Browse
Recent Submissions
Item การสกัด ความคงตัว และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสาร oxyresveratrol จาก แก่นมะหาด(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) อรพิณ โกมุติบาล; ศรีสุดา ธารงพิรพงษ์; กัลยาภรณ์ จันตรีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดสาร oxyresveratrol การแยกสารให้บริสุทธิ์ และการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากแก่นมะหาด จากการศึกษาพบว่า สภาวะที่เหมาะสมในการสกัดสาร oxyresveratrol ที่เหมาะสมคือการสกัดด้วย 80% ethanol ในอัตราส่วนของพืชต่อตัวทำละลายเป็น 1:10 โดยวิธีการแช่ (maceration) ที่อุณหภูมิ 30 °C เมื่อทำการแยกสารให้บริสุทธิ์ด้วยเทคนิคคอลัมน์โครมาโทกราฟี สามารถแยกสารบริสุทธิ์ได้ 2 ชนิดคือ oxyresveratrol เป็นสารองค์ประกอบหลัก และสาร resorcinol โดยทำการยืนยันโครงสร้างด้วยเทคนิคสเปกโทรสโกปี จากการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารบริสุทธิ์ที่แยกได้ด้วยวิธี DPPH และ ABTS assay พบว่าสาร resorcinol จะมีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระที่ดีกว่าสาร oxyresveratrol เมื่อทำการทดสอบด้วยวีธี DPPH จะแสดงค่า IC50 เท่ากับ 11.16 ± 0.15 และ 20.18 ± 0.10 µg/mL ตามลำดับ และเมื่อทำการทดสอบด้วยวิธี ABTS จะแสดงค่า IC50 เท่ากับ 10.93 ± 0.23 และ 22.13 ± 0.34 µg/mL ตามลำดับItem ฤทธิ์ต้านการอักเสบของผลิตภัณฑ์มาเบิ้ลเค้กจากผักปลังในเซลล์ลำไส้ (Caco-2-cell)(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) หทัยชนก ศรีประไพ; ยศพร พลายโถ; ยศสินี หัวดงการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาองค์ประกอบทางเคมี ปริมาณสารประกอบฟีนอลิกทั้งหมด ศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านการอักเสบของผักปลังขาวและผักปลังแดงในรูปแบบสด และแบบลวก จากการศึกษาพบว่าผักปลังขาวและผักปลังแดงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีองค์ประกอบของโพลีฟีนอล ผักปลังขาวและผักปลังแดงที่ผ่านการลวกมีศักยภาพในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH, FRAP และ ORAC มากกว่าแบบสด นอกจากนี้ทำการทดสอบฤทธิ์ต้านการ อักเสบของผักปลังในเซลล์ลำไส้ (Caco-2) พบว่า ที่ความเข้มข้น 10, 50 และ 100 μg/mL ของ ผักปลังขาวและผักปลังแดงไม่เป็นพิษต่อเซลล์ จึงนำความเข้มข้นนี้ไปใช้ในการทดลอง พบว่า ฤทธิ์ต้านการอักเสบขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารสกัดจากผักปลังทั้งสองชนิด โดยเมื่อความเข้มข้นมากขึ้น ฤทธิ์ต้านการอักเสบจะมากขึ้น และส่วนสารสกัดของผักปลังขาวและผักปลังแดงสามารถลดการเหนี่ยวนำของ IL-1ß ในการหลั่งสารสื่อกลาง ROS, IL-8 และ TNF-α ได้ เมื่อนำผักปลังเสริมลง ในผลิตภัณฑ์มาเบิ้ลเค้ก พบว่า ค่าสี L*, a* and b* แตกต่างกัน (p <0.05)โดยเมื่อมีการเสริมผักปลัง ขาวและผักปลังแดงเพิ่มมากขึ้น ค่าสี L*, a* and b* จะลดลง ส่วนค่าเนื้อสัมผัสของผลิตภัณฑ์มาเบิ้ลเค้กที่ เสริมผักปลัง พบว่า เมื่อเสริมผักปลังเพิ่มมากขึ้นส่งผลทำให้ค่าความแข็งเพิ่มขึ้น แต่ปริมาตรจำเพาะ และปริมาตรของผลิตภัณฑ์มาเบิ้ลเค้กลดลง ด้านการทดสอบคุณลักษณะทางประสาทสัมผัสในด้าน ลักษณะปรากฏ สี กลิ่นรส รสชาติ ความนุ่ม และความชอบโดยรวม พบว่า ผลิตภัณฑ์มาเบิ้ลเค้กที่เสริม ผักปลังขาวร้อยละ 15 ได้รับคะแนนความชอบโดยรวมมากที่สุด นอกจากนั้น เมื่อนำผลิตภัณฑ์มาเบิ้ลเค้ก จากผักปลังที่ได้ไปผ่านการจำลองการย่อย พบว่า มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและมีองค์ประกอบของโพลีฟีนอล ทั้งหมดอยู่ รวมไปถึงมีฤทธิ์ในการยับยั้งการหลั่งของ ROS, IL-8 and TNF-α ในเซลล์ลำไส้ (Caco-2) จากผลการศึกษานี้จึงบ่งชี้ได้ว่า ผักปลังขาวและผักปลังแดงมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและ ต้านการอักเสบได้Item ผลของการออกแบบแนวคิดการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Contract inquiry and activity based learning: CIA ที่มีต่อผลลัพธ์ทางการเรียนในรายวิชา การประกอบอาหารไทยท้องถิ่นของนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ ชั้นปีที่ 3(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สังวาลย์ ชมภูจา; อรรถ ขันสี; ศศิธร รณะบุตรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์ทางการเรียนของวิชา การประกอบอาหารไทยท้องถิ่น โดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนการสอน Contract inquiry and activity based learning: CIA และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ ชั้นปีที่ 3 ที่มีต่อแนวคิดการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Contract inquiry and activity based learning: CIA ในวิชาการประกอบอาหารไทยท้องถิ่น ประชากรคือ นักศึกษาสาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการชั้นปี 3 จํานวน 16 คน คณะโรงเรียนการเรือนที่ลงทะเบียนวิชาการประกอบอาหารไทยท้องถิ่น ภาคการศึกษา 1 ปีการศึกษา 2563 และตอบแบบสอบถามครบถ้วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Contract inquiry and activity based learning: CIA แบบประเมินผลลัพธ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อแนวคิดการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Contract inquiry and activity based learning: CIA สถิติที่ใช้ในงานวิจัย คือ ค่าคะแนนเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. ผลลัพธ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ ชั้น ปี 3 ที่มีกระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Contract inquiry and activity based learning: CIA มีคะแนนเฉลี่ยของผลลัพธ์ทางการเรียนรวม เท่ากับ 4.53 มีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) เท่ากับ 0.78 มีผลลัพธ์ทางการเรียนระดับดีมาก 2. ผลความพึงพอใจของนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ ชั้นปี 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ Contract inquiry and activity based learning: CIA พบว่า ภาพรวมของความพึงพอใจอยู่ในระดับความพึงพอใจมาก มีค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 4.03 มีส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.77 คําสําคัญ : CIA, ผลลัพธ์ทางการเรียน, ความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนItem ผลการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานในการออกแบบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยด้วยแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์ฯ นครนายก(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) รวี ศิริปริชยากรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความสามารถในการออกแบบหลักสูตร สถานศึกษาปฐมวัยด้วยแอปพลิเคชัน Roomie ตามองค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษาของนักศึกษา สาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์ฯ นครนายก 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยก่อนและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการชุมชนเป็นฐานและการใช้แอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมความสามารถในการออกแบบสถานศึกษาปฐมวัยตามองค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษาของนักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์ฯ นครนายก และ 3) เพื่อศึกษาผลความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการชุมชนเป็นฐานและการใช้แอปพลิเคชันในการออกแบบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยของนักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์ฯ นครนายก ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษา ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งนครนายก จำนวน 119 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งนครนายก หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย (School Curriculum in Early Childhood Education) รหัสวิชา 1072204 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ห้อง NA จำนวน 19 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบ เฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานในการออกแบบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยด้วยแอปพลิเคชัน 2) แบบทดสอบผลการเรียนรู้ เรื่อง องค์ประกอบ หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย 3) แบบประเมินความสามารถในการออกแบบสถานศึกษาปฐมวัยด้วยแอปพลิเคชัน Roomie ตามองค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุมชนเป็นฐานในการออกแบบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยด้วยแอปพลิเคชัน สถิติที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าร้อยละ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ความสามารถในการออกแบบสถานศึกษาปฐมวัยด้วยแอปพลิเคชัน Roomie ตามองค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษาของนักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์ฯ นครนายก พบว่า 1) ด้านองค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ สะท้อนจุดเด่นหรือเอกลักษณ์ของชุมชนในแต่ละองค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย มีค่าเฉลี่ย 3.68 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.48 อยู่ในระดับปฏิบัติได้มากที่สุด และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ความถูกต้องของเนื้อหาแต่ละองค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย มีค่าเฉลี่ย 3.11 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.66 อยู่ในระดับปฏิบัติได้มาก 2) ด้านทักษะการออกแบบสถานศึกษาปฐมวัยด้วยแอปพลิเคชัน ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ลักษณะการออกแบบห้องจัดวางเฟอร์นิเจอร์ และการเลือกสีมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับอัตลักษณ์ของสถานศึกษาปฐมวัย มีค่าเฉลี่ย 3.63 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.50 อยู่ในระดับปฏิบัติได้มากที่สุด และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ เสียงบรรยายประกอบ มีการลำดับขั้นตอนในการนำเสนอเนื้อหาได้ชัดเจนสอดคล้องกับองค์ประกอบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย มีค่าเฉลี่ย 3.42 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.51 อยู่ในระดับปฏิบัติได้มาก และ 3) ด้านทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ทักษะการร่วมมือ ทำงานเป็นทีม: ผู้เรียนสามารถทำงานร่วมกับสมาชิกภายในกลุ่ม และสมาชิกระหว่างกลุ่มจนบรรลุผล สำเร็จ มีค่าเฉลี่ย 3.89 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.32 อยู่ในระดับปฏิบัติได้มากที่สุด และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ: ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์สาเหตุ ค้นหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา สรุปคำตอบผ่านการลงมือปฏิบัติในชุมชนและห้องเรียน มีค่าเฉลี่ย 3.58 ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.50 อยู่ในระดับปฏิบัติได้มากที่สุด 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย พบว่าหลังการจัดการเรียนรู้ โดยบูรณาการชุมชนเป็นฐานและการใช้แอปพลิเคชันในการออกแบบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น โดยก่อนการจัดการเรียนรู้ นักศึกษาได้ทำแบบทดสอบก่อน เรียน พบว่าคะแนนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8.42 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.8 โดยคิดเป็นร้อยละ 42.11 ซึ่งหลังการจัดการเรียนรู้ โดยบูรณาการชุมชนเป็นฐานและการใช้แอปพลิเคชัน พบว่า นักศึกษา มีคะแนนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 14.89 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.08 โดยคิดเป็นร้อยละ 74.47 ซึ่ง สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ 3. ผลความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการชุมชนเป็นฐานและการใช้แอปพลิเคชันในการออกแบบหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยของนักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์ฯนครนายก อยู่ในระดับพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.77 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.40 เมื่อแยกพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ในข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ รูปแบบการเรียนการสอน เหมาะสำหรับการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย มีค่าเฉลี่ย 5.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.00 อยู่ในระดับพอใจมากที่สุด รองลงมา คือ เนื้อหาเหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน มีค่าเฉลี่ย 4.89 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.32 อยู่ในระดับพอใจมากที่สุด และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ขั้นตอนการเรียนการสอน ขั้นที่ 1 การสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย 4.63 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.50 อยู่ในระดับพอใจมากที่สุดItem การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมเพื่องานธุรกิจดวยกิจกรรมเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูท(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สุภารัตน์ คุ้มบำรุงการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศกษาด้วยกิจกรรมเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูทในรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมเพื่อธุรกิจ (2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเกมบนแอปพลิเคชั่นคาฮูท ในรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมเพื่อธุรกิจ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่เข้าศึกษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2561 (ชั้นปีที่ 2) และลงทะเบียนเรียนภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ในรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมเพื่องานธุรกิจ ตอนเรียน A1 จำนวนผู้เรียนทั้งหมด 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการเรียนรู้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเกมบนแอปพลิเคชั้นคาฮูท รายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมเพื่องานธุรกิจ สถิติที่ใช้ในงานวิจัยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทแบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent-samples t-test) ผลการวิจัยมีดังนี้ นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมเกมจำนวน 6 ครั้ง มีสัดส่วนอู่ยระหว่างร้อยละ 85 -100 ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด การทำแบบทดสอบก่อนเรียน พบว่า นักศึกษามีค่าคะแนนเฉลี่ย 10.13 คะแนน ส่วนหลังเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ย 15.05 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน และจากการทดสอบค่าที่ พบว่าผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูท ผู้เรียนมีความคิดเห็น ด้านกิจกรรมเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.15 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .864) และกิจกรรมเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูทช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจเรียนรู้มากขึ้น (ค่าเฉลี่ย 4.13 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .911) และมีข้อเสนอแนะต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูทเป็นกิจกรรมที่สนุก สร้างความสนใจ ช่วยกระตุ้นให้นักศึกษาเข้าชั้นเรียนและมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากขึ้น และส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้Item การศึกษาเปรียบเทียบหลักธรรมในศาสนาพุทธ อิสลามและคริสต์ เรื่องการอยู่ ร่วมกันอย่างสันติสุข : ความรู้ ความเชื่อ การปฏิบัติและแนวทางการเสริมสร้าง การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในสังคมคนรุ่นใหม่(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สรรเสริญ อินทรัตน์; ฐิติยา เนตรวงษ์; ศิริมา สุวรรณศรี; สุริยะ เจียมประชานรากร; จักรพันธ์ คําแก้วการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความรู้ ความเชื่อ และการปฏิบัติตามหลักคําสอน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขในระดับบุคคลและระดับชุมชนของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยที่นับถือ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ 2. เปรียบเทียบความรู้ ความเชื่อและการปฏิบัติตามหลักคําสอนทางศาสนากับการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ และ 3. สร้างแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคนรุ่นใหม่และ คนในสังคมไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ กลุ่มตัวอย่างเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี ถึง 35 ปี ในทุกภูมิภาค เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จํานวน 1,212 คน และ สัมภาษณ์เชิงลึก จํานวน 120 คน กระจายกลุ่มตัวอย่าง ตามกลุ่มอาชีพ เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ %, x ̅, SD, CV, Sk, Ku, MANOVA และ MANCOVA ผลการวิจัยพบว่า 1. คนรุ่นใหม่ทั้งศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ มีความรู้ ความเชื่อ และการปฏิบัติตามหลักคําสอนโดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5.52 โดยคนรุ่นใหม่ที่นับถือ ศาสนาคริสต์ มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 5.71 รองลงมาคือ ศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ เท่ากับ 5.65 และ 5.38 ตามลําดับ และคนรุ่นใหม่มีความรู้ ความเชื่อ และการปฏิบัติตามหลักคําสอนในเรื่องความมีเมตตากรุณาต่อกัน ความซื่อสัตย์ต่อกัน การทําความดี/ละชั่ว/ใฝ่ธรรม การเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นกันในลําดับแรกๆ โดยเห็นคุณค่าในตนเอง และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นลําดับท้ายๆ คนรุ่นใหม่ที่นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ มีแนวโน้มที่จะมีความรู้ ความเชื่อ และการปฏิบัติตามหลักคําสอนในศาสนาของตน ลดน้อยลงกว่าคนรุ่นก่อนที่มีความเชื่อและยึด มั่นปฏิบัติตามหลักคําสอนทางศาสนาด้วยจิตใจที่ศรัทธาและเชื่อมั่น ในศาสนาของตน 2. คนรุ่นใหม่มีค่าเฉลี่ยของความสันติสุขทั้งระดับบุคคล ระดับชุมชนและโดยรวมในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยความสันติสุขระดับบุคคลสูงกว่าระดับชุมชน และคนรุ่นใหม่ที่นับถือศาสนา คริสต์ และศาสนาอิสลาม มีความสุขทางใจมากกว่าความสุขทางกาย ส่วนคนที่นับถือศาสนาพุทธมีความสุขทางกายมากกว่าความสุขทางใจ 3. คนรุ่นใหม่ที่นับถือศาสนาต่างกัน คือ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขระดับบุคคลและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขระดับชุมชนแตกต่างกันอย่าง มีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และคนรุ่นใหม่ที่นับถือศาสนาต่างกันและมีความความรู้ ความเชื่อ และการปฏิบัติ ตามหลักคําสอนแตกต่างกัน มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขระดับบุคคล และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขระดับชุมชนแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. แนวทางเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคนรุ่นใหม่และคนในสังคมไทยที่ นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ต้องใช้องค์ประกอบจากหลายส่วนคือ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันสื่อสารมวลชน และ สื่อออนไลน์ หน่วยงานภาครัฐ/เอกชน ต้องทํางานร่วมกันแบบบูรณาการ และต้องทําอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหวังสัมฤทธิผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องปรับรูปแบบกิจกรรม “บ้าน วัด โรงเรียน” ในรูปแบบที่มีความสอดคล้องกับบริบทของสังคม เพื่อส่งเสริมให้คนในสังคมโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขที่มั่นคงและยั่งยืนตลอดไปItem ผลของการเรียนเทคโนโลยีฐานข้อมูลที่มีต่อคุณภาพของโครงงานในรายวิชาโครงงานวิทยาการคอมพิวเตอร์(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วัจนา ขาวฟ้าการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเรียนรู้เทคโนโลยีฐานข้อมูลรายวิชา การศึกษาเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลที่มีต่อคุณภาพของโครงงานในรายวิชาโครงงาน วิทยาการคอมพิวเตอร์ โดยทําการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยในการสอบหัวข้อโครงงาน การสอบ Progress ครั้งที่ 1 การสอบ Progress ครั้งที่ 2 และ การสอบ Final Project ของนักศึกษารหัส 58 และ 59 ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาโครงงานวิทยาการคอมพิวเตอร์ กลุ่มวิชาเทคโนโลยีฐานข้อมูล และเว็บแอพพลิเคชั่น รวมทั้งหมด 14 คน ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษารหัส 58 มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่านักศึกษารหัส 59 และเมื่อนํา คะแนนรวมในการทําโครงงานของนักศึกษาแต่ละคนมาจัดระดับคุณภาพโครงงาน พบว่า นักศึกษา รหัส 58 ที่มีระดับคุณภาพโครงงานอยู่ในระดับดีมาก จํานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 57.14 และระดับดี จํานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 14.28 ในขณะที่นักศึกษารหัส 59 ที่มีระดับคุณภาพโครงงานอยู่ในระดับดีมาก จํานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 14.28 และระดับดี จํานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 28.57 ทั้งนี้ เมื่อศึกษาในผลคะแนนในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีฐานข้อมูล หัวข้อการทําเหมืองข้อมูล พบว่า คะแนนประเมินในหัวข้อ Algorithm หัวข้อ Data preparation หัวข้อ Data cleansing และ หัวข้อ Data visualization ของนักศึกษารหัส 59 มีมากกว่านักศึกษารหัส 58 จึงอาจกล่าวได้ว่าจาก การที่ผู้สอนจัดการเรียนการสอนในรายวิชาการศึกษาเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล โดยเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีฐานข้อมูล ในหัวข้อการทําเหมืองข้อมูลนั้นส่งผลต่อคุณภาพของโครงงานในรายวิชาโครงงานวิทยาการคอมพิวเตอร์ของนักศึกษาItem การพัฒนาตัวแบบระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) สำหรับเพิ่มมูลค่าของความหลากหลายทางชนิดของแมลงศัตรูธรรมชาติ เพื่อการควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธีในพืชผักวงศ์มะเขือ(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) รุ่งเกียรติ แก้วเพชร; ศมาพร แสงยศการวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในปีงบระมาณ พ.ศ. 2562 มีวัตถุประสงค์คือ การสำรวจ จำแนกชนิด และจัดทำชุดข้อมูลดิจิตอลของแมลงศัตรูพืชผักวงศ์มะเขือ Solanaceae ในเชียงราย พะเยา เชียงใหม่ ครอบคลุมพิกัดรวมระหว่างเส้นรุ้งที่ 17-19 องศาเหนือ ถึงเส้นแวงที่ 98 - 100 ตะวันออก โดยได้ทำการสำรวจในพืชวงศ์มะเขือ (Solanaceae) ที่ปลูกในพื้นที่ศึกษา ชนิดที่สำาคัญ ได้แก่ พริก มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะเขือยาว และมันฝรั่ง ที่มีการจัดการระบบปลูกแบบลดการใช้ สารเคมี และ แปลงเกษตรอินทรีย์ พบแมลงศัตรูพืช รวม 15 ชนิด แบ่งเป็นสองกลุ่มหลักได้แก่ กลุ่ม เพลี้ยและกลุ่มหนอน แมลงศัตรูธรรมชาติที่รวบรวมและได้จัดทำข้อมูลรายละเอียด และ มีความพร้อมสำหรับการพัฒนาตัวแบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) สำหรับการศึกษาในปีวิจัยต่อไป รวมจำนวน 21 ชนิด โดยแบ่งเป็นตัวห้ำ 18 ชนิด และตัวเบียน 3 ชนิดItem ผลของการจัดการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐานที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษารายวิชาการศึกษาปฐมวัย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) พรชุลี ลังกาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ก่อนและหลังในรายวิชาการศึกษาปฐมวัย โดยการจัดการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐาน และ 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐาน ประชากร คือ นักศึกษาระดับชั้นปีที่ 1 หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ที่ศึกษาในรายวิชาการศึกษาปฐมวัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จํานวน 4 แห่ง ประกอบด้วย ในมหาวิทยาลัย วิทยาเขตสุพรรณบุรี ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งนครนายก และศูนย์การศึกษานอกที่ตั้งลําปาง จํานวน 99 คน และกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับชั้นปีที่ 1 หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ที่ศึกษาอยู่ในรายวิชาการศึกษาปฐมวัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ในมหาวิทยาลัย จํานวน 29 คน ที่เลือกมาอย่างเจาะจง (Purposive sampling) เนื่องจากผู้วิจัยสอนในรายวิชานี้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา รายวิชาการศึกษาปฐมวัย แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จํานวน 20 ข้อ 2) แบบสอบถามความพึงพอใจเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐาน เป็นแบบประเมินชนิด มาตรประมาณค่า 5 ระดับ และ 3) แผนการจัดกิจกรรมโดยใช้เกมเป็นฐาน จํานวน 3 หัวข้อ ประกอบด้วย ความเป็นมาของการจัดการศึกษาปฐมวัย รูปแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย และนวัตกรรมการศึกษาปฐมวัย สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) นักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐานมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา การศึกษาปฐมวัยหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนการทดลอง คือ 9.24 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลอง คือ 17.86 คะแนน และมีคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์สูงสุด คือ 100 ต่ำสุดคือ 60 2) นักศึกษามีความพึงพอใจของต่อการจัดการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐานอยู่ในระดับมากที่สุด ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 4.54Item การศึกษาแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) เมืองยั่งยืนเชิงพื้นที่ ในเศรษฐกิจและสังคม ของตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) พรธิดา เทพประสิทธิ์; กนกอร เนตรชู; ธีระวัฒน์ จันทึกการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทของพื้นที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก รวมถึงจัดทำกลยุทธ์การพัฒนาประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) เมืองยั่งยืนของพื้นที่ และถอดบทเรียนการพัฒนาประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) เมืองยั่งยืนเชิงพื้นที่ ในมิติด้านเศรษฐกิจ และมิติด้านสังคม ของตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative methods) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative methods) ประกอบด้วย การสำรวจเชิงพื้นที่ (Area Frame Survey) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In depth Interview) การสำรวจข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามความคิดเห็น (Survey) และการประชุมสนทนากลุ่ม (Focus group) พื้นที่ที่ศึกษา คือ พื้นที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ผลการวิจัย พบว่า จากการศึกษาบริบทของพื้นที่และนำมาจัดทำกลยุทธ์การพัฒนาประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) เมืองยั่งยืน สำหรับแนวทางในการพัฒนาที่ได้จากการถอดบทเรียนร่วมกันจากการประชุมสนทนากลุ่ม เห็นว่าควรมีการจัดลำดับการดำเนินงาน โดยที่ให้ความสำคัญลำดับที่ 1 กับการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการในตลาดน้ำดำเนินสะดวกเพื่อการจัดการอย่างยั่งยืน ลำดับที่ 2 การบริการท่องเที่ยวและการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวก ลำดับที่ 3 การจัดการการท่องเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวก ลำดับที่ 4 การจัดการแหล่งท่องเที่ยวเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชนในตลาดน้ำดำเนินสะดวก ลำดับที่ 5 การจัดการให้มีการสืบทอดภูมิปัญญาในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวในตลาดน้ำดำเนินสะดวก และลำดับที่ 6 การจัดการภาพลักษณ์ในตลาดน้ำดำเนินสะดวกเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชน โดยกำหนดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เข้ามามีส่วนร่วม 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดราชบุรี 2) ตำรวจท่องเที่ยว 3) กรมเจ้าท่า 4) กรมการปกครอง 5) พัฒนาชุมชนตำบลดำเนินสะดวก 6) สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลตำบลดำเนินสะดวก 7) ผู้ประกอบการท่าเรือ 8) ตัวแทนแม่ค้า และ 9) ประชาชนในพื้นที่Item แอปพลิเคชันสำหรับการจัดการน้ำบริเวณแม่น้ำท่าจีนเพื่อสร้างสรรค์ชุมชนและการเกษตรยุคไทยแลนด์ 4.0(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สิรวัลภ์ เรืองช่วย ตู้ประกาย; รุ่งโรจน์ ปิยะภานุวัตน์; สุพัตรา นุชคำแหงการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเว็บแอปพลิเคชัน และส่งเสริมการเรียนรู้เรื่อง การจัดการน้ำบริเวณแม่น้ำท่าจีนภาคกลางตอนล่าง โดยประชากรและกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย คือ คนในชุมชนรอบพื้นที่ลุ่มแม่น้ำลำคลองบริเวณแม่น้ำท่าจีน ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสุพรรณบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ เว็บแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และ IOS และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อเว็บแอปพลิเคชัน สถิติที่ใช้ในงานวิจัยค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานItem แนวทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการไทยร่วมสมัยในประเด็นท้าทายจากการเติบโตของระบบเศรษฐกิจแบ่งปัน(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ศีลสุภา วรรณสุทธิ์; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; เตชิตา ภัทรศร; ณัฐรฐนนท์ กานต์รวีกุลธนา; ณัชชา ถาวรบุตรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการไทยร่วมสมัย ในประเด็นท้าทายจากการเติบโตของระบบเศรษฐกิจแบ่งปันการศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงผสมผสานโดยการวิจัยเชิงคุณภาพ 2 กลุ่มตัวอย่างคือ ภาคีที่เกี่ยวข้องกับในระบบเศรษฐกิจแบ่งปันและผู้ทรงคุณวุฒิในการสอบทานการนำเสนอแนวทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการไทยให้เกิดความสมดุลลดความขัดแย้ง ถูกต้องตามกฎหมายและนิติธรรมเพื่อความยั่งยืน และการวิจัยเชิงปริมาณข้อมูลนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 203 คนและนักท่องเที่ยวชาวไทย 478 คน รวมทั้งหมด 681 คน การวิจัยพบว่า องค์ประกอบของความขัดแย้งระหว่าง วิสาหกิจเริ่มต้น แพลตฟอร์มร่วมสมัยและรัฐบาลที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทยจากการเติบโตของระบบเศรษฐกิจแบ่งปันนั้นเกิดจากการเข้าถึงแพลตฟอร์มร่วมสมัยที่ง่ายขึ้น ก่อให้เกิดวิสาหกิจเริ่มต้นเร็ว ขณะที่มีต้นทุนต่ำ และเข้าถึงลูกค้าจากแพลตฟอร์มร่วมสมัย ธุรกิจเดิมไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับวิสาหกิจเริ่มต้นในแพลตฟอร์มร่วมสมัยเหล่านี้ได้เนื่องจาก รัฐบาลไม่มีนโยบาลรองรับวิสาหกิจเริ่มต้นในแพลตฟอร์มร่วมสมัยจึงไม่มีค่าภาษี ทั้งนี้ไม่ใช่ทุกกลุ่มลูกค้าเนื่องจากอาจจะเกิดความเสียหายของทรัพย์สินที่อาจเกิดขึ้น และความปลอดภัยอันเนื่องมาจากความน่าเชื่อถือของผู้เช่าและผู้ให้เช่า อีกทั้งนี้วิสาหกิจเริ่มต้นในแพลตฟอร์มร่วมสมัยสามารถตอบโจทย์สำหรับนักเดินทางกลุ่มย่อยเท่านั้น พฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวในการใช้แพลตฟอร์มร่วมสมัยของชาวต่างประเทศและนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่เป็นหญิง อายุระหว่าง 21-30 ปี โดยกลุ่มรองของนักท่องเที่ยวต่างประเทศมีอายุระหว่าง 31 - 40 ปี ขณะที่กลุ่มรองของนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นกลุ่มที่ต่ำกว่า 20 ปี โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยมีอาชีพด้านบริการและอื่น ๆ โดยมาจากกลุ่มวัยเรียน โดยมีวัตถุประสงค์การเดินทางเพื่อพักผ่อน มีระยะเวลาเข้าพัก 2-4 วัน นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศนิยมใช้บริการธุรกิจในระบบเศรษฐกิจแบ่งปันและเลือกที่พักในระบบเศรษฐกิจแบ่งปันที่สามารถประหยัดงบประมาณในการท่องเที่ยวได้มากกว่า ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเลือกที่พักได้หลากหลายกว่าแนวทางการบริหารจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการไทยให้เกิดความสมดุล ลดความขัดแย้ง ถูกต้องตามกฎหมายและนิติธรรมเพื่อความยั่งยืนสืบไป การออกแบบนโยบายเพื่อให้สอดคล้องตามการดำเนินการกิจการในประเทศไทย ที่พัก รถยนต์และบุคคลที่ดำเนินธุรกิจด้านการท่องเที่ยวภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบ่งปันต้องขึ้นทะเบียนกับภาครัฐและมีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง โดยธุรกิจที่พักในระบบเศรษฐกิจต้องขึ้นทะเบียนภาครัฐ และสามารถให้บริการได้ไม่เกิน 180 ต่อปี และมีจำนวนห้องพักในครอบครองไม่เกิน 30 ที่พัก โดยมีการเสียภาษีมากกว่าโรงแรมที่พักปกติร้อยละ 10 ของรายได้ ธุรกิจด้านการเดินทางและการนำเที่ยวในระบบเศรษฐกิจต้องขึ้นทะเบียนภาครัฐ มีใบขับขี่เฉพาะสำหรับการให้บริการในระบบเศรษฐกิจแบ่งปัน ชำระภาษีตามรายได้ที่ได้รับItem นวัตกรรมการใช้ปุ๋ยผสมไบโอชาร์ในดินเพื่อปรับปรุงความอุดมสมบูรณ์และลดการใช้สารเคมี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วันปิติ ธรรมศรี; จามรี กลางคาร; ร่มเกล้า อาจเดชการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตไบโอชาร์ที่เหมาะสมในการปรับปรุงคุณสมบัติดินและลดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกข้าว ซึ่งผลการศึกษาพบว่า สภาวะที่มีความเหมาะสมต่อการผลิต ไบโอชาร์ คือ การเผาเปลือกไข่ที่อุณหภูมิ 500 องศาเซลเซียส เนื่องจากมีคุณสมบัติทางกายภาพที่มากกว่าอุณหภูมิ 600 องศาเซลเซียส คือ มีขนาดของรูพรุน ปริมาตรรูพรุน และพื้นที่ผิวที่มากกว่า และเมื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสมของสารปรับปรุงบำรุงดินร่วมวัสดุอินทรีย์ ได้แก่ ขุยมะพร้าว แกลบดิบ และเปลือกมังคุด สามารถเพิ่มอินทรียวัตถุในดินมากขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาดินกรดได้เมื่อเปรียบเทียบกับดินก่อน มีการปรับปรุงด้วยวัสดุดังกล่าว ดังนั้นคณะผู้วิจัยจึงได้นำข้อมูลผลการวิจัย ไปเผยแพร่ความรู้สู่ชุมชนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาดินขาดความอุดมสมบูรณ์และเป็นกรด เพื่อให้เกษตรกรรายอื่น ๆ สามารถจัดการปัญหาดินในไร่นาได้Item การพัฒนาเมืองยั่งยืนเชิงพื้นที่ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม กรณีศึกษา ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สิมนัส ตรีเดช; สาวิตรี ม่วงศรี; ธวัชชัย ศรีสอาดการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาเมืองยั่งยืนเชิงพื้นที่ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม กรณีศึกษา ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี และพัฒนาเมืองยั่งยืนเชิงพื้นที่ ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วม กรณีศึกษา ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative methods) ประกอบด้วย การประชุมสนทนากลุ่ม (Focus group) และการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR = Participatory Action Research) พื้นที่ที่ศึกษา คือ พื้นที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาเมืองยั่งยืนเชิงพื้นที่ เห็นว่าในพื้นที่ควรมีการการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการตลาดน้ำดำเนินสะดวกแบบมีส่วนร่วม ร่วมกัน 3 ฝ่าย ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ โดยคณะผู้วิจัยได้สำรวจความคิดเห็นและดำเนินการวางแผนร่วมกันกับหน่วยงานทั้ง 3 ฝ่าย โดยศูนย์บริหารจัดการตลาดน้ำดำเนินสะดวกแบบมีส่วนร่วมนั้น แบ่งกิจกรรมการดำเนินงานออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อม โดยมีภาคีหลักผู้เข้ามามีส่วนร่วม ประกอบด้วย พัฒนาชุมชนเทศบาลตำบลดำเนินสะดวก สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมเทศบาลตำบลดำเนินสะดวก ผู้ประกอบการท่าเรือ ตัวแทนแม่ค้า และประชาชนในพื้นที่ 2) กลุ่มการบริการและความปลอดภัย โดยมีภาคีหลักผู้เข้ามามีส่วนร่วม ประกอบด้วย ตำรวจท่องเที่ยว กรมเจ้าท่า กรมการปกครอง และผู้ประกอบการท่าเรือ และ 3) กลุ่มสร้างความสมดุลด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีภาคีหลักผู้เข้ามามีส่วนร่วม ประกอบด้วย 1) พัฒนาชุมชน ตำบลดำเนินสะดวก 2) ผู้ประกอบการท่าเรือ 3) ตัวแทนแม่ค้า และ 4) ประชาชนในพื้นที่Item ชุมชนสุขภาวะบนพื้นฐานศักยภาพของชุมชนและการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย: กรณีศึกษาชุมชน อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สุชาดา โทผล; คณะการศึกษาชุมชนสุขภาวะบนพื้นฐานศักยภาพของชุมชนและการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย: กรณีศึกษาชุมชน อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed method) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพชุมชน และการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมชุมชน สุขภาวะ และศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมชุมชนสุขภาวะบนพื้นฐานศักยภาพของชุมชน และการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย รวมทั้งสร้างแกนนำกิจกรรมชุมชนสุขภาวะ โดยทำการเก็บรวบรวม ข้อมูลเชิงปริมาณ จำนวน 400 ชุด เพื่อศึกษาเกี่ยวกับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมของประชาชนในชุมชนในประเด็นที่สำคัญ 3 ด้าน คือ อาหาร การออกกำลังกาย และการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง ซึ่งได้รับคืนและสมบูรณ์เพียงพอที่จะใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้ จำนวน 400 ชุด คิดเป็นร้อยละ 100.00 และทำการสัมมนากลุ่มย่อย รวมทั้งอบรมแกนนำ ผลการศึกษา พบว่า 1. กลุ่มตัวอย่างส่วนมากเป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 60.50 และมีอายุอยู่ระหว่าง 36 – 59 ปี คิดเป็นร้อยละ 43.50 ส่วนมากมีสถานภาพสมรส คิดเป็นร้อยละ 60.50 ด้านการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนมากมีระดับการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาปีที่ 6 คิดเป็นร้อยละ 64.25 ประกอบอาชีพ ค้าขายหรือรับจ้างทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 27.50 และ 22.75 ตามลำดับ โดยส่วนมากมีรายได้น้อยกว่า เท่ากับ 10,000 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 75.85 ด้านการเจ็บป่วยด้วยโรคพบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนมากไม่มีโรคประจำตัว คิดเป็นร้อยละ 45.50 2. ศักยภาพชุมชน และการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมชุมชนสุขภาวะ ซึ่งพิจารณาจาก 3 ประเด็นที่สำคัญคือ ผู้นำชุมชน ทรัพยากรบุคคล และการสื่อสารในชุมชน พบว่า ประเด็นทั้ง 3 ประชาชนในชุมชนเห็นด้วยว่าเป็นสิ่งสำคัญของศักยภาพของชุมชนมีค่าอยู่ในระดับมาก มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.95 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.79 ส่วนด้านการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย โดยพิจารณาในประเด็นการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนสุขภาวะพบว่า ประชาชนเห็นด้วยว่าตนเองและ/หรือคนในชุมชนมีส่วนร่วม โดยมีค่าอยู่ในระดับมาก มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 3.46 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.08 3. การศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมชุมชนสุขภาวะบนพื้นฐานศักยภาพของชุมชน และการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายพบว่า รูปแบบการกิจกรรมการสร้างชุมชนสุขภาวะที่ดี ทั้ง 3 ด้าน ควรมีรูปแบบดังนี้ 1) กิจกรรมมีลักษณะที่ประชาชนสามารถทำด้วยตนเองได้ 2) กิจกรรมที่ทำต้องใช้เวลาน้อย ไม่เป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพ และ 3) กิจกรรมที่ทำหากต้องมีอุปกรณ์หรือวัตถุดิบ ประกอบต้องสามารถหาได้ง่ายจากชุมชน 4. การสร้างแกนนำกิจกรรมชุมชนสุขภาวะ พบว่า กระบวนการสร้างแกนนำโดยการอบรม ให้ความรู้และการลงมือปฏิบัติจริงทำให้มีแกนนำใน 3 กลุ่มได้แก่ แกนนำการออกกำลังกายแบบยืดเหยียดกล้ามเนื้อ แกนนำด้านอาหารสุขภาพ และแกนนำด้านการดูแลรักษาตนเอง จำนวนกลุ่มละ 10 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิก อสม.Item การศึกษาผลของสารอาหารเสริมต่อกลุ่มประชากรจุลินทรีย์ในถัง UASB(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วาศนศักดิ์ ลิ้มควรสุวรรณ; ศรีสุดา ธำรงพิรพงษ์งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเติมสารอาหารเสริมและไคโตซานที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์ในถังปฏิกรณ์ UASB ทำการศึกษาโดยใช้ถังปฏิกรณ์ UASB จำนวนทั้งหมด 3 ถัง ถังปฏิกรณ์ที่ 1 เดินระบบด้วยน้ำเสียโดยไม่เติมสารอาหารเสริมใด ๆ ถังปฏิกรณ์ที่ 2 เดินระบบด้วยน้ำเสียโดยเติมสารอาหารหลัก (ประยุกต์สูตร Richard E. Speece, 1996) และเติม Fe, Ni และCo ถังปฏิกรณ์ที่ 3 เดินระบบด้วยน้ำเสียโดยเติมไคโตซาน ถังปฏิกรณ์ UASB ทั้ง 3 ถังได้ทำการเดินระบบเป็นระยะเวลา 60 วัน โดยใช้น้ำทิ้งจากโรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังโดยมีค่าซีโอดีอยู่ที่ 42,777 ± 2,525 มิลลิกรัมต่อลิตร อัตราส่วน BOD/COD อยู่ที่ 0.53 อัตราส่วน COD: N: P อยู่ที่ 100:1.69:0.004 ผลการศึกษาสภาวะแวดล้อมและค่าพีเอช ของถังพบว่ามีสภาวะใกล้เคียงกันโดยค่า TVA/Alk อยู่ในช่วง 0.27-0.31 ประสิทธิภาพกำจัดสารอินทรีย์ COD ของถังปฏิกรณ์ที่ 2 ที่มีการเติมอาหารเสริมและถังปฏิกรณ์ที่ 3 ไคโตซานมีประสิทธิภาพการกำจัดซีโอดีมากกว่าร้อยละ 80 ซึ่งดีกว่าถังปฏิกรณ์ที่ 1 ที่ไม่มีการเติมสารอาหารเสริมและไคโตซาน นอกจากนั้นพบว่าถังที่มีการเติมอาหารเสริมและไคโตซานมีการผลิตก๊าซชีวภาพเฉลี่ยสูงกว่าถังที่ไม่มีการเติมสารอาหาร ถังปฏิกรณ์ UASB 1 และ 2 มีการผลิตก๊าซชีวภาพเฉลี่ยอยู่ที่ 7,804 และ 7,194 มิลลิลิตรต่อวัน จากการเปรียบเทียบประชากรจุลินทรีย์จากตะกอน UASB ด้วยเทคนิค 16S rRNA ด้วยปฏิกิริยา PCR พบว่าถังปฏิกรณ์ที่มีการเติมสารอาหารเสริมและไคโตซานพบกลุ่มจุลินทรีย์จีนัส Methanobacterium เพิ่มขึ้นมากกว่าถังที่ไม่ได้เติมสารอาหารและไคโตซานItem การประเมินฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ ไทโรซิเนส และพฤกษเคมี ของสารสกัดหยาบและน้ำมันหอมระเหยจากข่าป่า และการประเมินความปลอดภัยฑ์โรออนระงับกลิ่นทางคลินิก(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ศรีสุดา หาญภาคภูมิ; จิราภรณ์ ทองตัน; อรพิณ โกมุติบาล; สรียา เรืองพัฒนพงษ์; ไพบูรณ์ เรืองพัฒนพงษ์; สมพงษ์ นาคพินิจสารสกัดข่าถูกนำมาใช้สำหรับฤทธิ์ต้านเชื้อรา ฤทธิ์ต้านมะเร็ง ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสและคุณสมบัติอื่น ๆ ข่าบ้าน ข่าเหลือง และข่าน้ำถูกนำมาทดสอบการต้านแบคทีเรียสร้างกลิ่น ซึ่งข่าบ้าน ข่าเหลือง และข่าน้ำระบุชนิดเป็น Alpinia siamensis K. Schum Alpinia galangal (Linn.) Swartz. และ Alpinia nigra (Gaertn.) B.L. Burtt. ตามลำดับ ส่วนใบ ลำต้น และเหง้าของข่าทั้ง 3 ชนิดที่สกัดด้วยตัวทำละลายเอทานอล ผลการทดลอง พบว่า ร้อยละของปริมาณผลผลิตที่ได้จากข่าบ้าน (27.80%) จะสูงกว่าข่าชนิดอื่น ๆ ปริมาณผลผลิตน้ำมันหอมระเหยจากข่าบ้านจะสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับข่าชนิดอื่น ๆ (0.098±0.021) สารสกัดเหง้าข่าเหลืองจะให้ค่าสูงต่อการต้าน Corynebacterium xerosis 2637 (19.00±0.00 mm) และ Staphylococcus epidermidis ATCC 12228 (30.25±9.22 mm) ยิ่งไปกว่านั้นยังให้ค่าการยับยั้ง Propionibacterium acnes DMST 14916 สูงที่สุด (27.25±3.86 nm) ในขณะที่สารสกัดส่วนใบของข่าทั้ง 3 ชนิดจะไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Corynebacterium xerosis 2637, Staphylococcus epidermidis ATCC 12228, Propionibacterium acnes DMST 14916 และ Staphylococcus aureus ATCC 25923 ค่าดีที่สุดของค่าเหลืองต่อทั้ง Corynebacterium xerosis 2637 และ Staphylococcus epidermidis ATCC 12228 คือ 6.25 mg/mL ตามด้วยทั้งแบคทีเรีย Propionibacterium acnes DMST 14916 และ Staphylococcus aureus ATCC 25923 จะแสดงค่า MIC เท่ากับ 12.5 mg/mL สารสกัดข่าเหลืองจะแสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด (38.12±0.18 µmol Trolox / g extract) ฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์และไม่เป็นพิษจาก UV ค่าการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสสูงสุดจากลำต้นข่าบ้าน คือ 77.93±1.67% สารสกัดเหง้าข่าน้ำจะแสดงปริมาณสารฟิโนลิกสูงสุด (4.30 GAE/g extract) ในการทดสอบในอาสาสมัครแบบ Sniff test สูตรผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ 1 (1% สารสกัดเหง้าข่าเหลือง) ถูกนำมาประเมินกลิ่นกายนาน 48 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 3 จุดเวลา ผลการทดลอง พบว่า กลิ่นกายที่เวลา 12-24 ชั่วโมงจะยังคงลดลง หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายไป 24 ชั่วโมง กลิ่นกายจะลดลง 43.75% การลดลงของแบคทีเรียทั้งหมด พบว่า สูตรที่ 3 จะทำให้แบคทีเรียที่ต้องการอากาศทั้งหมดลดลง 82.09% และแบคทีเรียที่ไม่ต้องการอากาศลดลง 71.92%Item การฟื้นฟูกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน: กรณีศึกษาชุมชนเกาะเกร็ด อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ยุพิน พิพัฒน์พวงทองการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้เพื่อ 1) ศึกษาการฟื้นฟูกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชน 2) ศึกษาประสบการณ์และบทเรียนที่นักศึกษาได้จากเรียนและการทํากิจกรรมการฟื้นฟูการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์แบบลงชุมชนในรายวิชานี้ 3) ศึกษาความคิดเห็นของชุมชนที่มีต่อการมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์เพื่อการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งขึ้น อันเป็นการบูรณาการวิจัยกับการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นชุมชนเป็นฐาน ราก ประชากร คือ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่ลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาอังกฤษสะท้อนคิด ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จํานวน 40 คน ระหว่างเดือนสิงหาคม 2562-กรกฎาคม 2563 สถานที่ศึกษาชุมชนเกาะเกร็ด อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เครื่องมือในการวิจัยที่สําคัญ คือ ตัวนักศึกษา การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการใช้นักศึกษาสัมผัสกับชุมชนโดยตรง นอกจากนี้ยังใช้ 1) บันทึกภาคสนามของนักศึกษาที่ได้รับรู้ระหว่างการสังเกตชุมชน 2) การสังเกต ได้แก่ กิจกรรมการท่องเที่ยว พฤติกรรมและปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เวลา บุคคล สภาพแวดล้อม 3) การสัมภาษณ์พูดคุยร่วมกันระหว่าง นักศึกษากับชุมชน โดยการคิดและเรียนรู้ร่วมกัน การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ (Pre-testing of Instrument) ข้อมูลสําหรับการวิจัยขั้นตอนนี้ เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพนั้นมีการตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูล และการตีความของนักศึกษา 40 คน เกี่ยวกับความคิดของผู้ให้ข้อมูล การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์และสิ่งแวดล้อมของชุมชนเป็นปัญหาของชุมชนชาวบ้าน ทีมวิจัยระหว่างชาวบ้าน อาจารย์และนักศึกษา เชื่อว่าความรู้ด้านวัฒนธรรมและ ประวัติศาสตร์จะสูญหายไปสักวันหนึ่ง ดังนั้น ทีมวิจัยจึงรวมตัวกันหาแนวทางฟื้นฟูชุมชนด้วยการจัด กิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ขึ้น สถิติที่ใช้ในงานวิจัยค่าเฉลี่ยร้อยละ ผลการวิจัยมีดังนี้ การท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์เป็นการท่องเที่ยวแนวใหม่ซึ่งมีจุดประสงค์ในการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นระหว่างชาวบ้าน ครูอาจารย์และนักศึกษา ซึ่งช่วยให้ชาวบ้านตระหนักในคุณค่าของชุมชน และยังช่วยให้นักศึกษาได้พัฒนาความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานด้วยตนเอง ประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้สามารถนําไปใช้ในชีวิตได้ส่วนชาวบ้าน มีอาชีพเสริมจุนเจือครอบครัวและเป็นการสร้างเพื่อนใหม่Item การสร้างแบบจำลองการตกค้างและการแพร่กระจายของสารกลุ่ม Personal Care Products ในน้ำผิวดิน ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) พรธิดา เทพประสิทธิ์; อนิรุทธ์ ศรีเลขา; สาวิตรี ม่วงศรี; ธวัชชัย ศรีสอาด; ฐปนรรฆ์ ฮาบสุวรรณ์การศึกษาในครั้งนี้ได้ดำเนินการขึ้นเพื่อศึกษาการแพร่กระจายของสารกลุ่ม Personal Care Products จากแหล่งกำเนิดไปสู่แหล่งน้ำผิวดิน และตะกอนดินในลำน้ำ รวมทั้งเพื่อประเมินผลกระทบทางด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการตกค้างและแพร่กระจายของสารกลุ่มดังกล่าว โดยมีการใช้อาคารหอพักนักศึกษา จำนวน 3 อาคาร ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี เป็นตัวแทนแหล่งกำเนิดมลพิษ ซึ่งมีผู้พักอาศัยอยู่ในช่วง 467-530 คน โดยได้มีการติดตามตรวจสอบสารกลุ่ม Personal Care Products จากน้ำทิ้งที่ผ่านการบำบัดด้วยระบบบำบัดน้ำเสียของแต่ละอาคาร รวมทั้งติดตามการแพร่กระจายสู่สิ่งแวดล้อม อันได้แก่ ลำน้ำบริเวณใกล้เคียง โดยติดตามการแพร่กระจายเป็นระยะทาง 400 เมตร ตามทิศทางการไหลของน้ำ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพฤติกรรมและความตระหนักรู้ต่อผลกระทบของการใช้ผลิตภัณฑ์ Personal Care Products ในตัวแทนกลุ่มผู้พักอาศัยจำนวน 266 ตัวอย่าง ซึ่งผลจากการศึกษาพบว่าน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียของแต่ละอาคารมีการปนเปื้อนสารกลุ่ม Personal Care Products โดยเฉพาะกลุ่ม UV filters ชนิด Octinoxate (8.631-77.084 มิลลิกรัม/ลิตร) และ Benzophenone-4 (19.521-65.751 มิลลิกรัม/ลิตร) ซึ่งจากการสอบถามข้อมูลกลุ่มตัวอย่างพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 93.50 มีการใช้ผลิตภัณฑ์ Personal Care Products โดยร้อยละ 81.07 มีการใช้เป็นประจำทุกวัน เมื่อพิจารณาการแพร่ กระจายสู่สิ่งแวดล้อมบริเวณใกล้เคียงพบการแพร่กระจายสู่ลำน้ำอยู่ในช่วง 0.692-3.988 กิโลกรัม/วัน โดยมีการสะสมตัวในตัวอย่างตะกอนของลำน้ำมากกว่าในตัวอย่างน้ำ โดยมีปริมาณสารกลุ่ม UV filters ที่วิเคราะห์พบลดลงตามระยะทางที่ห่างออกจากแหล่งกำเนิด ซึ่งตะกอนตัวอย่างบริเวณจุดปล่อยน้ำทิ้งมีปริมาณสารอยู่ในช่วง 2.765-157.330 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ระยะห่างจากจุดปล่อยน้ำทิ้ง 200 เมตร มีค่า 61.863-97.173 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และที่ระยะห่างจากจุดปล่อยน้ำทิ้ง 400 เมตร มีค่าลดลงอยู่ในช่วง 17.228-50.385 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ซึ่งการสะสมตัวในสิ่งแวดล้อมของสารกลุ่ม UV filtters ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต เกิดการสะสมในห่วงโซ่อาหาร และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ ส่วนแนวทางในการควบคุมและลดผลกระทบจากการแพร่กระจายของสาร Personal Care Products ออกสู่สิ่งแวดล้อม สามารถแบ่งแนวทางการดำเนินงานออกได้ 2 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นเรื่องพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์ Personal Care Products ของผู้พักอาศัยในอาคารหอพัก ควรที่จะให้ความรู้ สร้างความตระหนักต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่วนที่ 2 การบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียของอาคารหอพัก ควรที่จะมีการติดตามตรวจสอบประสิทธิภาพและสภาพของระบบบำบัดน้ำทิ้ง รวมทั้งพัฒนารูปแบบระบบบำบัดให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น นอกจากนี้ตะกอนที่เกิดมาจากระบบบำบัดน้ำเสียซึ่งจัดเป็นแหล่งสำคัญที่มีการสะสมตัวของสารกลุ่ม Personal Care Products ก็ควรที่จะมีมาตรการในการจัดการอย่างเป็นระบบเพื่อป้องกันการปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อมอีกช่องทางหนึ่งItem การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานในรายวิชาการจัดการการตลาดโรงพยาบาล(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ศานสันต์ รักแต่งาม; มนสินี สุขมาก; ปวีณา สปิลเลอร์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน (Research-Based Learning) ในรายวิชาการจัดการการตลาด โรงพยาบาล 2) เพื่อศึกษาผลความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนรู้ รายวิชาการจัดการการตลาดโรงพยาบาลโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง นักศึกษา ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการจัดการการตลาดโรงพยาบาล จำนวน 15 คน โดยใช้กิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐาน รวมถึงใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อวัดค่าก่อนและหลัง การจัดการเรียนรู้ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ค้าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้ T-test แบบ Dependent ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) ประสิทธิภาพการพัฒนากิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานของนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการจัดการการตลาดโรงพยาบาล พบว่า มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 75.29/75.11 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้วิจัยเป็นฐานในรายวิชาการจัดการการตลาดโรงพยาบาล มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาที่เรียน ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิจัยเป็นฐานในรายวิชาการจัดการการตลาดโรงพยาบาล มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.48, S.D. = 0.51)