิธีสอนแบบเดิมที่เน้นทฤษฎี ขาดการปฏิบัติจริง ขาดการอภิปรายและการแบ่งปันประสบการณ์ การใช้หลักการสำคัญของการเรียนรู้จากการปฏิบัติเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ จะให้รายละเอียดใน 4 เรื่อง คือ 2.1) หลักการและแนวคิดของรูปแบบ 2.2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 2.3) กระบวนการเรียนรู้ของรูปแบบ 2.4) ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบItem กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมด้านการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สำหรับนักศึกษารายวิชาเทคโนโลยีข้าว(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) อานง ใจแน่นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษากระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตในการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน (2) เพื่อศึกษาผลการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ คณะโรงเรียนการเรือน ศูนย์การศึกษาลำปาง มหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาเทคโนโลยีข้าว ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 19 คน เครื่องมือวิจัย คือ (1) แบบสังเกตสังเกตการทำกิจกรรมและ (2) แบบประเมินความพึงพอใจกิจกรรมสาธิตการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนตามกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรูแบบมีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตใน การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่นักศึกษาสามารถปฏิบัติได้ ตามที่ผู้สอนสาธิต ทั้งในด้านการเตรียมวัตถุดิบ การปรุงประกอบ ตลอดจนลงมือปฏิบัติให้ได้เมนูขนมที่ถูกต้องบรรลุตามเป้าหมายการเรียนรู้ และผลการศึกษาความพึงพอใจในการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากที่สุด (คาเฉลี่ยเทากับ 4.62)Item กระบวนการยกระดับคุณภาพการบริการของแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สฤษดิ์ ศรีโยธิน; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; จิรัฐ ชวนชม; อัมพร ศรีประเสริฐสุข; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; พรเพ็ญ ไตรพงษการวิจัยนี้มุ่งศึกษา ดังนี้ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบระดับความคาดหวังในการบริการกับระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้ เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริการสำหรับผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3) เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร ได้แก่ ผู้ให้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร หน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ และนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการวิจัย พบว่า 1) นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีผลรวมความคาดหวังในการบริการที่มีต่อแหล่งเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก (คิดเป็นร้อยละ 80.71 จากคะแนนเต็ม 7) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า นักท่องเที่ยว ประเมินความพร้อมในการบริการที่ได้รับจากที่อื่นสูงกว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวได้รับจากการบริการที่ได้รับจากแหล่งเรียนรู้ในจังหวัดสุพรรณบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ด้านความสุภาพ อย่างคงเส้นคงวาไม่พบความแตกต่าง ผลการศึกษาระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการ และวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ พบว่า อยู่ในระดับมากเกิน 5.60 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 7) ยกเว้นคุณภาพการบริการด้านการเห็นอกเห็นใจ (ค่าเฉลี่ย = 5.56) และด้านสิ่งที่สัมผัสได้ (ค่าเฉลี่ย = 5.41) 2) ผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีการพัฒนาคุณภาพบริการแหล่งเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการ (ค่าเฉลี่ย = 4.03) ซึ่งเป็นเพียงด้านเดียว ที่มีค่าเฉลี่ยเกิน 4.00 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 5) ส่วนในด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยไม่ถึงเกณฑ์ 3) กระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การสำรวจความคาดหวังและการรับรู้คุณภาพการบริการ (2) ปรับปรุงแก้ไขปัญหาคุณภาพ การบริการในด้านต่าง ๆ (3) พัฒนาวิทยากร/นักสื่อความหมายให้มีคุณภาพ และ (4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้คุณภาพการบริการItem กระบวนการยกระดับสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2023) จิรัฐ ชวนชม; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พรเพ็ญ ไตรพงษ์; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; สฤษดิ์ ศรีโยธิน; ขจีนุช เชาวนปรีชา; นงลักษณ์ โพธิ์ไพจิตร; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศินงานวิจัย เรื่อง กระบวนการยกระดับสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี วัตถุประสงค์ของ การวิจัยเพื่อศึกษาความคาดหวังและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของนวัตกรรมการบริการการท่องเที่ยว ความสามารถการบูรณาการทางเทคโนโลยี ความร่วมมือในการจัดการการท่องเที่ยว ความเข้มแข็งของชุมชน การประเมินโอกาสทางการตลาดการท่องเที่ยว การประเมินสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ การประเมินสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวและสร้างกระบวนการการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยวิธีการแบบเจาะจง รวมผู้ให้ข้อมูลสำคัญรวมทั้งสิ้นจำนวน 50 คน การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับเกษตรกรในพื้นที่ จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ คะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ผลการวิจัยมีดังนี้ ความคาดหวังในการรับบริการต่อนวัตกรรมการบริการการท่องเที่ยว เชิงนิเวศเกษตรในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.19, S.D. = .69) ส่วนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.36, S.D. = .75) ความคาดหวังในการรับบริการต่อความสามารถการบูรณาการทางเทคโนโลยีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.14, S.D. = .70) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.34, S.D. = .74) ความคาดหวังในการรับบริการต่อความร่วมมือในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศใน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .71) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.39, S.D. = .75) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .71) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.39, S.D. = .75) ความคาดหวังในการรับบริการต่อความเข้มแข็งของชุมชนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .69) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .69) ความคาดหวังในการรับบริการต่อประเมินโอกาสทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศใน ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅ = 4.21, S.D. = .72) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อประเมินโอกาสทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.35, S.D. = .73) ความคาดหวังในการรับบริการต่อประเมินสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X̅ = 4.21, S.D. = .70) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 3.43, S.D. = .75) การประเมินสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.02, S.D. = .50) สำหรับกระบวนการการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อ เพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การดำเนินการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง โดยการดำเนินการเกษตรแบบครัวเรือนในการพึ่งพาตนเองและการรวมกลุ่มของเกษตรกรในพื้นที่เพื่อการพึ่งพาตนเอง ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรร่วมกับมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน ในการนำความรู้มาช่วยเหลือเกษตรในพื้นที่ในการพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และ ขั้นตอนที่ 3 การยกระดับเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม นำแนวคิดทางการบริหารมาปรับใช้ในการเกษตร ประกอบการตลาดดิจิทัลและนวัตกรรมการผลิตItem กระบวนการสร้างคุณค่าจากทุนทางสังคมวัฒนธรรมสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน ตำบลผาปัง อำเภอแม่พริก จังหวัด ลำาปาง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ขวัญนภา สุขคร; เสาวธาร สมานิตย์; ฐิติวรฎา ใยสำลี; สิทธา พงษ์ศักดิ์; สิรณัฐเศรษฐ สุภาจันทรสุข; ไผทเทพ ตุทานนท์; พัชพร วิภาศรีนิมิตการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อถอดบทเรียนการจัดการชุมชนบนฐานการพัฒนาตามศักยภาพและบริบทของชุมชน 2) เพื่อสังเคราะห์และนำเสนอกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน และ 3) เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลผาปัง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง ผลจากการวิจัยจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ เช่น ด้านวิชาการเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ (Paradigm shift) ของกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของ ชุมชน ด้านนโยบายได้ต้นแบบกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็ง และยั่งยืนของชุมชนที่สามารถประยุกต์ใช้ในพัฒนาชุมชนในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศได้ ด้านเศรษฐกิจการพัฒนาเกิดกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชน และเป็นกระบวนการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับทุกมิติของชุมชน พัฒนาจากฐานความรู้และสร้างมูลค่าเพิ่มจากทุนทางสังคมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ นำไปสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืนเศรษฐกิจชุมชน และภาพรวมของประเทศ และด้านสังคมและชุมชน เกิดกระบวนการในเชิงคุณค่านำไปสู่การพัฒนาชุมชนในมิติอย่างสมดุล ในการวิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR = Participatory Action Research) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ถูกต้อง และมีความน่าเชื่อถือจึง ได้กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจะมีความหลากหลายรูปแบบในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลตามประเภทของข้อมูลที่รวบรวมจากแหล่งต่าง ๆ ประกอบด้วย การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดเวทีประชาคม เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประชุมเชิงปฏิบัติการ สนทนากลุ่ม (Focus Group) การสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลทุติภูมิ โดยการรวบรวมมาจากหนังสือ ตำรา บทความ และงานวิจัยต่าง ๆ นั้นแล้วนำข้อมูลทั้ง 2 ประเภท มาตีความ จัดหมวดหมู่ สังเคราะห์ และวิเคราะห์ตามประเด็นที่กำหนด และมีการนำเครื่องมือมาตรวจสอบหาค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งมีค่า IOC ที่หาได้คือ 1.00 ผลของการวิจัยได้มาซึ่งกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็ง และยั่งยืนของชุมชนในรูปแบบ PHAPANG Model ประกอบด้วย กระบวนการที่ 1: ศักยภาพและทุนชุมชน มีการพัฒนาอย่างสมดุลและครอบคลุมทุก มิติ (P: Potential and community capital with balanced development and covering all dimensions) กระบวนการที่ 2: กระบวนการพัฒนาทุนมนุษย์ บนฐานองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างกระบวนการเชิงคุณค่าของชุมชน (H: Human capital development process on the basis of knowledge and innovation to create a value process for the community) กระบวนการที่ 3: การจัดการและการสร้างนวัตกรรมเพื่อการจัดการชุมชนด้วย กระบวนการจัดการความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ (A: Administration and innovation for community management with creative conflict management processes) กระบวนการที่ 4: การมีส่วนร่วมและเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมที่ยึดโยงฐานวัฒนธรรม วิถี ความเชื่อ อัตลักษณ์ และตัวตนของคนในชุมชน (P: Participation and strengthen the participation process that adheres to the cultural base, the way of belief, community identity and identity of people in the community) กระบวนการที่ 5: อัตลักษณ์ท้องถิ่นและการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ชุมชนต้นแบบ ความสุข สร้างสรรค์ ยั่งยืน (A: Authentic Local Identity and Creating Community’s Identity Brands for sustainable creative happiness) กระบวนการที่ 6: ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ (N: Notable local identity products) กระบวนการที่ 7: คุณค่าที่แท้จริงและกระบวนการสร้างคุณค่าและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยใช้ฐานภูมิปัญญาของชุมชน (G: Genuine value creation and the process of value creation and utilization of natural resources and the environment by adapting the local wisdom base) จากการวิเคราะห์บริบทชุมชน ศักยภาพความพร้อมของชุมชน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายในและภายนอกชุมชน โดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นำไปสู่การกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชุมชนร่วมกัน โดยได้ข้อสรุปภาพอนาคตและทิศทางการพัฒนาโดยนำเสนอใน 2 ประเด็นดังนี้ ประเด็นที่ 1 วิสัยทัศน์ในการพัฒนาชุมชน (วิสัยทัศน์: ชุมชนต้นแบบการจัดการชุมชนเชิงคุณค่า (ความสุข สร้างสรรค์ ยั่งยืน) ประเด็นที่ 2 ยุทธศาสตร์การพัฒนา โดยกำหนดแนวทางและ ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมโดยนำเสนอยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชุมชน ตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมใน 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) การจัดการองค์ความรู้ชุมชนและการบูรณาการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนโดยใช้กระบวนการเชิงคุณค่าเป็นฐานในการพัฒนา 2) เสริมสร้างศักยภาพการจัดการชุมชนเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมวิถีอัตลักษณ์ 3) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยใช้ฐานภูมิปัญญาของชุมชน และ 4) เสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาชุมชนในทุกมิติอย่างสมดุล โดยใช้ฐานภูมิปัญญาและนวัตกรรมItem กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรองรับสังคมสูงวัย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) กรวินท์ เขมะพันธุ์มนัส; กนกวรรณ ไทยประดิษฐการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุ 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคสูงอายุที่มีต่อร้านอาหารออนไลน์ และ 3) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรับสังคมสูงวัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นประชากรเป็นผู้สูงอายุในจังหวัดตรัง ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยในขั้นตอนแรกใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ จํานวน 10 คน แล้วนําไปสรุป เพื่อจัดทําแบบสอบถาม และเก็บข้อมูลในขั้นตอนที่สอง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในจังหวัดตรัง จํานวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจง ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความต้องการ้านอาหารออนไลน์ ของผู้บริโภคสูงอายุ ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสํารวจ แบบ Principal component analysis และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับการยอมรับด้วยการวิเคราะห์ด้วยสถิติกําลังสองน้อยที่สุดบางส่วน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุ ผู้สูงอายุมีระดับการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีความสนใจที่จะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์ และมีแนวโน้มจะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์ด้วยตนเองในระดับมาก และจะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์อย่างต่อเนื่องในระดับปานกลาง โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้สูงอายุ มีจํานวน 4 ปัจจัย เรียงลําดับความสําคัญ คือ ความเคยชิน สภาพสิ่งอํานวยความสะดวกในการใช้งานแรงจูงใจด้านความบันเทิง และอิทธิพล ของสังคม 2. พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคสูงอายุที่มีต่อร้านอาหารออนไลน์ ผู้สูงอายุมีความคิดจะสั่งอาหารออนไลน์จากอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ เดือนละ 1 - 3 ครั้ง ผ่านแอปพลิเคชันของร้านค้า และเลือกสั่งอาหารเพื่อสุขภาพ โดยจะจ่ายเงินสั่งอาหารออนไลน์ 100 299 บาทต่อครั้ง และจะจ่ายเงินค่าบริการจัดส่งอาหารจากร้านออนไลน์ 30 - 40 บาทต่อครั้ง โดยใหความสําคัญต่อบรรจุภัณฑ์ที่เก็บอาหารได้อย่างมิดชิด ถูกหลักอนามัย จัดส่งอาหารอย่างรวดเร็ว มีบริการจัดส่งอาหารถึงบ้าน และอาหารต้องปรุงสดใหม่ 3. กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรองรับสังคมสูงวัย (กลยุทธ์ 5Cs) Cleanliness (ความปลอดภัย) เกี่ยวข้องกับคุณภาพของอาหาร คุณค่าทางโภชนาการ วัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหาร และภาชนะบรรจุอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารที่เป็นอันตราย เหมาะสมกับราคา และผลิตจากร้านค้าที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ Confident (ความมั่นใจ) เกี่ยวข้องกับการเชื่อถือในตัวร้านอาหารออนไลน์ โดยได้รับข้อมูล แนะนําจากบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือจากสื่อต่างๆ รวมทั้ง มีร้านอาหารที่เป็นตัวอาคาร (Brick and mortar) ที่ก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้บริโภคสูงอายุ Conveyance (กระบวนการจัดส่ง) เกี่ยวข้องกับกระบวนการสั่งอาหาร มีช่องทางการสั่งอาหารที่สะดวก มีภาพอาหารให้เลือก จัดส่งอาหารถึงที่พัก และการรับชําระค่าอาหารปลายทาง Character (คุณลักษณะ) เกี่ยวกับภาพลักษณ์ของอาหารสวยงามน่ารับประทาน ลักษณะของอาหารปรุงสดใหม่ สามารถเก็บรักษาได้นาน และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน Convenience (ความสะดวก) ที่ช่วยให้การดําเนินชีวิตของผู้สูงอายุมีความสะดวกยิ่งขึ้น ได้แก่ จัดส่งอาหารอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องประกอบอาหารเอง ทําให้ประหยัดเวลาการปรุงอาหารหรือ การออกไปรับประทานนอกบ้านItem กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรองรับสังคมสูงวัย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) กรวินท์ เขมะพันธุ์มนัส; กนกวรรณ ไทยประดิษฐการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุ 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคสูงอายุที่มีต่อร้านอาหารออนไลน์ และ 3) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรับสังคมสูงวัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นประชากรเป็นผู้สูงอายุในจังหวัดตรัง ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยในขั้นตอนแรกใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ จํานวน 10 คน แล้วนําไปสรุป เพื่อจัดทําแบบสอบถาม และเก็บข้อมูลในขั้นตอนที่สอง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในจังหวัดตรัง จํานวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจง ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความต้องการร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุ ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสํารวจ แบบ Principal component analysis และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับการยอมรับด้วยการวิเคราะห์ด้วยสถิติกําลังสองน้อยที่สุดบางส่วน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุผู้สูงอายุมีระดับการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีความสนใจที่จะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์ และมีแนวโน้มจะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์ด้วยตนเองในระดับมาก และจะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์อย่างต่อเนื่องในระดับปานกลาง โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้สูงอายุ มีจํานวน 4 ปัจจัย เรียงลําดับความสําคัญ คือ ความเคยชิน สภาพสิ่งอํานวยความสะดวกในการใช้งาน แรงจูงใจด้านความบันเทิง และอิทธิพลของสังคม 2. พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคสูงอายุที่มีต่อร้านอาหารออนไลน์ ผู้สูงอายุมีความคิดจะสั่งอาหารออนไลน์จากอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ เดือนละ 1 - 3 ครั้ง ผ่านแอปพลิเคชันของร้านค้า และเลือกสั่งอาหารเพื่อสุขภาพ โดยจะจ่ายเงินสั่งอาหารออนไลน์ 100-299 บาทต่อครั้ง และจะจ่ายเงินค่าบริการจัดส่งอาหารจากร้านออนไลน์ 30 - 40 บาทต่อครั้ง โดยให้ความสําคัญต่อบรรจุภัณฑ์ที่เก็บอาหารได้อย่างมิดชิด ถูกหลักอนามัย จัดส่งอาหารอย่างรวดเร็ว มีบริการจัดส่งอาหารถึงบ้าน และอาหารต้องปรุงสดใหม่ 3. กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรองรับสังคมสูงวัย (กลยุทธ์ 5Cs) Cleanliness (ความปลอดภัย) เกี่ยวข้องกับคุณภาพของอาหาร คุณค่าทางโภชนาการ วัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหาร และภาชนะบรรจุอาหาร ที่สะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารที่เป็นอันตราย เหมาะสมกับราคา และผลิตจากร้านที่ค่าที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ Confident (ความมั่นใจ) เกี่ยวข้องกับการเชื่อถือในตัวร้านอาหารออนไลน์ โดยได้รับข้อมูล แนะนําจากบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือจากสื่อต่าง ๆ รวมทั้ง มีร้านอาหารที่เป็นตัวอาคาร (Brick and mortar) ที่ก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้บริโภคสูงอายุ Conveyance (กระบวนการจัดส่ง) เกี่ยวข้องกับกระบวนการสั่งอาหาร มีช่องทางการสั่ง อาหารที่สะดวก มีภาพอาหารให้เลือก จัดส่งอาหารถึงที่พัก และการรับชําระค่าอาหารปลายทาง Character (คุณลักษณะ) เกี่ยวกับภาพลักษณะของอาหารสวยงามน่ารับประทาน ลักษณะ ของอาหารปรุงสดใหม่ สามารถเก็บรักษาได้นาน และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน Convenience (ความสะดวก) ที่ช่วยให้การดําเนินชีวิตของผู้สูงอายุมีความสะดวกยิ่งขึ้น ได้แก่ จัดส่งอาหารอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องประกอบอาหารเอง ทําให้ประหยัดเวลาการปรุงอาหาร หรือการออกไปรับประทานนอกบ้านItem กลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรอุตสาหกรรมการบริการที่พักเพื่อให้ได้มาตรฐานวิชาชีพ(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วริษฐา แก่นสานสันติ; รุ่งนภา เลิศพัชรพงศ์; บุญญลักษม์ ตำนานจิตรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพของบุคลากรอุตสาหกรรมด้านที่พัก 2) เพื่อศึกษาความต้องการพัฒนาทักษะวิชาชีพอุตสาหกรรมด้านที่พัก 3) เพื่อประเมินการอบรมการพัฒนาทักษะวิชาชีพอุตสาหกรรมด้านที่พัก และ 4) เพื่อพัฒนาคู่มือการปฏิบัติงานบุคลากรอุตสาหกรรมด้านที่พัก วิธีการดำเนินการวิจัยแบบผสม (Mixed Method Research) ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานโรงแรม ในสถานที่พักในเขตอารยธรรมล้านนา ได้แก่ จังหวัดลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูนและน่าน จำนวน 403 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในงานวิจัยใช้จำนวนร้อยละ (Percent) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างประกอบไปด้วย ผู้บริหารโรงแรม นักวิชาการ บุคลากรภาครัฐ และผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว สมาคมการท่องเที่ยว และพนักงานที่พัก โดยการสัมภาษณ์บุคลากรทั้ง 4 กลุ่มละ 5 คน รวม 20 คน โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) โดยอาศัยหลัก/ทฤษฎีการนำเสนอจะใช้วิธีการนำเสนอโดยการเขียนบรรยายเชิงพรรณนา (Descriptive Approach) ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 403 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 21-30 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ทำงานอยู่ในแผนก/ฝ่ายต้อนรับส่วนหน้า มีประสบการณ์การทำงาน ด้านโรงแรม 1-5 ปี มีรายได้รวมทั้งหมด 7,001-10,000 บาท ด้านศักยภาพของบุคลากรอุตสาหกรรมด้านที่พัก พบว่า ภาพรวมกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีศักยภาพด้านที่พักในระดับมาก ขณะที่ทักษะด้านภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับน้อยที่สุด ผลการวิเคราะห์ความต้องการในการพัฒนาวิชาชีพอุตสาหกรรมด้านที่พัก พบว่า มีความต้องการพัฒนาตนเองในระดับมาก และหลักสูตรพัฒนาทักษะวิชาชีพที่ต้องการเพิ่มศักยภาพการทำงาน ได้แก่ หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในโรงแรมมากที่สุด และผลจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงแรม พบว่า ต้องการให้พนักงานพัฒนาตนเองด้านจิตวิทยาการบริการและทักษะภาษาอังกฤษ ร้อมที่จะสนับสนุนพนักงานไปอบรมพัฒนาทักษะวิชาชีพตามความเหมาะสม หลังจากที่ได้ทำการอบรมเรียบร้อยแล้ว จึงได้พัฒนาคู่มือการปฏิบัติงานบุคลากรอุตสาหกรรมด้านที่พักให้กับบุคลากรด้านที่พักเพื่อให้ได้ทบทวนและศึกษาซ้ำ และให้บุคลากรที่ไม่ได้เข้าอบรมได้รับความรู้และพัฒนาตนเองได้จากคู่มือเช่นกันItem กลยุทธ์การพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; ภิสุดา แสงซื่อ; นพมาศ กลัดแก้วงานวิจัยเรื่องกลยุทธ์การพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาบริบทของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยว ศักยภาพสูง 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง และ 3) เสนอกลยุทธ์การพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง การศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยแบบผสม ในส่วนของวิธีวิจัยเชิงปริมาณนั้นใช้การแจกแบบสอบถาม จำนวน 826 ชุด แก่นักท่องเที่ยวศักยภาพสูง โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จำนวน 426 ชุด และนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 400 ชุดในพื้นที่ท่องเที่ยวหลักของประเทศ 3 พื้นที่ ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี และสุราษฏร์ธานี ในส่วนของการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ได้ใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการด้านบริการการท่องเที่ยวและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวหรูหรา จำนวน 20 คน บริบทในภาพรวมของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ของจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเพราะมีสิ่งดึงดูดใจด้านการท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและแบบที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมไปถึงลักษณะวิถีความเป็นอยู่ และอัธยาศัยใจคอของคนไทย ล้วนแล้วแต่เอื้อต่อการท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่งในส่วนของอุปทานด้านการท่องเที่ยวในส่วนของการพัฒนาการท่องเที่ยวหรูหรานั้น พบว่า ประเทศไทยมีที่พักแรมระดับห้าดาวขึ้นไปเพียงพอ มียานพาหนะที่หรูหรา มีร้านอาหารที่หรูหราใช้วัตถุดิบดี มีบุคลากรที่ได้รับการศึกษาและการอบรม เพื่อสร้างคุณภาพการบริการที่เป็นเลิศ ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถเป็น ‘Luxury leisure destination’ ได้อย่างไรก็ตามทุกจุดของประเทศไทยไม่สามารถเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแบบหรูหรา มีเพียงเฉพาะบางจุดเท่านั้น เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพไม่สูง และมีภาพลักษณ์ของการเป็นประเทศที่ Value for Money ดังนั้น ภาพลักษณ์ของการเป็น Luxury leisure destination จึงยังไม่ชัดเจนนักในสายตานักท่องเที่ยวทั้งทั้งที่ประเทศไทยมีศักยภาพ ดังนั้นต้องเริ่มต้นจากการจัด Segment หรือการแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้ชัด มีการแบ่งโซน บริการทางการท่องเที่ยวให้ชัด ณ.วันนี้ ประเทศไทยพยายามจับกลุ่มเป้าหมายด้านการท่องเที่ยวหรูหราแบบเฉพาะกลุ่ม โดยวางตำแหน่งทางการตลาดให้ประเทศไทยเป็น Luxury wedding and honeymoon destination, Luxury MICE destination, Luxury yacht destination, Luxury medical and wellness destination, Luxury sport tourism destination โดยจุดเน้นหลักของการท่องเที่ยวหรูหราในประเทศไทย คือ การดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่การได้รับประสบการณ์จากสถานที่ที่ไปไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่หรูหรา หรือประสบการณ์ที่ได้สัมผัสถึงความจริงแท้ ความเป็นธรรมชาติและความเป็นท้องถิ่นของพื้นที่นั้น ๆ พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติศักยภาพ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรป เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง มีช่วงอายุ 21-30 ปี มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพด้านบริการ และส่วนมากจะเป็น เจ้าของธุรกิจแต่มีรายได้ 25,001-30,000 $ ส่วนในด้านประสบการณ์และพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงของประเทศไทย พบว่า ในรอบ 5 ปี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงานต่างประเทศ จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางเพื่อพักผ่อนต่างประเทศ จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงาน/พักผ่อนในสถานที่ ท่องเที่ยวต่างประเทศแห่งหนึ่งนานมากกว่า 7 วัน จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงาน/ พักผ่อนในสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศแห่งหนึ่งนานมากกว่า 7 วัน จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อธุรกิจหรือการงานเป็นเดินทางมาครั้งแรก และในประเด็นเคยเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อพักผ่อนนั้น นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทย 2-5 ครั้งผ่านการรับรู้ข้อมูลการท่องเที่ยวของจังหวัดนี้ผ่านช่องทางสื่อใหม่ (เว็บไซต์/ Blog/ เครือข่ายออนไลน์ เป็นต้น) ใช้ระยะเวลา น้อยกว่า 7 วัน ในการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดนี้ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา โดยวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดที่เดินทางมาคือ ต้องการพักผ่อน และส่วนใหญ่จะจัดการการเดินทางด้วยตนเอง โดยเลือกประเภทของที่พักแรมเป็นโรงแรม และร่วมเดินทางมากับเพื่อนน้อยกว่า 3 คน ใช้ระยะเวลาตลอกทั้งทริปน้อยกว่า 7 วัน ใช้งบประมาณทั้งหมดประมาณ 10,001-30,000 $ พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันตก จำนวน 127 คน คิดเป็นร้อยละ 31.67 เป็นเพศชายน้อยกว่าเพศหญิง จำนวน 236 คน คิดเป็นร้อยละ 58.85 มีช่วงอายุอยู่ระหว่าง 21-30 ปี จำนวน 199 คน ร้อยละ 49.63 มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี จำนวน 245 คน คิดเป็นร้อยละ 61.10 ประกอบอาชีพ ด้านบริการ จำนวน 119 คน คิดเป็นร้อยละ 29.68 และส่วนมากเป็นพนักงานระดับผู้ปฎิบัติการ จำนวน 150 คน คิดเป็นร้อยละ 37.41 โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ประมาณรายได้ รายได้ต่ำกว่า 300,000 บาท จำนวน 273 คน คิดเป็นร้อยละ 68.08 ไทย ด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงของประเทศไทย พบว่า ในรอบ 5 ปี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงานต่างประเทศเป็นครั้งแรก เดินทางเพื่อพักผ่อนต่างประเทศ จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงาน/พักผ่อนในสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศแห่งหนึ่งนานมากกว่า 7 วัน เป็นครั้งแรก เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงาน/พักผ่อนในสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศแห่งหนึ่งนาน มากกว่า 7 วัน และเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อธุรกิจหรือการงาน จำนวน 2-5 ครั้ง และในประเด็นเคยเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อพักผ่อนนั้น นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยเป็น 2-5 ครั้ง ผ่านการรับรู้ข้อมูลการท่องเที่ยวของจังหวัดนี้ผ่านช่องทางสื่อใหม่ (เว็บไซต์/ Blog/ เครือข่ายออนไลน์ เป็นต้น)Item กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดเพื่อส่งเสริมสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทย กรณีศึกษา จังหวัดลำปาง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) เธียรรัตน์ ฉัตรภัทรพล; ไกรศักดิ์ พิกุลโครงการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (2) เพื่อศึกษาตลาดเป้าหมายของประชากรสูงวัยต่อสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (3) เพื่อสร้างกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดต่อประชากรสูงวัยสำหรับสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว ซึ่งได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางท่องเที่ยวจังหวัดลำปาง อายุ 55-70 ปี จำนวน 400 คน สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้มีการสัมภาษณ์ผู้ให้บริการ รวมทั้งประชุมกลุ่มย่อย โดยผลการศึกษา พบว่า เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในจังหวัดลำปาง ประกอบด้วย ด้านสินค้าเชิงสุขภาพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ในขณะที่ด้านบริการเชิงสุขภาพ ได้แก่ การบริการบ่อน้ำผุร้อนโดยอุทยานแจ้ซ้อน, บ้านโป่งน้ำร้อน เป็นต้น สำหรับตลาดเป้าหมายของประชากรต่อสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว พบว่า มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 15,000 ถึง 25,000 บาทต่อเดือน ทำอาชีพเป็นเจ้าของธุรกิจและข้าราชการเกษียณ มีภูมิลำเนามาจากจังหวัดภาคเหนือ ชอบท่องเที่ยวกับเพื่อนมากกว่าท่องเที่ยวกับครอบครัวสำหรับการสร้างกลยุทธ์การสื่อสาร การตลาดได้มีการพัฒนามาจากการวิเคราะห์แนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การวิเคราะห์ ความต้องการของนักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุ การค้นหาจุดเด่นของพื้นที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การวางแผนการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการวางแผนการตลาดการสื่อสาร รวมทั้งการลงกิจกรรมในปฏิทินการตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อีกทั้งยังนำผลการศึกษาที่ได้ไปทำการประชุมกลุ่มย่อยกับผู้ให้บริการ พบว่า กลยุทธ์การส่งเสริมกิจกรรมการสื่อสารการตลาดเกี่ยวกับกิจกรรมท่องเที่ยวปลอดสารเคมี, กิจกรรมท่องเที่ยวในพื้นที่ปลีกวิเวก, การตั้งศูนย์การให้ข้อมูล กิจกรรมการท่องเที่ยว, การส่งเสริมอีเว้นท์ที่เปลี่ยนแปลงได้, การส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยวกับเพื่อนไม่ลำพัง, และการส่งเสริมกิจกรรมรับสิ่งใหม่ ให้สิ่งเก่า ทั้งนี้กลยุทธ์การส่งเสริมกิจกรรมดังกล่าว อยู่บนแนวคิด การค้นหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ในเรื่องราวเก่า ๆ (ที่ไม่หมุนตามกาลเวลา) และแบ่งปันประสบการณ์เก่า ๆ กับผู้คนใหม่ ๆ (บนความสุขที่ไม่ลำพัง) ทั้งนี้ผลการศึกษาหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดลำปาง และหน่วยงานเอกชน ได้แก่ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม บริการและการท่องเที่ยวในจังหวัดลำปาง สามารถนำกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดไปใช้เพื่อดึงดูด นักท่องเที่ยวกลุ่มสูงวัยต่อไปนี้ในอนาคตItem กลยุทธ์การสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์สำหรับสถาบันอุดมศึกษา(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2024) ศุภศิริ บุญประเวศ; กาญจนา ผิวงาม; สุภัค เนตรบุษราคำการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศและต่างประเทศ 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันอุดมศึกษาจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ 3) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์สำหรับสถาบันอุดมศึกษา ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ 1) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง อาจารย์ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยจำนวน 100 คน โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างโดยการบังเอิญ (Accidental Sampling) 2) ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร ด้านการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ และด้านการบริหารการศึกษาจำนวน 5 คน โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง 3) สถาบันอุดมศึกษาในประเทศ จำนวน 7 แห่ง และสถาบันอุดมศึกษาในต่างประเทศ จำนวน 5 แห่ง โดยเป็นการศึกษาเฉพาะกรณี (Case Study) ใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์รูปแบบการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันอุดมศึกษา 2) แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันอุดมศึกษา 3) แบบสัมภาษณ์การสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันอุดมศึกษา 4) แบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และการรับรองรูปแบบกลยุทธ์การสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันอุดมศึกษา สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency Distribution) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การคำนวณค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (Modified Priority Needs Index: PNI) การหาค่าความเที่ยง การหาค่าความเชื่อมั่น ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) จากการศึกษารูปแบบการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันอุดมศึกษาในประเทศ 10 แห่ง และต่างประเทศ 10 แห่ง โดยศึกษารูปแบบการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ทั้ง 5 ประเภท พบว่า 1) รูปแบบการนำเสนอ ใช้ข้อความหรือตัวอักษรที่มีขนาดสั้นและใช้แฮชแท็ก (#) ในทุกข้อความ มีการใช้ภาพนิ่งหรือคลิปวิดีโอขนาดสั้นตามลักษณะของสื่อสังคมออนไลน์แต่ละประเภท 2) ความถี่ในการสื่อสาร มีการนำเสนอเนื้อหา 1-3 โพสต์ต่อวัน โดยมีช่วงเวลาที่แตกต่างกัน 3) ประเภทของเนื้อหา ได้แก่ 3.1) การสร้างและการประกาศตัวตน 3.2) การนำเสนอเนื้อหาหรือข่าวสารที่น่าสนใจ 3.3) การเผยแพร่กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมในกิจกรรม และ 4) ลักษณะการสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นการสื่อสารทางเดียว 2) ผลการพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์สำหรับสถาบันอุดมศึกษา ลักษณะสำคัญของกลยุทธ์มี 5 องค์ประกอบ คือ 1) ช่องทางการเข้าถึง 2) รูปแบบการนำเสนอ 3) ความถี่ในการสื่อสาร 4) เนื้อหา และ 5) ลักษณะการสื่อสารItem กลยุทธ์การสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์สำหรับสถาบันอุดมศึกษา : รายงานกิจกรรมจัดการความรู้และถ่ายทอดผลงานวิจัย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2024) ศุภศิริ บุญประเวศ; กาญจนา ผิวงาม; สุภัค เนตรบุษราคำการจัดกิจกรรมจัดการความรู้และถ่ายทอดผลงานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อเผยแพร่กลยุทธ์การสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์สำหรับสถาบันอุดมศึกษา โดยมีวิธีการดำเนินงานคือ 1. ประชาสัมพันธ์และรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม โดยมุ่งเน้นที่บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการประชาสัมพันธ์ การรับสมัครนักศึกษา หรือผู้ที่ดูแลช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ทั้งในระดับหลักสูตร คณะ สถาบัน 2. ดำเนินการจัดกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์ผ่านช่องทางซูม (Zoom) เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม 3. สรุปผลการดำเนินงาน ผลการดำเนินงานการจัดการความรู้และถ่ายทอดผลงานวิจัยในครั้งนี้ ปรากฏผลดังนี้ ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมจัดการความรู้และถ่ายทอดผลงานวิจัยทั้งหมด 332 คน โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 268 คน คิดเป็นร้อยละ 80.72 จากผลการดำเนินงานนำมาสู่การสรุปผลรายด้าน ดังนี้ 1. ผลการสำรวจความพึงพอใจต่อกลยุทธ์การสื่อสารบนสื่อสังคมออนไลน์ของสถาบันอุดมศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.61) 2. ด้านความรู้ความเข้าใจหลังการเข้าร่วมกิจกรรม (ค่าเฉลี่ย 4.46) สูงกว่าก่อนร่วมกิจกรรม (ค่าเฉลี่ย 3.49) 3. ด้านภาพรวมความพึงพอใจต่อการเข้าอบรม พบว่า ผู้เข้าอบรมมีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.63 คิดเป็นร้อยละ 92.67 เมื่อพิจารณาจำแนกรายประเด็นพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความพีงพอใจในระดับพอใจมากที่สุดทุกประเด็น โดยประเด็นที่มีความพึงพอใจสูงที่สุดคือ ประโยชน์ที่ได้รับจากการอบรม ค่าเฉลี่ย 4.68 คิดเป็นร้อยละ 93.60 รองลงมาคือ ความพร้อมของอุปกรณ์โสตทัศนูปกรณ์ ค่าเฉลี่ย 4.65 คิดเป็นร้อยละ 93.00 ประเด็น ความเหมาะสมของระยะเวลาในการอบรม และประเด็นการลงทะเบียนเข้าร่วมอบรม ได้รับความสะดวก มีคะแนนความพึงพอใจเท่ากัน ค่าเฉลี่ย 4.64 คิดเป็นร้อยละ 92.80 ความพร้อมและความเหมาะสมของการจัดอบรม ค่าเฉลี่ย 4.61 คิดเป็นร้อยละ 92.20 และได้รับความรู้ ความเข้าใจ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการอบรม ค่าเฉลี่ย 4.58 คิดเป็นร้อยละ 91.60 ตามลำดับItem การจัดการความรู้ด้านองค์ประกอบการท่องเที่ยว (5A’s) ที่สอดคล้องกับบริบทการส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ประศาสน์ นิยม; รุ่งนภา เลิศพัชรพงศ์; พรภัทร อินทรวรพัฒน์การวิจัยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและอุปสรรคในการจัดการความรู้ด้านองค์ประกอบการท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อรองรับการพัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ทั้งภาครัฐ ชุมชน และนักท่องเที่ยว และ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการความรู้ด้านองค์ประกอบการท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้วยการเพิ่มมูลค่าของภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเพื่อรองรับการพัฒนาเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก การวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวภาครัฐและภาคธุรกิจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้แบบการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง การวิจัยเชิงปริมาณประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวไทยในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสำรวจ ผลการวิจัยมีดังนี้ ภาครัฐทั้งในระดับประเทศและระดับกระทรวงกำหนดนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพอย่างชัดเจน ส่วนระดับจังหวัดมีความพร้อมของทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแตกต่างกัน ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวมีความต้องการตามองค์ประกอบการท่องเที่ยว5 ด้าน เรียงตามลำดับดังนี้ 1) สิ่งอำนวยความสะดวก (Amenities) 2) ที่พัก (Accommodation) 3) สิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยว (Attraction) 4) กิจกรรมการท่องเที่ยว (Activities) และ 5) ความสามารถในการเข้าถึงง่าย (Accessibility) กิจกรรมการท่องเที่ยเชิงส่งเสริมสุขภาพ สามารถแบ่งได้ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 2) การนวดไทยและสปา 3) การออกกำลังกาย และ 4) การพัฒนาจิตใจ ส่วนแนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ควรพัฒนาควบคู่กันระหว่าง EEC 4ดีองค์ประกอบการท่องเที่ยว 5A และกระบวนการจัดการความรู้ 7 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การบ่งชี้ความรู้2) การสร้างและแสวงหาความรู้ 3) การจัดเก็บความรู้ให้เป็นระบบ 4) การประมวลและกลั่นกรองความรู้ 5) การเข้าถึงความรู้ 6) การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ และ 7) การเรียนรู้Item การจัดการประสบการณ์ร่วมสมัยเพื่อการพัฒนาตนเองของนักท่องเที่ยวผ่านการเรียนรู้จากธรรมชาติ วัฒนธรรม และกิจกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) เตชิตา ภัทรศร; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; ปิยะดา ศรีบุศย์ดี; ณัฐรฐนนท์ กานต์รวีกุลธนา; ณัชชา ถาวรบุตรงานวิจัยเรื่องการจัดการประสบการณ์ร่วมสมัยเพื่อการพัฒนาตนเองของนักท่องเที่ยวผ่านการเรียนรู้จากจากธรรมชาติ วัฒนธรรมและกิจกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาและวิเคราะห์บริบททางการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่สามารถก่อให้เกิดการค้นหาตัวตน และแรงจูงใจเพื่อพัฒนาตนเองของนักท่องเที่ยวในพื้นที่ศึกษา 2) ศึกษาพฤติกรรมด้านการค้นหา ตัวตน และแรงจูงใจเพื่อพัฒนาตนเองของนักท่องเที่ยวผ่านการเรียนรู้จากธรรมชาติ วัฒนธรรม และกิจกรรมการท่องเที่ยวที่มีต่อแนวโน้มพฤติกรรมการท่องเที่ยวในอนาคต 3) เสนอแนวทางและการสร้างรูปแบบการจัดการประสบการณ์ร่วมสมัยเพื่อการพัฒนาตนเองของนักท่องเที่ยวผ่านการเรียนรู้จากธรรมชาติ วัฒนธรรมและกิจกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย โครงการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ และใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวไทย สถิติที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) และสถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistics) ผลการวิจัยจากบริบททางการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่สามารถก่อให้เกิดการค้นหาตัวตน และแรงจูงใจเพื่อพัฒนาตนเองของนักท่องเที่ยวในพื้นที่ศึกษาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีศักยภาพและสภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และสวยงาม แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่น ความเป็นมิตรของคนท้องถิ่น และกิจกรรม การท่องเที่ยวที่หลากหลายก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง สร้างประสบการณ์ใหม่ และสร้างความทรงจำที่ดีกับนักท่องเที่ยวจากการสำรวจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 21 - 35 ปี การศึกษาอยู่ในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท มีที่พำนักในภาคกลาง เคยมาท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 1 - 3 ครั้ง ระยะเวลาที่ใช้ในการท่องเที่ยวประมาณ 1 - 3 วัน ค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวต่ำกว่า หรือเท่ากับ 5,000 บาท เดินทางมาท่องเที่ยวกับครอบครัว/ญาติ พี่น้อง ที่พักที่เลือกใช้บริการ คือ รีสอร์ท ฤดูใดที่ชอบเดินทางมาท่องเที่ยวมากที่สุดคือ ฤดูหนาว (กลางเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์) อีกทั้งมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในการตัดสินใจท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และปัจจัยด้านสิ่งที่ดึงดูดใจให้ท่านท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยด้านแรงจูงใจในการเรียนรู้ของนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่า แรงจูงใจในการเรียนรู้และประสบการณ์จากการท่องเที่ยวโดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการประเมินระดับความคาดหวัง/ความต้องการ และระดับการพัฒนาตนเองจากการท่องเที่ยวในประจวบคีรีขันธ์ พบว่า ด้านทักษะการพัฒนาตนเอง และด้านการยอมรับตนเองในการพัฒนาตนเองของนักท่องเที่ยวให้สนใจต่อประเด็นนี้ในระดับสูงกว่าด้านสุขภาพ และความสุขในการพัฒนาตนเอง และด้านความสำเร็จในการพัฒนาตนเอง ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1. ปัจจัยด้านพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในการตัดสินใจท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และปัจจัยด้านประสบการณ์จากการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ส่งผลต่อปัจจัยด้าน แรงจูงใจในการเรียนรู้ของนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คือ 1) ประสบการณ์ ด้านกิจกรรมท่องเที่ยว 2) ด้านสิ่งที่ดึงดูดใจให้ท่านท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3) ประสบการณ์ ด้านศิลปวัฒนธรรม 4) ประสบการณ์ด้านธรรมชาติ 5) ด้านการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวใน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์จากสื่อต่าง ๆ ตามลำดับ 2. ปัจจัยด้านพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในการตัดสินใจท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และปัจจัยด้านประสบการณ์จากการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ส่งผลต่อปัจจัย ด้านความต้องการในการพัฒนาตนเองจากการท่องเที่ยวในประจวบคีรีขันธ์ คือ 1) ประสบการณ์ ด้านธรรมชาติ 2) ด้านสิ่งที่ดึงดูดใจให้ท่านท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 3) ด้านการรับรู้ข้อมูล เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จากสื่อต่างๆ 4) ประสบการณ์ด้านศิลปวัฒนธรรม 5) ประสบการณ์ด้านกิจกรรมท่องเที่ยว ตามลำดับ 3. ปัจจัยด้านแรงจูงใจในการเรียนรู้ของนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์และปัจจัยด้านความต้องการในการพัฒนาตนเองจากการท่องเที่ยวในประจวบคีรีขันธ์ ส่งผลปัจจัยด้านแนวโน้มพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาตนเองของนักท่องเที่ยวผ่านการเรียนรู้จากธรรมชาติ วัฒนธรรมและกิจกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย คือ 1) ด้านทักษะการพัฒนาตนเอง 2) ด้านธรรมชาติ 3) ด้านการยอมรับตนเองในการพัฒนาตนเอง 4) ด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวที่สนใจเรียนรู้เพิ่มเติม 5) ด้านความสำเร็จในการพัฒนาตนเอง 6) ด้านวัฒนธรรม 7) ด้านสุขภาพและความสุขในการพัฒนาตนเอง ตามลำดับItem การจัดการปริมาณและคุณภาพน้ำในโรงเรือนที่เหมาะสมร่วมกับการจัดช่วงคลื่นแสงต่าง ๆ เพื่อยกระดับผลผลิตพืชโรงเรือนในพื้นที่ภาคกลางในภาวะภัยแล้ง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สุรชาติ สินวรณ์; ณัฐบดี วิริยาวัฒน์; ทิพาวรรณ วรรณขัณฑ์; วราภรณ์ เศรษฐพฤกษาการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาคลื่นแสงเสริมที่เหมาะสมกับการเติบโต และผลผลิตมะเขือเทศในโรงเรือน 2. วิเคราะห์ต้นทุน-รายได้ของการใช้เทคโนโลยีคลื่นแสงเสริมที่เหมาะสมในการเพิ่มผลผลิตมะเขือเทศในโรงเรือน 3. เพื่อส่งเสริมการปลูกมะเขือเทศในโรงเรือนโดยใช้คลื่นแสง เสริมที่เหมาะสมไปยังวิสาหกิจชุมชนอื่น ๆ ในพื้นที่เป้าหมาย และ 4. ลดปริมาณการใช้น้ำในโรงเรือน ลงไปร้อยละ 20 โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่างในส่วนที่ 1 คือ การพัฒนาสารปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนเข้าระบบน้ำหยดในโรงเรือนออกแบบการทดลองแบบ CRD จำนวน 8 ตำรับการทดลอง เพื่อทดสอบผลต่อคุณภาพน้ำอันได้แก่ ค่าความเป็นกรด-ด่าง อุณหภูมิของน้ำ ค่าปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลาย (BOD) ค่าปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ (DO) ค่าฟอสฟอรัส ค่าการน้ำ ไฟฟ้า ค่าไนเตรท และค่าไนไตร์ทในน้ำตัวอย่าง ทำการทดสอบ 3 ซ้ำ ส่วนที่ 2 การพัฒนาแสงเสริมในการปลูกมะเขือเทศในโรงเรือน โดยออกแบบการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design ; RCBD Split Plot โดยแบ่ง Main Plot เป็นชนิดของการให้แสง และ Subplot เป็นแบบความเข้มแสงที่ระดับ 150 และ 200 mmol-1s-2 โดยแต่ละแถว Main Plot ได้แก่ A B C D และควบคุม จะมีการปลูกมะเขือเทศจำนวนแถวละ 40 ต้น โดยแบ่งเป็นความเข้มแสงที่ระดับ 150 mmol-1s-2 จำนวน 20 ต้น และ 200 mmol-1s-2 และจำนวน 20 ต้น ส่วนแถวควบคุมจะมี 40 ต้น โดยให้แสงเสริมในช่วง 18.00 -22.00 น. ทุกวัน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลในส่วนการเติบโตและผลผลิต ต้นทุน-รายได้ และร้อยละของการประหยัดน้ำในการปลูกเปรียบเทียบกับผลผลิต โดยเครื่องมือที่อุปกรณ์ในการศึกษาในการวิเคราะห์โครงสร้างและคุณลักษณะของสารปรับปรุงคุณภาพน้ำ และการวิเคราะห์คลื่นและความเข้มแสงเสริม รวมถึงการวัดขนาดน้ำหนัก และคุณภาพของผลผลิตมะเขือเทศ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความแปรปรวน (ANOVA) ผลการวิจัยมีดังนี้ ในส่วนที่ 1 การพัฒนาสารปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนเข้าระบบน้ำหยด พบว่า สารที่พัฒนาขึ้นในทุกตำรับการทดลองสามารถบำบัดคุณภาพน้ำได้ดี โดยในส่วนตำรับ การทดลองที่ 4 (ซีโอไลต์ชนิดผง 1 กรัม + ไทเทเนียม 0.01 กรัม + ไคโตซานผง 0.03 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร) สามารถทำให้ค่าเฉลี่ยต่ำ ได้แก่ BOD เท่ากับ 3.37 mg/l ค่าฟอสฟอรัส เท่ากับ 0.001 mg/l และค่าการนำไฟฟ้า เท่ากับ 1,224.33 ms/cm ขณะที่ตำรับการทดลองที่ 7 ให้ค่าเฉลี่ย DO เฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 8.4 mg/l และให้ค่าไนไตร์ทเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 0.0029 ml/g ค่าไนเตรทเท่ากับ 0.66 mg/g ส่วนตำรับการทดลองที่ 8 ให้ค่าความเป็นกรด-ด่างเป็นกรดที่สุดอยู่ระหว่าง 7.28 และอุณหภูมิ ในน้ำให้ค่าใกล้เคียงกันในทุกตำรับการทดลอง ส่วนที่ 2 ในการพัฒนาคลื่นแสงเสริมต่อมะเขือเทศในโรงเรือนแบบกึ่งปิด (ปิดในช่วง 11.00-14.00 น.) ที่เหมาะสมในช่วงฤดูแล้ง โดยการให้คลื่นแสงเสริมระหว่างสีแดงและสีน้ำเงิน อัตรา 1:1 ที่ความเข้มแสง 200 mmol-1s-2 ร่วมกับแสงสีขาวที่ 3000 K ซึ่งทำให้มะเขือเทศในโรงเรือนตอบสนองในรูปแบบการเติบโตทั้งจำนวนข้อที่เฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 80.4 ข้อ เส้นรอบลำต้นที่ค่าเฉลี่ย 5.06 cm น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งของส่วนรากและลำต้น เท่ากับ 1,105.3 g ผลผลิตทั้งในส่วนน้ำหนักผลเฉลี่ยสูงสุดต่อต้นเท่ากับ 1228.5 g และความหวานเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 12 องศาบริกซ์ รวมถึงสามารถประหยัดน้ำจากการเพาะปลูก ถึงร้อยละ 33.33 เมื่อเปรียบเทียบกับตำรับการทดลองควบคุมItem การจัดการมูลฝอยอันตรายจากบ้านเรือนในกรุงเทพมหานครฯ โดยการวิเคราะห์การไหลของวัสดุ กรณีศึกษาโทรศัพท์มือถือ(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สิรวัลภ์ เรืองช่วย ตู้ประกาย; เสรีย์ ตู้ประกายการศึกษาเรื่องการจัดการมูลฝอยอันตรายจากบ้านเรือนในกรุงเทพมหานครฯ โดยการวิเคราะห์การไหลของวัสดุ กรณีศึกษาโทรศัพท์มือถือ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. วิเคราะห์สัดส่วนมูลฝอยอันตรายต่อมูลฝอยจากบ้านเรือนทั้งหมด 2. สำรวจประเภทและปริมาณของซากโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริม และ 3. วิเคราะห์การไหลของวัสดุของโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริม โดยศึกษามูลฝอยอันตราย 19 ชนิด จากการสุ่มตัวอย่างมูลฝอยในรถเก็บขนมูลฝอยของสำนักเขตในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในช่วงเดือน มกราคม – มีนาคม 2560 และศึกษาการไหลของวัสดุจากกลุ่มตัวอย่างในเขตกรุงเทพมหานคร 2 กลุ่ม คือ ผู้จำหน่าย และผู้บริโภคโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริม ผลการศึกษาพบว่า สัดส่วนของมูลฝอยอันตรายต่อมูลฝอยทั้งหมด อยู่ในช่วง ร้อยละ 0.01 - 0.16 มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ ร้อยละ 0.055 พบมูลฝอยอันตรายจากบ้านเรือนมากที่สุดในเขตลาดกระบัง และคลองสาน พบน้อยที่สุดในเขต พญาไท บางแค ตลิ่งชัน และจอมทอง สัดส่วนของซากโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริมต่อมูลฝอยอันตรายทั้งหมด อยู่ในช่วงร้อยละ 0.00 – 80.81 มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ ร้อยละ 32.87 โดยพบซากโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริมในเขตทวีวัฒนามากที่สุด และพบน้อยที่สุดในเขตบางกอกน้อย ประเภทของซากโทรศัพท์โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริมที่พบมากที่สุดคือ สายไฟชาร์ตโทรศัพท์มือถือ คิดเป็นร้อยละ 38.30 รองลงมาคือ แบตเตอรี่สำรอง คิดเป็นร้อยละ 28.55 และพบว่า โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริมของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่ไปสู่ตลาดโทรศัพท์มือสองประมาณร้อยละ 35 รองลงมามี 2 ส่วน คือ เก็บไว้ที่บ้าน และขายให้ซาเล้ง ประมาณร้อยละ 15 ลำดับสามมี 2 ส่วน คือ ขายร้านซ่อมโทรศัพท์มือถือ และทิ้งถังขยะ ประมาณร้อยละ 10 ลำดับที่สี่ คือ ขายให้ร้านรับซื้อของเก่า ประมาณร้อยละ 8 ลำดับที่ห้า คือ ส่งไปยังแหล่งรวบรวมซากโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เสริมของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ประมาณร้อยละ 5 และลำดับสุดท้ายคือ การบริจาคให้คนรู้จัก หรือคนที่ต้องการ ประมาณร้อยละ 2Item การจัดการสารหนูที่สะสมในผักสวนครัวและปนเปื้อนในน้ำและการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารหนู(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ปารินดา สุขสบาย; ไพทิพย์ ธีรเวชญาณ; ปริศนา เพียรจริง; รุจิรา ดลเพ็ญ; พันชัย เม่นฉายการวิจัยครั้งนี้ เพื่อศึกษา 1) การประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพจากการบริโภคสารหนูที่ปนเปื้อนในอาหาร 2) การใช้สารปรับปรุงดินที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดสารหนูที่สะสมในผักสวนครัว 3) เพื่อพัฒนานวัตกรรมต้นแบบของระบบคอลัมน์แบบไหลต่อเนื่องในการบำบัดน้ำที่ปนเปื้อนสารหนู และ 4) เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของการจัดการสารหนูที่สะสมในผักสวนครัวและที่ปนเปื้อนในน้ำและการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพจากการบริโภคสารหนูที่ปนเปื้อนในอาหารแก่ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาการประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพจากการบริโภคสารหนูที่ปนเปื้อนในอาหาร โดยประเมินปริมาณสารหนูที่ตกค้างในดินน้ำ และพืชบริเวณพื้นที่ทิ้งกากแร่จากการถลุงโลหะดีบุก และพื้นที่ใกล้เคียงบริเวณ อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ในพื้นที่หมู่ 2 และเขตปลายน้ำซึ่งเป็นพื้นที่หมู่ 12 โดยเก็บตัวอย่างในเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน และ กรกฎาคม พ.ศ. 2562 และประเมินความเสี่ยงทางด้านสุขภาพจากการบริโภคอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนสารหนู ซึ่งผลการศึกษาปริมาณสารหนูในดินพบว่า ความเข้มข้นของสารหนูมีค่าระหว่าง Below detection limit (BDL) ของเครื่อง - 1.143 mg/Kg โดยพบค่าน้อยที่สุดที่บริเวณดินในลำธารหมู่ 12 ซึ่งตรวจวัดความเข้มข้น ได้ที่ระดับ BDL ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนค่าที่มากที่สุดพบในบริเวณน้ำตกในเขตหมู่ 2 คือ มีค่า 1.143 mg/Kg โดยปริมาณความเข้มข้นของสารหนูในดินนั้นมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา และสถานที่จากการศึกษาปริมาณสารหนูในแหล่งน้ำทั้งหมด 4 ตัวอย่าง พบว่า ค่าความเข้มข้นของสารหนูทั้งหมดในตัวอย่างน้ำ มีค่าระหว่าง 0.002 ถึง 0.030 mg/L โดยพบปริมาณสารหนูมากที่สุดที่จุดเก็บตัวอย่างจากน้ำก๊อกในบ้านในเดือนเมษายน มีค่า 0.030 mg/L รองลงมาคือ น้ำจากน้ำตก บริเวณหมู่ที่ 2 โดยมีค่า 0.018 มิลลิกรัม/ลิตร และน้อยที่สุดคือ มีค่าความเข้มข้นของสารหนูที่มาจากลำธารบริเวณหมู่ที่ 12 โดยมีค่า 0.002 mg/L ซึ่งปริมาณสารหนูในน้ำผิวดินโดยส่วนใหญ่มีค่าเกินมาตรฐานการปนเปื้อนสารหนูในน้ำผิวดินของประเทศไทยคือ 0.01 mg/L จากพืชตัวอย่างทั้งหมด 10 ชนิด พบความเข้มข้นของสารหนูในพืชในส่วนต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน โดยพบว่า ค่าความเข้มข้นอยู่ระหว่าง BDL– 2.403 mg/Kg wet weight โดยค่าที่ปริมาณมากที่สุดพบอยู่ในก้านของต้นบอน (Colocasia gigantea Hook.f.) ที่เก็บจากบริเวณบ่อกากแร่ ในเดือนกุมภาพันธ์ รองลงมาคือ รากของตะไคร้ คือ มีค่า 2.308 mg/Kg wet weight เมื่อนำค่าสารหนูที่มากที่สุดจากพืชคือ ก้านบอน ผลพริก ผลเงาะ และน้ำดื่มมาประเมินการรับสัมผัส หรือ EDI และความเสี่ยงทางสุขภาพ (THQ) พบว่า การรับสัมผัสในแต่ละวันสูงสุด คือ 2.739 mg/Kg BW/day จากการบริโภคน้ำดื่มที่เป็นน้ำก๊อกในครัวเรือน ส่วนการบริโภคพืชผักผลไม้มีค่า EDI สูงสุดจากการบริโภคบอนใน อัตรา 5 g/day คือ 0.548 mg/Kg BW/day และผลเงาะในอัตรา 85 g/day คือ 0.729 mg/Kg BW/day เมื่อประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพ หรือ THQ พบว่าเมื่อพิจารณาคำนวณแยกแต่ละอาหารที่เลือกมาคำนวณนั้น มีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากค่า THQ น้อยกว่า 1 แต่เมื่อพิจารณาว่าหากบริโภคอาหารทุกชนิดในแต่ละวัน ตลอดช่วงอายุขัยในอัตราการบริโภคที่กำหนด พบว่า มีอาจเกิดความเสี่ยงทางสุขภาพเนื่องจากค่า THQ รวมกันเกิน 1 คือ 1.517 จากการศึกษานี้ พบว่าประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงบ่อกากแร่ ไม่ควรนำผักที่เพาะปลูกบริเวณบ่อกากแร่มาบริโภค และควรดื่มน้ำจากแหล่งอื่นเพื่อลดความเสี่ยงทางสุขภาพ ส่วนผลการใช้สารปรับปรุงดินที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดสารหนูที่สะสมในผักสวนครัว โดยประยุกต์ใช้ดินขาว ดินแดง และแร่ดินมอนต์มอริลโลไนต์เพื่อลดปริมาณการสะสมของสารหนูในกะเพรา และคะน้าปลูกในดินที่ปนเปื้อนสารหนูพบว่า เมื่อความเข้มข้นของสารหนูที่ปนเปื้อนในดินเริ่มต้น ประมาณ 103.66±1.52 มิลลิกรัม/กิโลกรัมดิน โดยการทดลองเป็นการปลูกกะเพรา และคะน้าในดินที่ปนเปื้อนสารหนูโดยใช้ดินขาว 1, 3, 5 % w/w ดินแดง 1, 3, 5 % w/w, แร่ดินมอนต์มอริลโลไนต์ 1, 3, 5 % w/w และ ดินขาว 5 % w/w+ ดินแดง 5 % w/w +แร่ดินมอนต์มอริลโลไนต์ 5 % w/w เติมในดินที่ปนเปื้อนสารหนูในการปลูกกะเพรา และคะน้าซึ่งผลการทดลองพบว่า หลังการเก็บเกี่ยวกะเพราและคะน้า 45 วัน พบว่า ต้นกะเพราที่ปลูกในดินที่ปนเปื้อนสารหนูที่มีการเติมดินขาว 5 % w/w+ ดินแดง 5 % w/w + แร่ดินมอนต์มอริลโลไนต์ 5 % w/w เป็นสารปรับปรุงดินเป็นเงื่อนไขที่ดีที่สุดในการลดการสะสมของราก ลำต้น และใบขัวได้ดีที่สุด โดยมีปริมาณสารหนูที่สะสมในใบของกะเพรา และคะน้าเหลือเพียง 1.70±0.10 และ 1.80±0.10 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม ตามลำดับ และปริมาณดังกล่าวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขของที่กำหนดไว้ให้มีสารหนูในอาหารไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้ดินขาว 5 % w/w+ ดินแดง 5 % w/w + แร่ดินมอนต์มอริลโลไนต์ 5 % w/w มีศักยภาพที่สามารถลดสารหนูที่สะสมในใบของกะเพรา และคะน้าได้สูงกว่าการใช้สารปรับปรุงดินด้วยเงื่อนไขอื่น ๆ ส่วนผลพัฒนา นวัตกรรมต้นแบบของระบบคอลัมน์แบบไหลต่อเนื่องในการบำบัดน้ำที่ปนเปื้อนสารหนูโดยศึกษาบำบัดน้ำปนเปื้อนสารหนูด้วยระบบคอลัมน์แบบไหลต่อเนื่องที่บรรจุตัวดูดซับดินขาวและดินลีโอนาร์ไดต์ พบว่า ดินลีโอนาร์ไดต์เผาที่อุณหภูมิ 400 องศาเซลเซียส มีประสิทธิภาพในการบำบัดสารหนูที่ปนเปื้อนในน้ำสูงกว่าดินขาว และดินลีโอนาร์ไดต์ที่ไม่ได้เผา อาจจะเนื่องมาจากคุณสมบัติของพื้นผิวที่เพิ่มขึ้น โครงสร้างของผลึกที่เปลี่ยนไป หมู่ฟังก์ชันที่จำเพาะส่งผลต่อการจับกับสารหนู นอกจากนี้ การบรรจุตัวดูดซับให้มีความสูงมาก และอัตราการไหลช้าจะเพิ่มการดูดซับให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น การศึกษาดินลีโอนาร์ไดต์เผาที่อุณหภูมิ 400 องศาเซลเซียส ในระบบคอลัมน์ใช้ความเข้มข้นสารหนู เริ่มต้น 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ปริมาณตัวดูดซับ 60 กรัม อัตราการไหล 5 มิลลิลิตรต่อนาที มีค่าความเข้มข้นสารหนูที่เวลาใด ๆ ต่อความเข้มข้นเริ่มต้นสารหนู (Ct/C0) เท่ากับ 0 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของตัวดูดซับที่สามารถดูดซับสารหนูได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นระยะเวลา 48 ชั่วโมง โดยสารหนูจับกับตัวดูดซับด้วยพันธะเคมีที่ยากต่อการชะล้างด้วยน้ำกลั่น การขยายสเกลคอลัมน์เป็นคอลัมน์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 เซนติเมตร สูง 122 เซนติเมตร พบว่า เมื่อบรรจุตัวดูดซับดินลีโอนาร์ไดต์ 10 กิโลกรัม ผสมกับถ่านกัมมันต์ใช้ความเข้มข้นสารหนูเริ่มต้น 1 มิลลิกรัมต่อลิตร อัตราการไหลของน้ำที่ 1.7 ลิตรต่อนาที มีค่า Ct/C0 เท่ากับ 0.05 อยู่ในช่วง 64 ชั่วโมง และยังสามารถดูดซับสารหนูต่อได้อีก เนื่องจากเวลาสมดุลการดูดซับเกิดในช่วงเวลาที่ยาวนานมากกว่า 168 ชั่วโมง ดังนั้นคอลัมน์นี้เมื่อนำไปประยุกต์ใช้กับน้ำปนเปื้อนสารหนูในพื้นที่จริงซึ่งมีการปนเปื้อนสารหนู 0-6 ไมโครกรัมต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดการปนเปื้อนในน้ำดื่มไม่ควรเกิน 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร จะสามารถลดการปนเปื้อนสารหนูได้เป็นระยะเวลานานItem การจัดการอาหารปลอดภัยในศูนย์สงเคราะห์คนชราในประเทศไทย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วิทยา ศิริพันธ์วัฒนา; จันทร์จนา ศิริพันธ์วัฒนาจากการศึกษาการจัดการด้านอาหารปลอดภัยในศูนย์สงเคราะห์คนชราในประเทศไทย นักวิจัยได้ทำการศึกษาสถานสงเคราะห์ 4 แห่ง เพื่อเป็นแบบอย่างในการจัดการโดยมีข้อสรุปและอภิปรายการศึกษาและแนวทางการจัดการองค์กร ดังต่อไปนี้ ผลการศึกษาพบว่า มีความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติพฤติกรรมศาสตร์ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก 4 ประการของความสำเร็จ ลักษณะผู้บริหาร วัฒนธรรมองค์กรจิตวิทยาสังคม และพฤติกรรมทางสังคมของผู้เกี่ยวข้องที่มีผลต่อคุณภาพการจัดการความปลอดภัยอาหารของผู้สูงอายุในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ด้วยผลการศึกษาข้อมูลทั่วไป และแนวทางการจัดการสำหรับสถานประกอบการ 4 แห่ง และแนวทางสำหรับการจัดการองค์กรจากการศึกษาบริบทผู้บริหาร ผู้วิจัยพบว่า ภาวะผู้นำของผู้บริหารศูนย์บริการผู้สูงอายุทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างในการสนับสนุนการดำเนินงานจากนโยบายวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์การจัดการ การอุทิศทรัพยากรและการจัดสรรงบประมาณ ศูนย์สงเคราะห์คนชราทุกแห่งมีปัจจัยด้านสุขาภิบาล อาหารพื้นฐาน โดยรวมอยู่ในสภาพที่มีการจัดการในระดับพอใช้ถึงดี นอกจากนี้จากการสังเคราะห์ ต้นแบบและรูปแบบการจัดการที่ดีสำหรับการจัดการอาหารปลอดภัยที่ศูนย์สงเคราะห์คนชราในประเทศไทย ควรมุ่งเน้นไปที่ระบบการจัดการภายในองค์กรที่เหมาะสม แนวปฏิบัติที่ดียังรวมถึงการใช้วงจรคุณภาพ PDCA และการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสุขาภิบาลอาหารสำหรับผู้จัดการอาหาร และผู้ให้บริการด้านอาหาร ความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ องค์ประกอบพฤติกรรมศาสตร์ ลักษณะผู้บริหาร วัฒนธรรมองค์กร จิตวิทยาสังคม พฤติกรรมทางสังคมของผู้เกี่ยวข้อง มีผลกระทบต่อคุณภาพการจัดการความปลอดภัยอาหารของศูนย์สงเคราะห์คนชราในประเทศไทยItem การจัดการเชิงอำนาจจากพระราชวังสู่สถาบันการศึกษา(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ยอดชาย ชุติกาโม; จตุพล ดวงจิตร; ภาวินี รอดประเสริฐการศึกษามหาวิทยาลัยสวนดุสิต: การจัดการเชิงอำนาจจากพระราชวังสู่สถาบันการศึกษามีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิตในการจัดการพื้นที่ อันเป็นเขตพระราชฐานสู่การเป็นสถาบันการศึกษา และความสัมพันธ์ของการจัดการเชิงอำนาจของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต จากเขตพระราชฐานสู่สถาบันการศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ชนิดพรรณนา (Descriptive Research) ผลการวิจัยพบว่า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มีการสร้างพระราชวังสวนดุสิต เพื่อเป็นสถานที่สราญใจนอกเขตพระบรมมหาราชวัง และให้เป็นที่ประทับสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ เนื่องจาก ในขณะนั้นบริเวณพระบรมมหาราชวังมีพื้นที่ค่อนข้างคับแคบ การก่อสร้างทรงให้ข้าราชบริพารทำการสำรวจพื้นที่เพื่อดำเนินการซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมโดยให้ราคาที่เหมาะสม และทรงดำริให้มีการจัดสรรพื้นที่ในการปลูกสร้างพระตำหนัก และจัดทำเป็นสวนป่าสาราญพระอิริยาบถ ซึ่งเป็นการใช้พระราชอำนาจในการจัดสรรการใช้พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมตามสมัยนิยมในยุคสมัยที่พระมหากษัตริย์ปกครองภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทรงใช้พระราชอำนาจในการจัดการเชิงพื้นที่ตามพระราชประสงค์ และในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้จัดตั้งโรงเรียนนิภาคาร ภายใต้การดูแลของพระวิมาดาเธอฯ เพื่อเป็นที่สำหรับจัดการศึกษา อบรมจริยา มารยาท การเรือน ให้กับข้าราชบริพาธ ครั้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โรงเรียนนิภาคารก็ได้ยุบเลิกไปด้วยผลกระทบทางการเมือง ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวก็ยังไม่ได้ถูกจัดตั้งเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง และจากการศึกษา ไม่พบแนวทางการส่งเสริมการศึกษาให้แก่ประชาชนได้อย่างชัดเจน หากจะมีก็แต่การจัดการศึกษาให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ และชนชั้นสูงเท่านั้น อนึ่ง การจัดการศึกษาในสังคมไทยที่เป็นรูปธรรมเริ่มต้นจากการจัดตั้ง โดยนักการเมืองหัวใหม่ หาใช่เกิดจากดำริของพระมหากษัตริย์ไม่ ทั้งนี้ อาจเนื่องว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ทำให้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์น้อยลงโดยพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งรัฐ กลุ่มนักการเมืองหัวใหม่ จึงเป็นผู้พยายามทำการพัฒนาการศึกษาให้ทัดเทียมกับนา ๆ อารยประเทศ การจัดสรรพื้นที่พระราชวังดุสิตระยะต่อมามีการจัดสรรพื้นที่บางส่วนให้กับหน่วยงานราชการ และสถาบันการศึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยสวนดุสิตเป็นหนึ่งในสถาบันการศึกษาที่เป็นผลจากการจัดสรรพื้นที่ดังกล่าว และมหาวิทยาลัยสวนดุสิตก็ให้มีการจัดการศึกษาเพื่อสังคมนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน