Research

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 396
  • Default Image
    Item
    แบบจําลองปัจจัยความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมประเภทวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อารยธรรมทวารวดี
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สราวรรณ์ เรืองกัลปวงศ์; อรรนพ เรืองกัลปวงศ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) นวัตกรรมองค์กรความได้เปรียบทางการแข่งขัน เครือข่ายทางธุรกิจ และความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมประเภทวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อารยธรรมทวารวดี 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของนวัตกรรมองค์กรความได้เปรียบทางการแข่งขัน เครือข่ายทางธุรกิจที่มีต่อความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประเภทวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อารยธรรมทวารวดี 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการสร้างความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประเภทวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อารยธรรมทวารวดี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้ประกอบการวิสาหกิจ ขนาดกลาง และขนาดย่อมประเภทวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อารยธรรมทวารวดี ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และจังหวัดราชบุรี จํานวน 345 แห่ง ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างเป็นแบบหลายขั้นตอน การวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์แบบจําลองสมการเชิงโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกและจัดทํา Focus Group จากผู้ประกอบการ คนที่อยู่ในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ (เจ้าหน้าที่สํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬา เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ได้แก่ นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาล เจ้าหน้าที่เทศบาล ผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ สํานักงานพื้นที่พิเศษ 9 องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)) และนักวิชาการสถาบันการศึกษา จํานวน 30 คน และใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเพื่ออธิบายยืนยันข้อค้นพบจากการวิจัยเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่า 1) มีความคิดเห็นในภาพรวมทั้งหมดอยู่ในระดับมาก โดยนวัตกรรมองค์กรจะเน้นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ เครือข่ายทางธุรกิจจะเน้นเครือข่ายการตลาดส่วนความได้เปรียบทางการแข่งขันนั้นจะให้ความสําคัญกับกลยุทธ์สร้างความแตกต่างสําหรับประเด็นความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการนั้น พบว่า วิสาหกิจมีความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการด้านลูกค้า โดยลูกค้าแสดงความพึงพอใจในสินค้าและบริการ 2) อิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมของนวัตกรรมองค์กร เครือข่ายทาง ธุรกิจ ความได้เปรียบทางการแข่งขัน และความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ผลการศึกษาพบว่า นวัตกรรมองค์กร เครือข่ายทางธุรกิจ มีอิทธิพลทางตรงต่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน และความได้เปรียบทางการแข่งขันมีอิทธิพลทางตรงต่อความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ส่วนนวัตกรรมองค์กรเครือข่ายทางธุรกิจไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ แต่นวัตกรรมองค์กร เครือข่ายทางธุรกิจมีอิทธิพลทางอ้อมต่อความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการผ่านความได้เปรียบทางการแข่งขัน 3) แนวทางการสร้างความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประเภทวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่อารยธรรมทวารวดี ได้แก่ ระยะที่ 1 แผนการแก้ไขปัญหาของวิสาหกิจชุมชนที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมผลิตภัณฑ์นวัตกรรมกระบวนการ ด้านการเงินและด้านเงินทุน และด้านอื่น ๆ ได้แก่ การสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐ ระยะที่ 2 แผนการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน เพื่อยกระดับ วิสาหกิจชุมชนให้เป็นผู้ประกอบการมืออาชีพที่มีความเข้มแข็งและมีความพร้อมทางการแข่งขัน และระยะที่ 3 แผนการสร้างความยั่งยืนให้กับวิสาหกิจชุมชน เพื่อให้ชุมชนสามารถสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
  • Default Image
    Item
    ภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ: การป้องกันในวัยผู้ใหญ่การฟื้นฟูสุขภาพจิต และการสนับสนุนในครอบครัวสําหรับผู้ดูแลหลัก
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ศรีสุดา วงศ์วิเศษกุล; รุ่งนภา ป้องกียรติชัย; วิวินท์ ปุรณะ; ศิริพร นันทเสนีย์; อริยา ดีประเสริฐ; อรนุช ชูศรี; ปณวัตร สันประโคน
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการจัดการตนเองเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมในวัยผู้ใหญ่ ฟื้นฟูผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมด้วยโปรแกรมการบําบัดทางสุขภาพจิต และสร้างเสริมแรงสนับสนุนในครอบครัวสําหรับผู้ดูแลหลักของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมกลุ่มตัวอย่างมี 3 กลุ่ม คือ 1) บุคคลวัยผู้ใหญ่ อายุ 45-60 ปี 2) ผู้สูงอายุ (60 ปี ขึ้นไป) 3) ผู้ดูแลผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในตําบลมหาสวัสดิ์ อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) ใช้รูปแบบการวิจัยแบบมีกลุ่มควบคุมทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (Pretest-Post Test Control Group Design) โดยโปรแกรมการเสริมสร้างพัฒนาสมองเพื่อป้องกัน ภาวะสมองเสื่อมในกลุ่มวัยเสี่ยง โปรแกรมการบําบัดทางสุขภาพจิตและโปรแกรมการสนับสนุนทาง สังคมในครอบครัวสําหรับผู้ดูแลหลักของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมใช้เวลา 8 สัปดาห์ 4 สัปดาห์ และ 4 สัปดาห์ตามลําดับ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ผลของโปรแกรมการส่งเสริมการจัดการตนเองเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมในวัยผู้ใหญ่ พบว่า กลุ่มทดลอง มีคะแนนความรู้เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม คะแนนทัศนคติ และคะแนนพฤติกรรม การจัดการตนเองเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมในระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผล สูงกว่า ในระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ.01 และในระยะหลังการทดลองระยะ ติดตามผล กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมคะแนนทัศนคติ และคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม สูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โปรแกรมการส่งเสริมการจัดการตนเองเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมในวัยผูใหญ่ มีประสิทธิผลในการสร้างเสริมการจัดการตนเองเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมในวัยผู้ใหญ่ และสามารถทําให้การจัดการตนเองได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม 2. ผลโปรแกรมการบําบัดทางสุขภาพจิตเพื่อการฟื้นฟูในผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม พบว่า กลุ่มทดลองภายหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการบําบัดทางสุขภาพจิตมีคะแนน MMSE เฉลี่ยเพิ่มขึ้น มากกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 รวมทั้งมีคะแนน MMSE มากกว่า กลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลโปรแกรมการสนับสนุนทางสังคมในครอบครัวสําหรับผู้ดูแลหลักของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม ผลการวิจัยพบว่าก่อนการทดลองทั้ง 2 กลุ่มไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องภาระในการดูแลอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่ภายหลังการทดลองกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการสนับสนุนทางสังคมในครอบครัวสําหรับผู้ดูแลหลักของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม มีคะแนนเฉลี่ยของภาระในการดูแลต่ำกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีคะแนนเฉลี่ยของในการดูแลต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการให้โปรแกรมการสนับสนุนทางสังคมในครอบครัวสําหรับผู้ดูแลหลักของผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อม สามารถลดภาระในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมได้เป็นอย่างดี สรุป เพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อมกลุ่มอายุผู้ใหญ่ควรได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีกิจกรรม การจัดการตนเองสําหรับเรื่องนี้ สําหรับกลุ่มอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมควรเข้าร่วมในโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อชะลอความเสื่อมของโรค โปรแกรมการสนับสนุนครอบครัวเป็นวิธีการที่มีประโยชน์ในการลดภาระการดูแลของผู้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมได้ดี
  • Default Image
    Item
    การจัดการอาหารปลอดภัยในศูนย์สงเคราะห์คนชราในประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วิทยา ศิริพันธ์วัฒนา; จันทร์จนา ศิริพันธ์วัฒนา
    จากการศึกษาการจัดการด้านอาหารปลอดภัยในศูนย์สงเคราะห์คนชราในประเทศไทย นักวิจัยได้ทำการศึกษาสถานสงเคราะห์ 4 แห่ง เพื่อเป็นแบบอย่างในการจัดการโดยมีข้อสรุปและอภิปรายการศึกษาและแนวทางการจัดการองค์กร ดังต่อไปนี้ ผลการศึกษาพบว่า มีความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติพฤติกรรมศาสตร์ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก 4 ประการของความสำเร็จ ลักษณะผู้บริหาร วัฒนธรรมองค์กรจิตวิทยาสังคม และพฤติกรรมทางสังคมของผู้เกี่ยวข้องที่มีผลต่อคุณภาพการจัดการความปลอดภัยอาหารของผู้สูงอายุในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ด้วยผลการศึกษาข้อมูลทั่วไป และแนวทางการจัดการสำหรับสถานประกอบการ 4 แห่ง และแนวทางสำหรับการจัดการองค์กรจากการศึกษาบริบทผู้บริหาร ผู้วิจัยพบว่า ภาวะผู้นำของผู้บริหารศูนย์บริการผู้สูงอายุทั้ง 4 แห่ง มีความแตกต่างในการสนับสนุนการดำเนินงานจากนโยบายวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์การจัดการ การอุทิศทรัพยากรและการจัดสรรงบประมาณ ศูนย์สงเคราะห์คนชราทุกแห่งมีปัจจัยด้านสุขาภิบาล อาหารพื้นฐาน โดยรวมอยู่ในสภาพที่มีการจัดการในระดับพอใช้ถึงดี นอกจากนี้จากการสังเคราะห์ ต้นแบบและรูปแบบการจัดการที่ดีสำหรับการจัดการอาหารปลอดภัยที่ศูนย์สงเคราะห์คนชราในประเทศไทย ควรมุ่งเน้นไปที่ระบบการจัดการภายในองค์กรที่เหมาะสม แนวปฏิบัติที่ดียังรวมถึงการใช้วงจรคุณภาพ PDCA และการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสุขาภิบาลอาหารสำหรับผู้จัดการอาหาร และผู้ให้บริการด้านอาหาร ความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ องค์ประกอบพฤติกรรมศาสตร์ ลักษณะผู้บริหาร วัฒนธรรมองค์กร จิตวิทยาสังคม พฤติกรรมทางสังคมของผู้เกี่ยวข้อง มีผลกระทบต่อคุณภาพการจัดการความปลอดภัยอาหารของศูนย์สงเคราะห์คนชราในประเทศไทย
  • Default Image
    Item
    นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทะเลบัวแดง จังหวัดอุดรธานี ที่เชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่น
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) มานะ เอี่ยมบัว; สุทัศน์ จันบัวลา; วรรณิกา เกิดบาง
    งานวิจัยครั้งนี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว ทะเลบัวแดง จังหวัดอุดรธานี 2) ประเมินผลผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวทะเลบัวแดงที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่น ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่บริเวณทะเลบัวแดง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบประเมินความพึงพอใจ โดยใช้สถิติวิจัย คือ หาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยจากการสํารวจปัญหาในการผลิตและความต้องการของกลุ่มผู้ประกอบการพบว่า ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลบัวแดง ในงานวิจัยนี้จึงได้ ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลบัวแดง จํานวน 5 แบบ ได้แก่ แบบที่ 1 นาฬิการูปใบบัวจากเสื่อกก แบบที่ 2 เรซิ่นติดตู้เย็น แบบที่ 3 ดินเผาบัวแดง แบบที่ 4 กรอบรูปบัวแดง และแบบที่ 5 ชุดรองจาน ผลการประเมินพบว่า ระดับคะแนนอยู่ในระดับดีมาก ทั้งหมด โดย ชุดที่ 1 เท่ากับ 4.36 ชุดที่ 2 เท่ากับ 4.52 ชุดที่ 3 เท่ากับ 4.29 ชุดที่ 4 เท่ากับ 4.02 ชุดที่ 5 เท่ากับ 4.28
  • Default Image
    Item
    ความเครียดในการปฏิบัติงานของอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์
    วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาระดับความเครียดในการปฏิบัติงาน 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความเครียดในการปฏิบัติงาน 3) ศึกษาแนวทางการลดความเครียดในการปฏิบัติงาน และ 4) เสนอแนะแนวทางการแก้ปัญหาความเครียดในการปฏิบัติงานของอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธีกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรของมหาวิทยาลัย 25 แห่ง กระจายให้ครอบคลุมทั้ง 6 ภูมิภาคของประเทศไทย มีผลการวิจัยดังนี้ 1. ระดับความเครียดในการปฏิบัติงาน มีดังนี้ 1) สภาพการทำงานที่มีผลให้เกิดความเครียดในการปฏิบัติงาน พบว่า 1.1) ด้านลักษณะงาน มีความเครียดระดับปานกลาง (x ̅= 3.07, S.D. = .865) 1.2) ด้านบทบาทหน้าที่ในมหาวิทยาลัยมีความเครียดระดับปานกลาง (x ̅= 3.00, S.D. = 1.084) 1.3) ด้านสัมพันธภาพระหว่างบุคคล มีความเครียดระดับปากลาง (x ̅= 2.51, S.D. = 1.183) 1.4) ด้านการพัฒนาทางอาชีพ มีความเครียดระดับปานกลาง (x ̅= 2.62, S.D. = 1.076) 1.5) ด้านลักษณะขององค์กร มีความเครียดระดับปานกลาง (x ̅= 3.18, S.D. = 1.124) และ 1.6) ด้านความสมดุลระหว่างชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัว มีความเครียดระดับปานกลาง (x ̅= 2.93, S.D. = 1.226) 2) ความสามารถในการปฏิบัติงานของอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร พบว่า 2.1) ด้านการผลิตบัณฑิตและการจัดการเรียนการสอน มีความสามารถระดับมาก (x ̅= 3.56, S.D. = .726) 2.2) ด้านการวิจัย มีความสามารถระดับปานกลาง (x ̅= 3.48, S.D. = .759) 2.3) ด้านการบริการวิชาการ มีความสามารถระดับปานกลาง (x ̅= 3.47, S.D. = .858) และ 2.4) ด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม มีความสามารถระดับปานกลาง (x ̅= 3.08, S.D. = 1.024) 3) ความเครียดต่อเหตุการณ์ที่กำหนดขึ้น พบว่า มีความเครียดต่อการไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ กลัวทำงานผิดพลาด รู้สึกคับข้องใจ และปวดหัวจากความตึงเครียด มีความเครียดระดับปานกลาง (x ̅= 2.61, S.D. = .873) 2. ปัจจัยที่มีผลต่อระดับความเครียดในการปฏิบัติงาน มีดังนี้ 1) สภาพการทำงานที่มีผลให้เกิดความเครียดในการปฏิบัติงาน (KMO = .910, Sig = .000) ประกอบด้วย 4 ปัจจัยประการ ได้แก่ 1.1) ความก้าวหน้าและความมั่นคงในอาชีพ และความสมดุล ในชีวิต 1.2) ความสัมพันธ์ ความเชื่อใจ และแรงจูงใจ 1.3) นโยบายองค์กร การมีส่วนร่วม และการสื่อสาร และ 1.4) ปริมาณและการประเมินคุณภาพของงาน 2) ความสามารถในการปฏิบัติงานของอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร (KMO = .888, Sig = .000) ประกอบด้วย 7 ปัจจัยประการ ได้แก่ 2.1) ด้านศิลปวัฒนธรรม 2.2) ด้านการเรียนการสอน และผลลัพธ์ผู้เรียน 2.3) ด้านการบริการวิชาการ 2.4) ด้านการวิจัย 2.5) ด้านคุณภาพหลักสูตร 2.6) ด้านการบริหารหลักสูตร และ 2.7) ด้านการพัฒนาผู้เรียน 3) ความรู้สึกเครียดต่อเหตุการณ์ที่กำหนดขึ้น (KMO = .922, Sig = .000) ประกอบด้วย 4 ปัจจัยประการ ได้แก่ 3.1) ด้านจิตใจและสมอง 3.2) ด้านร่างกาย 3.3) ด้านครอบครัว และ 3.4) ด้านความสำเร็จตามเป้าหมาย 3. แนวทางการลดความเครียดในการปฏิบัติงานที่สำคัญ ได้แก่ 3.1) อาจารย์ต้องรักในอาชีพ พัฒนาตนเองให้มีความก้าวหน้า แสวงหาความรู้พัฒนาการทำงาน ปรับการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ และพัฒนานักศึกษา 3.2) อาจารย์มีน้ำใจช่วยเหลือในการทำงานซึ่งกันและกัน มีความเป็นมิตรให้เกียรติซึ่งกันและกัน และไม่มีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ 3.3) อาจารย์ต้องทำงานสอน ทำวิจัย และเผยแพร่ผลการวิจัยให้เป็นองค์ความรู้กับศาสตร์สาขาวิชา 3.4) อาจารย์ต้องทำความเข้าใจเกณฑ์และตัวชี้วัดการประเมินคุณภาพการศึกษา วางแผนการทำงานของหลักสูตรให้เป็นไปตามเกณฑ์และตัวชี้วัด และ 3.5) อาจารย์ต้องพัฒนาหรือปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยตามบริบทการเปลี่ยนแปลง 4. ข้อเสนอแนะการแก้ปัญหาความเครียดในการปฏิบัติงานที่สำคัญ ได้แก่ 4.1) ผู้บริหารระดับสูงมีวิสัยทัศน์ที่แสดงศักยภาพสมรรถนะและความเป็นอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย กำหนดยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย หลักสูตร และการจัดการเรียนการสอน 4.2) มหาวิทยาลัยโดยฝ่ายบุคลากรชี้แจงสัญญาจ้าง การประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อต่อสัญญาจ้าง และการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือน 4.3) มหาวิทยาลัยมีการฝึกอบรมพัฒนาอาจารย์ด้านการจัดการเรียนการสอน การทำวิจัยการเพิ่มพูนศาสตร์ความรู้ 4.4) มหาวิทยาลัยมีระบบการข่วยเหลือให้อาจารย์ในการขอตำแหน่งทางวิชาการ 4.5) ผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยต้องเข้าใจระบบประกันคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ และสนับสนุนการดำเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษา และ 4.6) ผู้บริหารเข้าใจในการทำงานของอาจารย์ และให้อิสระในการดำเนินงานของหลักสูตร
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาคาเวียร์น้ำมัลเบอร์รีร่วมกับไคโตซาน
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) อัศพงษ์ อุประวรรณา
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการผลิตคาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ด้วยสารละลายโซเดียมอัลจิเนตที่ความเข้มข้น ร้อยละ 0.5, 1.0, 1.5 และ 2.0 (ALG 0.5, ALG 1.0, ALG 1.5 และ ALG 2.0 ตามลำดับ) และผลของการผลิตคาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ด้วยสารละลายโซเดียมอัลจิเนตผสมกับไคโตซานที่ความเข้มข้น ร้อยละ 0.5, 1.0, 1.5 และ 2.0 (CHI 0.5, CHI 1.0, CHI 1.5 และ CHI 2.0 ตามลำดับ) ที่มีต่อคุณภาพและการยอมรับทางประสาทสัมผัสของคาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ ผลการศึกษาพบว่า ความเข้มข้นของสารละลายโซเดียมอัลจิเนตส่งผลต่อทั้งปริมาณผลผลิตและสมบัติด้านต่าง ๆ ของคาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ที่เตรียมได้ โดย ALG 1.5 คือ คาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ที่มีคุณภาพดี และได้รับคะแนนความชอบโดยรวมสูงสุด ซึ่งได้รับคัดเลือกไปใช้ในการเตรียมคาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ผสมไคโตซานเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงคุณภาพระหว่างการเก็บรักษาที่อุณหภูมิแตกต่างกัน (อุณหภูมิแช่เย็นที่ประมาณ 4 - 10 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิห้องที่ประมาณ 26 - 32 องศาเซลเซียส) โดยพบว่า ความเข้มข้นของสารละลายไคโตซานส่งผลต่อทั้งปริมาณผลผลิตและสมบัติด้านต่าง ๆ ของคาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ผสมไคโตซานที่เตรียมได้ โดยขนาดอนุภาค ปริมาณสารประกอบฟีนอลิคทั้งหมด ปริมาณแอนโทไซยานินทั้งหมด และกิจกรรมกำจัดอนุมูลอิสระดีพีพีเอชลดลงระหว่างการเก็บรักษา การเก็บรักษาที่อุณหภูมิแช่เย็นช่วยลดการสูญเสียคุณภาพด้านต่าง ๆ ข้างต้นได้ดีกว่า นอกจากนี้ CHI 1.0 คือ คาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ผสมไคโตซานที่มีคุณภาพดี และมีการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียทั้งหมดและเชื้อยีสต์และราทั้งหมดต่ำสุด รวมทั้งได้รับคะแนนความชอบในด้านลักษณะปรากฏ (8.00 ± 0.56) สี (7.35 ± 0.75) เนื้อสัมผัส (8.15 ± 0.88) และความชอบโดยรวม (6.95 ± 0.69) อยู่ในเกณฑ์ดี เมื่อเสิร์ฟผลิตภัณฑ์คาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ผสมไคโตซานพร้อมกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ พบว่า ได้คะแนนความชอบในด้านลักษณะปรากฏอยู่ในเกณฑ์ชอบมาก ส่วนในด้านสี เนื้อสัมผัส และความชอบโดยรวมได้คะแนนอยู่ในเกณฑ์ชอบปานกลาง ในขณะที่คะแนนความชอบในด้านกลิ่น รสหวาน และรสเปรี้ยวได้รับคะแนนความชอบอยู่ในเกณฑ์เฉย ๆ และชอบเล็กน้อย ผลิตภัณฑ์คาเวียร์น้ำมัลเบอร์รี่ผสมไคโตซาน คือ อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาการตลาดท่องเที่ยวของผู้สูงอายุเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ขนิษฐา ปาลโมกข์ และ คณะ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาตลาดการท่องเที่ยว และปัจจัยทางการตลาดท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ 2) หาแนวทางพัฒนาปัจจัยทางการตลาดเพื่อดึงดูด และเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ และ 3) หาแนวทางสื่อสารการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักท่องเที่ยวผู้สูงอายุชาวไทย (ผู้สูงอายุวัยต้น) อายุระหว่าง 60 - 69 ปี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามที่ครอบคลุมประเด็นศึกษาตลาดการท่องเที่ยว และปัจจัยทางการตลาดท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาดด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการ และตัวแทนนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ จำนวนรวม 4 คน กลุ่มที่ 2 ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาการ และวิชาชีพ ได้แก่ นักวิชาการด้านการตลาด สื่อสารทางการตลาด และการท่องเที่ยว นักวิชาชีพด้านสื่อสารทางการตลาด และนักวิชาชีพการท่องเที่ยวภาครัฐและเอกชน จำนวนรวม 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสัมภาษณ์ในประเด็นตามวัตถุประสงค์การวิจัย และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. ตลาดการท่องเที่ยว และปัจจัยทางการตลาดท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ สถานภาพทั่วไป กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง ร้อยละ 60.20 และเพศชาย ร้อยละ 39.80 มีอายุระหว่าง 60-64 ปี ร้อยละ 54.05 แหล่งหาข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวคือ ญาติมิตร อินเทอร์เน็ต/โซเชียลมีเดีย วัตถุประสงค์หลักเพื่อพักผ่อน หาประสบการณ์ใหม่ และเยี่ยมญาติ/เพื่อน ผู้สูงอายุเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัว/ญาติ และเพื่อน จำนวนครั้งเฉลี่ยต่อปีของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ปีละ 1-2 ครั้ง ช่วงเวลาในการเดินทางท่องเที่ยว ทุกโอกาสตามความสะดวก วันเสาร์- อาทิตย์ และวันหยุดต่อเนื่อง พาหนะที่ใช้เป็นรถยนต์ส่วนตัว แหล่งท่องเที่ยวที่นิยมไปท่องเที่ยวเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม/ประวัติศาสตร์ ค่าใช้จ่ายในประเทศเฉลี่ยต่อครั้ง 2,000 - 8,000 บาท ที่พักในการเดินทางท่องเที่ยว ส่วนใหญ่นิยมพักโรงแรม/รีสอร์ท และพักบ้านพักญาติ/เพื่อน สิ่งที่จูงใจในการตัดสินใจท่องเที่ยว คือธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่พักสะดวกสบาย โบราณสถาน/โบราณวัตถุ ศิลปวัฒนธรรม/ประเพณี และความปลอดภัย ปัจจัยทางการตลาดการท่องเที่ยว ประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากร ด้านกายภาพ และด้านกระบวนการให้บริการ ในภาพรวม กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยมากที่สุด 2. แนวทางพัฒนาปัจจัยทางการตลาดเพื่อดึงดูดและเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ ควรมีการดำเนินการครอบคลุม 5 ประเด็น คือ 1) มิติ 3Ds คือ Discovery การค้นหา ศึกษา เข้าใจความต้องการของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ Development การพัฒนาปัจจัยทางการตลาดท่องเที่ยวให้สอดคล้องความต้องการของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ และ Delivery การส่งมอบปัจจัยทางการตลาดท่องเที่ยว ผ่านสื่อหรือช่องทางการสื่อสาร ช่องทางการจัดจำหน่าย และช่องทางการให้บริการอย่างทั่วถึง และมีความต่อเนื่อง 2) รัฐต้องกำหนดให้การท่องเที่ยวของผู้สูงอายุเป็นยุทธศาสตร์ชาติ 3) ภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม 4) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (Network) ทุกภาคส่วนในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติ 5) ผู้ประกอบการท่องเที่ยวปรับกระบวนทัศน์ให้สอดรับกับบริบทของการตลาดท่องเที่ยวผู้สูงอายุ 3. แนวทางสื่อสารการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของผู้อายุในประเทศไทย ควรมีการดำเนินการครอบคลุม 4 ประเด็น คือ 1) การใช้เครื่องมือสื่อสารการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้เรื่องการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุ ด้วยการสื่อสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สื่อมวลชน สื่อบุคคล สื่อดั้งเดิม สื่อกิจกรรม 2) การใช้เครื่องมือหรือช่องทางการสื่อสารการตลาดที่กระตุ้นการท่องเที่ยวของผู้สูงอายุให้ท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยการสื่อสารผ่านสื่อมวลชน สื่อสังคมออนไลน์ สื่อบุคคล สื่อกิจกรรม และสื่อทางตรง 3) รูปแบบเนื้อหาในเครื่องมือหรือช่องทางการสื่อสารควรเน้นเนื้อหาเพื่อสื่อสารเกี่ยวกับความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และคุณภาพ ด้วยภาพ และข้อความเชิงสร้างสรรค์ สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่พัก ตลอดจนประโยชน์ที่ผู้สูงอายุจะได้รับ และกิจกรรม โปรแกรมการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน 4) การส่งเสริมการตลาดที่กระตุ้น และจูงใจนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุให้ท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยการให้ส่วนลด ของแถม หรือสิทธิพิเศษ รวมทั้งส่วนลด และสิทธิพิเศษสำหรับผู้ติดตาม เน้นจุดขาย และแนวคิดทางการตลาดที่ชัดเจน สื่อบุคคล แพ็กเกจหรือโปรแกรมนำเที่ยวที่เหมาะสม
  • Default Image
    Item
    การเพิ่มผลิตภาพและความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับของครัวกลาง บริษัท การบินไทย (มหาชน) จำกัด
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วิทยา ศิริพันธ์วัฒนา; จันทร์จนา ศิริพันธ์วัฒนา
    ผู้วิจัยได้เข้าไปวินิจฉัยกิจการวิเคราะห์กระบวนการผลิตและกระบวนการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ กำหนดประเด็นและแผนกิจกรรมที่สำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน โดยยึดหลักความรุนแรงของผลกระทบ ความเป็นไปได้ของกิจกรรม และกลยุทธ์ของบริษัท โดยได้กำหนดกิจกรรมสองด้านใหญ่ ๆ คือ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากอาหารส่วนเกินและอาหารเหลือ รวมถึงการทำแผนธุรกิจการตลาดเพื่อให้เกิดอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ อันนำไปสู่การลดอาหารส่วนเกินและอาหารเหลือ และอีกด้านหนึ่งการลดต้นทุนการผลิต เช่น การลดเวลา การผลิต ลดความสูญเสีย และลดกำลังแรงงาน หรือกิจกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ โลจิสติกส์และการบริหารห่วงโซ่อุปทาน เช่น การลดการที่ต้องมีการทำงานซ้ำ การลดความผิดพลาดในการทำงาน การลดโอกาสที่เกิดอุบัติเหตุ การลดต้นทุนและเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน การกำหนดแผนกลยุทธ์ในการรักษาความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ คู่ค้า และลูกค้า และมีการวิจัยเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรอุปกรณ์ กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพด้านข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับ การลดปริมาณอาหาร วนเกิน อาหารเหลือ และสร้างนวัตกรรมอาหารใหม่ เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ลดความสูญเปล่าในการบริหารจัดการครัวกลาง การเพิ่มผลผลิตเป็นการพัฒนากระบวนการในการปฏิบัติงานเพื่อให้ได้ สินค้า บริการ หรืองานที่มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
  • Default Image
    Item
    การประเมินฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ ไทโรซิเนส และพฤกษเคมี ของสารสกัดหยาบและน้ำมันหอมระเหยจากข่าป่า และการประเมินความปลอดภัยฑ์โรออนระงับกลิ่นทางคลินิก
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ศรีสุดา หาญภาคภูมิ; จิราภรณ์ ทองตัน; อรพิณ โกมุติบาล; สรียา เรืองพัฒนพงษ์; ไพบูรณ์ เรืองพัฒนพงษ์; สมพงษ์ นาคพินิจ
    สารสกัดข่าถูกนำมาใช้สำหรับฤทธิ์ต้านเชื้อรา ฤทธิ์ต้านมะเร็ง ฤทธิ์ต้านจุลินทรีย์ ฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านเอนไซม์ไทโรซิเนสและคุณสมบัติอื่น ๆ ข่าบ้าน ข่าเหลือง และข่าน้ำถูกนำมาทดสอบการต้านแบคทีเรียสร้างกลิ่น ซึ่งข่าบ้าน ข่าเหลือง และข่าน้ำระบุชนิดเป็น Alpinia siamensis K. Schum Alpinia galangal (Linn.) Swartz. และ Alpinia nigra (Gaertn.) B.L. Burtt. ตามลำดับ ส่วนใบ ลำต้น และเหง้าของข่าทั้ง 3 ชนิดที่สกัดด้วยตัวทำละลายเอทานอล ผลการทดลอง พบว่า ร้อยละของปริมาณผลผลิตที่ได้จากข่าบ้าน (27.80%) จะสูงกว่าข่าชนิดอื่น ๆ ปริมาณผลผลิตน้ำมันหอมระเหยจากข่าบ้านจะสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับข่าชนิดอื่น ๆ (0.098±0.021) สารสกัดเหง้าข่าเหลืองจะให้ค่าสูงต่อการต้าน Corynebacterium xerosis 2637 (19.00±0.00 mm) และ Staphylococcus epidermidis ATCC 12228 (30.25±9.22 mm) ยิ่งไป กว่านั้นยังให้ค่าการยับยั้ง Propionibacterium acnes DMST 14916 สูงที่สุด (27.25±3.86 nm) ในขณะที่สารสกัดส่วนใบของข่าทั้ง 3 ชนิดจะไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อ Corynebacterium xerosis 2637, Staphylococcus epidermidis ATCC 12228, Propionibacterium acnes DMST 14916 และ Staphylococcus aureus ATCC 25923 ค่าดีที่สุดของค่าเหลืองต่อทั้ง Corynebacterium xerosis 2637 และ Staphylococcus epidermidis ATCC 12228 คือ 6.25 mg/mL ตามด้วยทั้งแบคทีเรีย Propionibacterium acnes DMST 14916 และ Staphylococcus aureus ATCC 25923 จะแสดงค่า MIC เท่ากับ 12.5 mg/mL สารสกัดข่าเหลืองจะแสดงฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุด (38.12±0.18 µmol Trolox / g extract) ฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์และไม่เป็นพิษจาก UV ค่าการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสสูงสุดจากลำต้นข่าบ้าน คือ 77.93±1.67% สารสกัดเหง้าข่าน้ำจะแสดงปริมาณสารฟิโนลิกสูงสุด (4.30 GAE/g extract) ในการทดสอบในอาสาสมัครแบบ Sniff test สูตรผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ 1 (1% สารสกัด เหง้าข่าเหลือง) ถูกนำมาประเมินกลื่นกายนาน 48 ชั่วโมง แบ่งออกเป็น 3 จุดเวลา ผลการทดลองพบว่า กลิ่นกายที่เวลา 12-24 ชั่วโมงจะยังคงลดลง หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายไป 24 ชั่วโมง กลิ่นกายจะลดลง 43.75% การลดลงของแบคทีเรียทั้งหมด พบว่า สูตรที่ 3 จะทำให้แบคทีเรียที่ต้องการอากาศทั้งหมดลดลง 82.09% และแบคทีเรียที่ไม่ต้องการอากาศลดลง 71.92%
  • Default Image
    Item
    ศึกษาการซึมผ่านแผ่นกั้นผิวหนังหมูในหลอดทดลองของสารประกอบฟลาโวนอยด์ในสารสกัดใบขลู่จากตํารับไมโครอิมัลชัน
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ขวัญจิต อิสระสุข; กัลยาภรณ์ จันตรี; ปิยนุช พรมภมร; ธรรมนูญ รุ่งสังข์; ทัศนย์ พาณิชย์กุล
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการซึมผ่านแผ่นกั้นผิวหนังหมูในหลอดทดลองของสารประกอบฟลาโวนอยด์ในสารสกัดใบขลู่จากตํารับไมโครอิมัลชัน สกัดใบขลู่ด้วยวิธีการหมักด้วย ตัวทําละลายเอทานอลร้อยละ 99 วิเคราะห์หาปริมาณสารประกอบฟินอลิกรวมและฟลาโวนอยด์รวม ด้วยวิธี Folin-Ciocalteu assay และAluminium chloride method ตามลําดับ พบว่า สารสกัดมีปริมาณสารประกอบฟินอลิกรวมเท่ากับ 54.61±0.53 mgGAE/กรัมสารสกัด และปริมาณสารประกอบ ฟลาโวนอยด์รวมเท่ากับ 536.18±2.31 mgQE/กรัมสารสกัด วิเคราห์ปริมาณสารออกฤทธิ์ 4,5-Di-O caffeoylquinic acid ในสารสกัดใบขลู่ด้วยวิธี High performance liquid chromatography พบว่า สารสกัดใบขลู่มีปริมาณสารออกฤทธิ์ 4,5-Di-O-caffeoylquinic acid เทากับ 9.359 ug/mL การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดหยาบจากใบขลู่ ด้วยวิธี DPPH assay พบว่า สารสกัดที่สกัดมีค่าความเข้มข้นของสารสกัดที่กําจัดอนุมูลอิสระได้ 50% เท่ากับ 0.4638±0.058 mg/mL เทียบกับสารควบคุมเชิงบวกวิตามินซี สารสกัดใบขลู่ไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ไฟโบรบลาสต์ผิวหนังมนุษย์ ทดสอบ ด้วยวิธี SRB assay เตรียมตํารับไมโครอิมัลชันในรูปแบบน้ํามันในน้ําด้วยแบบจําลองภาพ pseudo ternaryphase diagrams พบว่า ตํารับที่เหมาะสมประกอบด้วยสารสกัดใบขลู่ 0.2 ร้อยละโดยน้ําหนัก ตรวจสอบลักษณะทางกายภาพของตํารับไมโครอิมัลชันที่มีสารสกัดใบขลู่ด้วยเครื่องอิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน พบว่า ไมโครอิมัลชันที่เตรียมได้มีลักษณะรูปร่างเป็นทรงกลม มีขนาดอนุภาคเฉลี่ยเท่ากับ 24.397±1.20 nm และมีค่าการกระจายตัวเฉลี่ยเท่ากับ 0.397±0.05 ประเมินตํารับไมโครอิมัลชันที่ มีสารสกัดใบขลู่ทางเคมีกายภาพ พบว่า ไมโครอิมัลชันมีสีเขียวใสเป็นเนื้อเดียวกัน และมีความหนืดเล็กน้อย มีค่าสี L*a*b* เท่ากับ +8.29±0.76, +2.27±0.07, +0.26±0.09 ตามลําดับ มีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) เท่ากับ 6.08 ประเมินความคงตัวของไมโครอิมัลชันที่เตรียมได้ที่สภาวะอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 3 เดือน อุณหภูมิร้อนสลับเย็นเป็นเวลา 6 รอบ อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส และ 4 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 1 เดือน ผลการประเมิน พบว่า ไมโครอิมัลชันที่มีสารสกัดมีความคงตัวดี ไม่เปลี่ยนแปลงทุกสภาวะที่ทดสอบโดยเทียบกับสภาวะเริ่มต้น และผลการประเมินการแพร่ซึมผ่านผิวหนังในหลอดทดลอง พบว่า สารสกัดใบขลู่ที่เตรียมในรูปแบบไมโครอิมัลชันสามารถแพร่ผ่านชั้นผิวหนัง Stratum corneum ได้ จากผลการศึกษาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าไมโครอิมัลชันที่มีสารสกัดจากใบขลู่สามารถนําไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางสําหรับผิวหนังได้
  • Default Image
    Item
    แนวคิดและรูปแบบของพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 7 กับการพัฒนา รูปแบบปฏิมากรรมร่วมสมัย
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) สุดารัตน์ เทพพิมล
    การวิจัยเรื่อง แนวคิดและรูปแบบของพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 4-รัชกาลที่ 7 กับการพัฒนารูปแบบปฎิมากรรมร่วมสมัย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดและรูปแบบของพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 4-รัชกาลที่ 7 และการพัฒนารูปแบบของปฏิมากรรมร่วมสมัย รวมทั้งนำเสนอแนวทางในการพัฒนาปฏิมากรรมร่วมสมัยโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์เอกสาร (Documentary Analysis) 2) แบบบันทึกการสนทนากลุ่มโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Focus Group) 3) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างสำหรับผู้เชี่ยวชาญ (Structured Interview) ผลการวิจัย พบว่าในสมัยรัชกาลที่ 4-รัชกาลที่ 7 ได้รับอิทธิพลทางแนวคิดทางวิทยาศาสตร์จากตะวันตก จึงส่งผลให้รูปแบบของพระพุทธปฏิมามีการปรับเปลี่ยนจากอิทธิพลทางด้านแนวคิดบวกกับความรู้ใหม่จากตะวันตกในเชิงช่างเกิดเป็นการผสมผสานรูปแบบของศิลปกรรมในอดีตอย่างกลมกลืน ประกอบด้วย 1) พระพุทธรูปที่สร้างใหม่โดยปฏิมากรในราชสำนักตามแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 4 คือ จากขมวดพระเกศาขึ้นไปไม่มีอุษณีษะ (เกตุมาลา) ละม้ายพระพุทธรูปแบบลังกา แต่ยังคงมีรัศมีรูปเปลวเพลิง พระกรรณสั้น ครองจีวรเป็นริ้วธรรมชาติแบบเหมือนจริง 2) พระพุทธรูปที่จำลองขึ้นจากรูปแบบประเพณีโบราณที่เคยมีมาในอดีต 3) พระพุทธรูปที่สร้างจากภาคประชาชนโดยมีรูปแบบที่หลากหลาย ด้วยฝีมือของศิลปินช่างพื้นบ้าน 4) พระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะเหมือนจริงแบบตะวันตก 5) พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากหัวเมืองอื่น 6) พระพุทธรูปแบบผสมผสานไทยประเพณีประยุกต์ วัสดุที่ใช้สร้าง ได้แก่ ทองคำลงยา เงิน สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง หยก ปูน และโลหะผสมอื่น ๆ ส่วนปฏิมากรรมร่วมสมัยหรือพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7 จนถึงปัจจุบัน มีลักษณะเป็นพหุลักษณ์ กล่าวคือผสมผสานอัตลักษณ์ของพระพุทธรูปโบราณ อาทิ แบบเชียงแสน สุโขทัย คันธาระ ยังคงมีแนวคิดของการอนุรักษ์ตามกรอบการสืบสานแบบประเพณีนิยมทางอุดมคติ ซึ่งปรากฏในมหาปุริสลักษณะ อิริยาบถนั่งยังคงอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม ส่วนที่มีการต่อยอดผสมผสานแนวคิดสมัยใหม่ คือการครองจีวรแบบเหมือนจริง ถึงแม้จะมีการลดทอนลักษณะทางอุดมคติไปบ้าง ด้วยการแสดงกล้ามเนื้อเล็กน้อย แต่ยังต้องคงไว้ซึ่งลักษณะทางอุดมคติ เช่น เปลวรัศมี อุษณีษะ เพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างมหาบุรุษและมนุษย์สามัญ แสดงความน่าเคารพบูชา ถือได้ว่าเป็นการสร้างสรรค์รูปแบบโดยปรับเปลี่ยนลักษณะที่คิดว่างดงามให้มีความโดดเด่น โดยยังคงไว้ซึ่งแนวคิดทางอุดมคติทางความงาม เชื่อมโยงให้เห็นปรัชญาทางพระพุทธศาสนาเห็นถึงความจริง จากความจริงภายนอก (Visual Image) สู่ความจริงภายในที่สงบ (Mental Image) พระพุทธรูปจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของการประกาศธรรมของพระศาสดาที่ทำให้มนุษย์พ้นจากวัฎสงสาร จึงมีเหตุอันได้มาซึ่งรูปกายอันเป็นเลิศที่เป็นสมมุติสัจจะ (Conventional Truth) เมื่อปฏิบัติได้ตามคำสอนจึงหลุดพ้นจากสมมุติสัจจะเข้าสู่ปรมัตถสัจจะ (Absolute Truth)
  • Default Image
    Item
    รูปแบบการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงวัยขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองโพธิ์ อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ศิริมา สุวรรณศรี; สมศักดิ์ เจริญพูล; เอกอนงค์ ศรีสำอางค์; พนารัตน์ พรมมา
    การศึกษาเรื่อง รูปแบบการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงวัยขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองโพธิ์ อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการณ์และความต้องการในการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการผู้สูงวัยขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองโพธิ์ อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี 2) พัฒนารูปแบบการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการผู้สูงวัยขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองโพธิ์ อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี 3) นำเสนอรูปแบบการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงวัยต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) โดยใช้เครื่องมือการวิจัยเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบบันทึกการสนทนากลุ่มย่อย ทำการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามจากผู้สูงวัย จำนวน 297 คน และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 33 คน ข้อมูลที่ได้เชิงปริมาณทำการวิเคราะห์ โดยการหาค่าเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมทั้งการวิเคราะห์ One-way ANOVA ข้อมูลเชิงคุณภาพทำการวิเคราะห์ โดยการวิเคราะห์เนื้อหา การวิเคราะห์แบบอุปนัย และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการจำแนกและจัดระบบหมวดหมู่ข้อมูล มีผลการศึกษา ดังนี้ 1) สภาพการณ์และความต้องการในการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการผู้สูงวัย พบว่า สวัสดิการที่ผู้สูงวัยได้รับอยู่ในระดับมาก ความต้องการด้านเครือข่ายเพื่อการพัฒนาสวัสดิการผู้สูงวัยอยู่ในระดับปานกลาง ผู้สูงวัยต้องการให้องค์การบริหารส่วนตำบลมีการกำหนดนโยบาย และสนับสนุนงบประมาณด้านการส่งเสริมการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาการจัดสวัสดิการผู้สูงวัย 2) การพัฒนารูปแบบการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการผู้สูงวัย พบว่า ควรมีการพัฒนาตามกรอบแนวคิดของทฤษฎีระบบ (System Theory) การนำเสนอรูปแบบการสร้างเครือข่ายและการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงวัยต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยการจัดทำคู่มือที่เน้นให้ผู้ปฏิบัติสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลในการดำเนินงานและตอบสนองความต้องการของผู้สูงวัย
  • Default Image
    Item
    แผนธุรกิจการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ whitening cream มีส่วนผสมของสารสกัดมะหาดและชะเอมเทศ
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วิทยา ศิริพันธ์วัฒนา; ทัศนีย์ พาณิชย์กุล; ณัฐพร บู๊ฮวด; ปิยวรรรณ อยู่ดี
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสของผู้บริโภค และการสร้างแผนธุรกิจการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ whitening cream มีส่วนผสมของสารสกัดมะหาดและชะเอมเทศ โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมดังกล่าวคือ ความถี่ในการซื้อเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสสำหรับผลิตภัณฑ์ whitening cream มีส่วนผสมของสารสกัดมะหาด และชะเอมเทศ โดยงานวิจัยนี้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุมากกว่า 18 ปี จำนวน 500 ตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์เชิงลึกและกระบวนการโฟกัสกรุ๊ปกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของอุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสไทย ได้แก่ ผู้ประกอบการ ผู้บริโภค ผู้กำกับดูแล อุตสาหกรรมเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสไทยทั้งภาครัฐและเอกชน โรงงานผลิตเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใส เป็นต้น และผู้วิจัยได้สกัดข้อมูลที่ได้รับมาจัดทำแบบสอบถาม และวิเคราะห์ความเที่ยงและความน่าเชื่อถือของแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามโดยวิธี IOC และ pre-test การสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้วิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ซื้อเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสด้วยตนเองเพศหญิง ซื้อมากกว่าเพศชาย ใช้จ่ายในการเลือกซื้อเลือกหาครื่องสำอางประมาณ 100-500 บาทต่อครั้ง แผนธุรกิจการตลาดเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสควรให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อเลือกหาเครื่องสำอางที่ร้านค้าใกล้บ้าน ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าสะดวกซื้อ เพราะความสะดวกสบาย ให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าและมาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสบุคคลที่มีอิทธิพล ในการเลือกซื้อเลือกหาเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสมากที่สุดคือตนเอง เพื่อนสนิท คู่ครอง ดารา และนักร้อง อิทธิพลจากสื่อที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อครื่องสำอางมากที่สุดคือ เพื่อน และอินเทอร์เน็ตรวม โซเชียลมีเดียร์ นอกจากนี้ ราคาเครื่องสำอางที่เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใสควรมี ความเหมาะสมเมื่อเทียบกับสินค้าคู่แข่งขัน คุณภาพ และปริมาณ นอกจากนี้ การมีการลดแลกแจกแถมในช่วงเทศการต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้น้ำหนักความสำคัญเป็นอย่างมาก
  • Default Image
    Item
    การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟสำหรับเด็กปฐมวัย โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ในโรงเรียนเครือข่าย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ขวัญฟ้า รังสิยานนท์; พรรัก อินทามระ; ศศิพันธุ์ เปี๊ยนเปี่ยนสิน; ศีลสุภา วรรณสุทธิ์; ศิริพงษ์ ทิณรัตน์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อสร้างทดลองใช้ และพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟ มีขั้นตอนการวิจัย 3 ขั้น คือ 1) การสร้างรูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูโรงเรียนละ 2 - 3 คน และผู้ปกครองโรงเรียนละ 20 - 25 คน ที่สมัครใจจากโรงเรียนเครือข่าย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จำนวน 6 แห่ง รวมทั้งสิ้นครู 18 คน และผู้ปกครอง 116 คน 2) การทดลองใช้รูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟ กลุ่มตัวอย่างคือ เด็กอายุระหว่าง 3-5 ปี โรงเรียนเครือข่ายของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต จำนวน 6 แห่ง รวมทั้งสิ้น 108 คน และ 3) การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะสมอง-อีเอฟ ด้านการวัดและประเมินผลและด้านการศึกษาปฐมวัยรวมทั้งตัวแทนครูผู้บริหารและผู้ปกครองโรงเรียนเครือข่ายของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต รวมทั้งสิ้น 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมี 5 ฉบับ คือ 1) แบบบันทึกข้อมูลพื้นฐานในการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟ 2) แบบบันทึกความเหมาะสมของรูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟและคู่มือการใช้รูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟ 3) แบบประเมินพัฒนาการด้านทักษะสมอง- อีเอฟเด็กปฐมวัย 4) แบบบันทึกความคิดเห็นของครูและผู้ปกครองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่พบของเด็กด้านทักษะสมอง-อีเอฟ และ 5) การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบ dependent ผลการวิจัย 1. รูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟสำหรับเด็กปฐมวัยที่พัฒนาขึ้น มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) การจัดกระบวนการเรียนรู้ และ 4) การประเมินโดยในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 จัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในบรรยากาศเชิงบวกโดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์สร้างสรรค์ด้วยการสบตา วาจาสร้างสรรค์และสัมผัสที่อบอุ่นให้เด็กเกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยโดยมีความรักและความผูกพันเป็นฐาน และส่วนที่ 2 จัดกิจกรรมบูรณาการผ่านการเล่นตามรอยพระยุคลบาท โดยบูรณาการเข้าไปในกิจกรรมประจำวันของโรงเรียนและวิถีการดำเนินชีวิตประจำวันที่บ้านของแต่ละครอบครัว 2. ผลการทดลองใช้รูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟสำหรับเด็กปฐมวัย พบว่า พัฒนาการด้านทักษะสมอง-อีเอฟเด็กปฐมวัย โดยภาพรวมและรายด้าน หลังใช้รูปแบบฯ สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 นอกจากนี้ครูและผู้ปกครองต่างเห็นพ้องกันว่าหลังใช้รูปแบบฯ เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่มีพัฒนาการด้านทักษะสมอง-อีเอฟเพิ่มมากขึ้น 3. ผลการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟสำหรับเด็กปฐมวัย พบว่า รูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟสำหรับเด็กปฐมวัยที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมในการนำไปใช้และมีความเป็นไปได้ในการนำไปปฏิบัติอยู่ในระดับมาก และคู่มือการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟสำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อการเผยแพร่ มี 5 ตอน คือ 1) ความรู้เรื่องทักษะสมอง-อีเอฟ 2) รูปแบบการเสริมสร้างทักษะสมอง-อีเอฟ 3) การเล่นตามรอยพระยุคลบาทโดยครอบครัว 4) การเล่นตามรอยพระยุคลบาทโดยโรงเรียน และ 5) การประเมินตามสภาพจริง
  • Default Image
    Item
    กระบวนการสร้างคุณค่าจากทุนทางสังคมวัฒนธรรมสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน ตำบลผาปัง อำเภอแม่พริก จังหวัด ลำาปาง
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ขวัญนภา สุขคร; เสาวธาร สมานิตย์; ฐิติวรฎา ใยสำลี; สิทธา พงษ์ศักดิ์; สิรณัฐเศรษฐ สุภาจันทรสุข; ไผทเทพ ตุทานนท์; พัชพร วิภาศรีนิมิต
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อถอดบทเรียนการจัดการชุมชนบนฐานการพัฒนาตามศักยภาพและบริบทของชุมชน 2) เพื่อสังเคราะห์และนำเสนอกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน และ 3) เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลผาปัง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง ผลจากการวิจัยจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ เช่น ด้านวิชาการเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ (Paradigm shift) ของกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของ ชุมชน ด้านนโยบายได้ต้นแบบกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็ง และยั่งยืนของชุมชนที่สามารถประยุกต์ใช้ในพัฒนาชุมชนในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศได้ ด้านเศรษฐกิจการพัฒนาเกิดกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชน และเป็นกระบวนการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับทุกมิติของชุมชน พัฒนาจากฐานความรู้และสร้างมูลค่าเพิ่มจากทุนทางสังคมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ นำไปสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืนเศรษฐกิจชุมชน และภาพรวมของประเทศ และด้านสังคมและชุมชน เกิดกระบวนการในเชิงคุณค่านำไปสู่การพัฒนาชุมชนในมิติอย่างสมดุล ในการวิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR = Participatory Action Research) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ถูกต้อง และมีความน่าเชื่อถือจึง ได้กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจะมีความหลากหลายรูปแบบในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลตามประเภทของข้อมูลที่รวบรวมจากแหล่งต่าง ๆ ประกอบด้วย การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดเวทีประชาคม เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประชุมเชิงปฏิบัติการ สนทนากลุ่ม (Focus Group) การสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลทุติภูมิ โดยการรวบรวมมาจากหนังสือ ตำรา บทความ และงานวิจัยต่าง ๆ นั้นแล้วนำข้อมูลทั้ง 2 ประเภท มาตีความ จัดหมวดหมู่ สังเคราะห์ และวิเคราะห์ตามประเด็นที่กำหนด และมีการนำเครื่องมือมาตรวจสอบหาค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งมีค่า IOC ที่หาได้คือ 1.00 ผลของการวิจัยได้มาซึ่งกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็ง และยั่งยืนของชุมชนในรูปแบบ PHAPANG Model ประกอบด้วย กระบวนการที่ 1: ศักยภาพและทุนชุมชน มีการพัฒนาอย่างสมดุลและครอบคลุมทุก มิติ (P: Potential and community capital with balanced development and covering all dimensions) กระบวนการที่ 2: กระบวนการพัฒนาทุนมนุษย์ บนฐานองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างกระบวนการเชิงคุณค่าของชุมชน (H: Human capital development process on the basis of knowledge and innovation to create a value process for the community) กระบวนการที่ 3: การจัดการและการสร้างนวัตกรรมเพื่อการจัดการชุมชนด้วย กระบวนการจัดการความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ (A: Administration and innovation for community management with creative conflict management processes) กระบวนการที่ 4: การมีส่วนร่วมและเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมที่ยึดโยงฐานวัฒนธรรม วิถี ความเชื่อ อัตลักษณ์ และตัวตนของคนในชุมชน (P: Participation and strengthen the participation process that adheres to the cultural base, the way of belief, community identity and identity of people in the community) กระบวนการที่ 5: อัตลักษณ์ท้องถิ่นและการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ชุมชนต้นแบบ ความสุข สร้างสรรค์ ยั่งยืน (A: Authentic Local Identity and Creating Community’s Identity Brands for sustainable creative happiness) กระบวนการที่ 6: ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ (N: Notable local identity products) กระบวนการที่ 7: คุณค่าที่แท้จริงและกระบวนการสร้างคุณค่าและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยใช้ฐานภูมิปัญญาของชุมชน (G: Genuine value creation and the process of value creation and utilization of natural resources and the environment by adapting the local wisdom base) จากการวิเคราะห์บริบทชุมชน ศักยภาพความพร้อมของชุมชน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายในและภายนอกชุมชน โดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นำไปสู่การกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชุมชนร่วมกัน โดยได้ข้อสรุปภาพอนาคตและทิศทางการพัฒนาโดยนำเสนอใน 2 ประเด็นดังนี้ ประเด็นที่ 1 วิสัยทัศน์ในการพัฒนาชุมชน (วิสัยทัศน์: ชุมชนต้นแบบการจัดการชุมชนเชิงคุณค่า (ความสุข สร้างสรรค์ ยั่งยืน) ประเด็นที่ 2 ยุทธศาสตร์การพัฒนา โดยกำหนดแนวทางและ ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมโดยนำเสนอยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชุมชน ตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมใน 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) การจัดการองค์ความรู้ชุมชนและการบูรณาการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนโดยใช้กระบวนการเชิงคุณค่าเป็นฐานในการพัฒนา 2) เสริมสร้างศักยภาพการจัดการชุมชนเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมวิถีอัตลักษณ์ 3) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยใช้ฐานภูมิปัญญาของชุมชน และ 4) เสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาชุมชนในทุกมิติอย่างสมดุล โดยใช้ฐานภูมิปัญญาและนวัตกรรม
  • Default Image
    Item
    รูปแบบการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จากการใช้โปรแกรมสุนทรียสาธก
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ลัดดาวัลย์ เตชางกูร; พิไลพร สุขเจริญ; สิริวรรณ วงศ์พงศ์เกษม; รภัทภร เพชรสุข
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จากการใช้โปรแกรมสุนทรียสาธก และเพื่อสร้างคู่มือการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนของนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 1 ปีการศึกษา 2561 มหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับสูง 10 คน ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี แบ่งเป็นระยะที่ 1 การใช้โปรแกรมสุนทรียสาธก 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ค้นหาประสบการณ์ด้านแรงจูงใจในการเรียน ขั้นที่ 2 สร้างภาพฝันที่เสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียน ขั้นที่ 3 ออกแบบกิจกรรมที่เสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียน และเขียนข้อความที่แสดงถึงการมีแรงบันดาลใจร่วมกัน และขั้นที่ 4 การทำให้ภาพฝันประสบความสำเร็จ และระยะที่ 2 การติดตามผลลัพธ์การปฏิบัติกิจกรรม และสร้างคู่มือการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนของนักศึกษาพยาบาล ผลการวิจัยดังนี้ 1) รูปแบบการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนจากการใช้โปรแกรมสุนทรียสาธก ประกอบด้วย 1) การค้นหาประสบการณ์ด้านแรงจูงใจในการเรียน 4 ประเด็น ได้แก่ การเห็นคุณค่าของวิชาชีพพยาบาล ความต้องการพัฒนาตนเอง ความหวังและความภาคภูมิใจของครอบครัว และความต้องการการยอมรับจากสังคม 2) การสร้างภาพฝันที่ช่วยสร้างแรงจูงใจในการเรียน 2 ประเด็น ได้แก่ การมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับสูง และการมีอาชีพที่มั่นคง 3) การออกแบบปัจจัยสนับสนุนให้ภาพฝันประสบความสำเร็จ 2 ด้าน ได้แก่ ด้านจิตใจ ประกอบด้วย กำลังใจจากครอบครัว เพื่อน อาจารย์ และด้านสุขภาพร่างกาย และ 4) กิจกรรมที่ส่งผลต่อความสำเร็จตามภาพฝัน 3 ด้าน ได้แก่ กิจกรรมด้านการเรียน กิจกรรมด้านสุขภาพ และกิจกรรมตามความสนใจของนักศึกษาแต่ละคน 2) คู่มือการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนของนักศึกษาพยาบาลจากการใช้โปรแกรมสุนทรียสาธกประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 บทนำ ได้แก่ ความหมายของแรงจูงใจในการเรียน ความสำคัญของแรงจูงใจในการเรียน ประเภทของแรงจูงใจในการเรียน ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการเรียน และกระบวนการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียน และส่วนที่ 2 เทคนิคการเสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียน ได้แก่ เทคนิคด้านการเรียน เทคนิคด้านสุขภาพ และเทคนิคการทำกิจกรรมตามอัธยาศัย
  • Default Image
    Item
    Untitled
  • Default Image
    Item
    ความชุกของการบาดเจ็บระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อของกลุ่มทอเสื่อกก อําเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) อรพิณ โกมุติบาล; กัลยาภรณ์ จันตรี; พจน์ ภาคภูมิ; พงษ์สิทธิ์ บุญรักษา
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาทำทางการทํางานที่เป็นอันตราย และความชุกของอาการผิดปกติทางระบบกล้ามเนื้อและโครงร่างอันเกี่ยวเนื่องจากการทํางาน (WMSDs) ของคนกลุ่มผู้ทอเสื่อกก หนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งตําบล อําเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โดยวิธีการศึกษาแบบภาคตัดขวาง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์ที่ดัดแปลงมาจาก Standard Nordic Questionnaire และแบบประเมินความเสี่ยงอาการผิดปกติของระบบโครงร่างกระดูกและกล้ามเนื้อ สํานักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมร่วมกับการสังเกตท่าทางการทํางานด้วยแบบด้านการยศาสตร์ ประเมินผลการศึกษาพบว่า ความชุกของการบาดเจ็บระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อในรอบ 7 วัน และ 1 เดือน พบว่าความชุกมากสุดที่เข่า คิดเป็นร้อยละ 51.80 และ 54.87 ตามลําลับ รองลงมาคือ บริเวณหลังส่วนล่าง คิดเป็นร้อยละ 47.18 และ 44.10 บริเวณที่มีความชุกเป็นอันดับสาม คือ หัวไหล่ คิดเป็นร้อยละ 43.60 และ 42.05 ตามลําดับ และจากการประเมินความเสี่ยงโดยใช้ RULA ผล การศึกษาพบว่า มีความเสี่ยงระดับ 3 ถึง 4 ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะการทํางานเป็นการทํางานแบบซ้ำ ๆ และมีการยกแขน งอแขน และโยกตัวไปข้างหน้าและมีการใช้แรงแบบสถิตทําให้เกิดปัญหา
  • Default Image
    Item
    การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพข้าวปลอดสารพิษให้กับเกษตรกร
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วันปิติ ธรรมศรี; สุวิทย์ นำภาว์; จามรี กลางคาร; เกียรติดำรง สังคมศิลป์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการปนเปื้อนของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชต่อผลกระทบในด้านการเกษตรกร สิ่งแวดล้อม สุขภาพและเศรษฐกิจในชุมชน และพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพข้าวปลอดสารพิษเพื่อแก้ไขผลกระทบในด้านการเกษตรกร สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจในชุมชน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ตัวแทนเกษตรกรในชุมชน ตัวแทนกลุ่มชุดดิน และตัวแทนแหล่งน้ำ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบบสอบถามและเครื่องมือวิเคราะห์ โดยผลการวิจัยพบว่าการศึกษาการปนเปื้อนในดินของสารกำจัดศัตรูพืชใน 4 กลุ่ม คือ กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต กลุ่มคาร์บาเมต กลุ่มออร์กาโนคลอรีน และกลุ่มไพรีทรอยด์ ทั้ง 6 ตำบล ไม่พบการปนเปื้อนใดๆ ส่วนปริมาณการปนเปื้อนในแหล่งน้ำของสารกำจัดศัตรูพืชใน 4 กลุ่ม ไม่พบการปนเปื้อนใดๆ เช่นกัน สำหรับการปนเปื้อนของสารกำจัดศัตรูพืชในข้าวเปลือกใน 4 กลุ่ม พบว่า มีเพียงสารกำจัดศัตรูพืชกลุ่มไพรีทรอยด์ที่พบการปนเปื้อน โดยเฉพาะสารไซเพอเมทริน มี 3 ตำบล คือ ตำบลบ้านแก้ง ตำบลผึ้งรวง และตำบลห้วยบง ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 177.61 mg/kg 128.67 mg/kg และ 140.51 mg/kg ตามลำดับ ในส่วนการประเมินผลกระทบจากการรับสัมผัสสารพิษต่อสุขภาพเกษตรกรจากสารเคมีดังกล่าว พบว่า ค่าปริมาณการรับสัมผัสต่อวันของสารไซเพอเมทรินจากการบริโภคข้าวของเกษตรกรใน 3 ตำบล มีค่าอยู่ระหว่าง 1.23-1.59 mg/kg/day และเมื่อนำไปคำนวณหาค่าความเสี่ยงต่อสุขภาพในการเกิดโรค พบว่า ผลที่ได้จากการประเมินค่าความเสี่ยงต่อสุขภาพในการเกิดโรคของเกษตรกรผู้บริโภคข้าวที่ปนเปื้อนสารไซเพอเมทรินในพื้นที่ทั้ง 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลบ้านแก้ง ตำบลผึ้งรวง และตำบลห้วยบง พบว่า มีค่ามากกว่า 1 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ต้องดำเนินการแก้ไข ส่วนการศึกษาผลกระทบต่อเศรษฐกิจ พบว่า ด้านต้นทุนในการเพาะปลูกข้าวนาปรังของเกษตรกร ทั้ง 6 แห่ง มีต้นทุนรวมทั้งหมดค่อนข้างสูงโดยเฉพาะต้นทุนผันแปร มีค่าระหว่าง 4,175-5,235 บาทต่อไร่ สำหรับผลตอบแทนเฉลี่ยในการเพาะปลูกข้าวมีค่าระหว่าง 8,400-9,750 บาทต่อไร่ ดังนั้นจึงเป็นอีกประเด็นที่ควรดำเนินการแก้ไขและหาแนวทางในการลดใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตข้าวที่ปลอดภัยและลดต้นทุนการผลิตด้วย ดังนั้นแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพข้าวปลอดสารพิษเพื่อแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีต่อการเกษตร สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสุขภาพในชุมชนครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้นำทฤษฎีแนวทางการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชอาหารมาเป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาชุมชน ด้วยกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้วิจัย และการถ่ายทอดองค์ความรู้แนะนำการลดใช้สารเคมีเพื่อสร้างความตระหนักต่ออันตรายจากการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชโดยเฉพาะสารไซเพอเมทรินในกลุ่มไพรีทรอยด์
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาสื่อการสอนเสริมภาษาอังกฤษในระดับปฐมวัย ผ่านเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงสามมิติ
    (มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วัฒนพล ชุมเพชร
    การพัฒนาสื่อการสอนเสริมภาษาอังกฤษในระดับปฐมวัย ผ่านเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงสามมิติ ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อการสอนเสริมภาษาอังกฤษในระดับปฐมวัย ผ่านเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงสามมิติ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนของเด็กปฐมวัย 2) เพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อการสอนเสริมภาษาอังกฤษในระดับปฐมวัย ผ่านเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงสามมิติ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กก่อนและหลังเรียนด้วยสื่อการสอนเสริมภาษาอังกฤษ ผ่านเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงสามมิติ 4) ศึกษาความพึงพอใจของผู้สอนที่มีต่อสื่อการสอนเสริมภาษาอังกฤษในระดับปฐมวัย ผ่านเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงสามมิติ โดยกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนในระดับปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ของโรงเรียนเทศบาล 8 อนุบาลฝันที่เป็นจริง จังหวัดตรัง จำนวน 35 คน การพัฒนาสื่อการสอนเสริมภาษาอังกฤษ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ระบบจัดการบทเรียนที่ทำงานบนเว็บเบราเซอร์ พัฒนาด้วย HTML PHP jQuery JavaScript CSS AJAX และจัดการฐานข้อมูลด้วย MySQL พัฒนาสื่อที่นำเสนอด้วย Maya Premiere Pro และ Photoshop 2) ชุดแสดงผลภาพเสมือนจริงสามมิติพีระมิด แบบ 3 ด้าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า สื่อการสอนเสริมภาษาอังกฤษในระดับปฐมวัย ผ่านเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงสามมิติ สามารถเพิ่มแรงจูงในในการเรียนของเด็กปฐมวัยได้จริง โดยมีประสิทธิภาพเท่ากับ 92.29/90.71 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 90/90 กลุ่มตัวอย่างมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้สอนที่มีต่อสื่อการสอนเสริมภาษาอังกฤษในระดับปฐมวัยผ่านเทคโนโลยีภาพเสมือนจริงสามมิติอยู่ในระดับมาก