Browse
Recent Submissions
Item การพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้หนังสืออ่านนอกเวลาประกอบการเรียนรายวิชา การบัญชีต้นทุน 2สวรรยา พิณเนียมการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเข้าใจของผู้เรียนในเนื้อหาของรายวิชาก่อนและ หลังการใช้หนังสืออ่านนอกเวลาประกอบการเรียนและเพื่อศึกษาทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการพัฒนาการเรียนการสอนโดยใช้หนังสืออ่านนอกเวลาประกอบการเรียนมาใช้ในการการเรียนการสอน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการบัญชีต้นทุน 2 ตอนเรียน A1 และ C1 ในภาคเรียนที่ 2/2556 จํานวนทั้งสิ้น 51 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. หนังสืออ่านนอกเวลาประกอบการเรียน เรื่อง “ร้านไหนกําไรมากกว่า”2. เครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่แบบทดสอบก่อน - หลัง การใช้หนังสืออ่านนอกเวลาประกอบการเรียนและแบบสํารวจ ทัศนคติของผู้เรียนที่มีต่อการใช้หนังสืออ่านนอกเวลาประกอบการเรียน สถิติที่ใช้ในงานวิจัยสถิติ เชิงปริมาณ คือ ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตประชากร ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของประชากรที่มีความสัมพันธ์กัน t - test ผลการวิจัยมีดังนี้การวิเคราะห์ผู้เรียนซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการอธิบายถึงค่าเฉลี่ยของคะแนนการทําแบบทดสอบก่อนการใช้หนังสืออ่านนอกเวลา ประกอบการเรียนการสอน เท่ากับ 35.31 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 8.22 ส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนการทําแบบทดสอบหลังการใช้หนังสืออ่านนอกเวลาประกอบการเรียนการสอน เท่ากับ 40.43 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 8.37 ซึ่งค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังการใช้หนังสืออ่านนอกเวลามีค่ามากกว่า ร้อยละ 5.12 เนื่องจากนักศึกษามีความเข้าใจเนื้อหาในบทเรียนมากขึ้น ส่วนผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของการทําแบบทดสอบก่อน-หลังการใช้หนังสืออ่านนอกเวลา ประกอบการเรียนจากผลการทดสอบค่าสถิติ t-test Pair พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญที่ระดับ 0.05 และทัศนคติของผู้เรียนที่มีการต่อการอ่านหนังสืออ่านนอกเวลาประกอบการเรียนอยู่ในระดับมากที่สุดเมื่อจําแนกเป็นรายทัศนะที่มีอยู่ในระดับมากที่สุดคือผู้เรียนตระหนักถึงความสําคัญของหนังสือนอกเวลาผู้เรียนได้พัฒนากระบวนการคิดจากการอ่านหนังสือนอกเวลาผู้เรียนสามารถนําความรู้จากการอ่านหนังสือนอกเวลา ประยุกต์ใช้กับบทเรียนช่วยเสริมการเรียนในชั้นเรียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นช่วยให้ผู้เรียนเกิดกระบวนในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหามากขึ้นผู้เรียนมีการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และผู้เรียนมีการตระหนักถึงคุณค่าของหนังสือนอกเวลา ส่วนทัศนะที่อยู่ในระดับมาก คือ ช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนมากขึ้น สรุปได้ว่าการอ่านหนังสือนอกเวลา ประกอบการเรียนช่วยทําให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาในบทเรียนเพิ่มมากขึ้นและสามารถนําความรู้จากการอ่านหนังสือนอกเวลามาประยุกต์ใช้กับบทเรียนได้อย่างผสมผสาน ช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนมากขึ้น และการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เนื่องจากผู้เรียนเห็นถึงประโยชน์และความสําคัญที่มีต่อการอ่านหนังสือนอกเวลาประกอบการเรียนผู้เรียน ประกอบกับกิจกรรมหลังการอ่านที่มีการแสดงความคิดเห็นให้คําแนะนํา และข้อเสนอแนะในเรื่องที่ได้อ่านมาItem การสังเคราะห์ การถอดบทเรียนด้านสื่อและนวัตกรรมการสอนของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในโครงการความร่วมมือในการพัฒนาบุคลลากรทางการศึกษาปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตในเขตภาคเหนือตอนล่างวาสนา จักร์แก้วการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อสังเคราะห์บทเรียนการนำสื่อและนวัตกรรมสำหรับการสอนของครูปฐมวัยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในโครงการความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในเขตภาคเหนือตอนล่าง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในเขตภาคเหนือตอนล่าง ประกอบด้วย 7 จังหวัด คือ พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ ตาก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ และสุโขทัย ประจำปี 2555 สถิติที่ใช้ในงานวิจัยคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อมูลเชิงลึกจากการจัดทำประชุมกลุ่มย่อย ผลการวิจัยมีดังนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการสัมมนาสื่อสร้างสรรค์เป็นครูผู้ดูแลเด็กที่ทำงานอยู่ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ด้านอาจารย์ / วิทยากรที่สัมมนา มีความสามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างชัดเจน มีความเชี่ยวชาญ ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ สามารถให้คำแนะนำในการขอรับบริการได้ ห้องสัมมนามีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ด้านกระบวนการจัดการให้บริการการสัมมนาเป็นระบบ และเป็นขั้นตอน ในการจัดกิจกรรมทุกอย่างมีความเหมาะสม เนื้อหาสาระ และกิจกรรมดึงดูดความสนใจ สามารถนำสื่อนวัตกรรมที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาใช้ประกอบเนื้อหาการสัมมนาได้เป็นอย่างดี มีเทคนิค วิธีการสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานได้จริง ในการทำงาน ครูผู้ดูแลเด็กมีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานได้ ได้รับความรู้ที่ดีและเหมาะสมสามารถสร้างผลงานการวิจัยในชั้นเรียนได้จริงและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับศูนย์เด็กเล็กของตนเองได้ และนำสื่อที่ผลิตขึ้นมานั้นไป สร้างงานวิจัยได้ การสังเคราะห์บทเรียนการติดตามผลการนำสื่อไปใช้ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้ง 7 จังหวัด ประกอบด้วย ปัจจัยที่เอื้อในการทำสื่อ มีแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติที่สวยงามและหลากหลายมีสื่อที่ได้จากธรรมชาติและสิ่งของเหลือใช้มีเครือข่ายครูปฐมวัยที่เข้มแข็งเครือข่ายครูปฐมวัยในจังหวัดได้มีการสนับสนุนซึ่งกันและกันได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร โดยที่ผู้บริหารให้ความสำคัญและสนับสนุนอย่างดีItem พัฒนาเทคนิคการสังเคราะห์อนุภาคนาโนซิงค์ซัลไฟด์เพื่อประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรมเพื่อการพาณิชย์วีรชน ภูหินกอง | เผชิญชัยภัต ไชยสิทธิ์ | ฐิตินาถ สุคนเขตร์ | ยุทธนา พิมพ์ทองงามการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสังเคราะห์อนุภาคนาโนซิงค์ซัลไฟด์ด้วยเทคนิคการตกตะกอนและเทคนิคสเปรย์ ทำการวเคราะห์อนุภาคที่สังเคราะห์ได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (Scaning Eletron Microscopy; SEM) ที่ต่อควบด้วยชุดอุปกรณ์วิเคราะห์ธาตุเชิงพลังงานแบบกระจายพลังงาน ( Energy Dispersive X-Ray Spectrometer; EDS) กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องผ่าน (Transmission Electron microscope; TEM) และเครื่องวิเคราะห์การเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ (X-ray Diffractometer; XRD) ผลการทดลองพบว่า สามารถทำการสังเคราะห์อนุภาคนาโนซิงค์ซัลไฟด์ได้ทั้งสองเทคนิค โดยไม่จำเป็นต้องใช้สารลดแรงตึงผิว การสังเคราะห์ด้วยเทคนิคการตกตะกอนพบว่า การใช้โซเดียมซัลไฟด์เป็นสารตั้งต้น อนุภาคที่ได้มีขนาดอยู่ในช่วงประมาณ 5-8 นาโนเมตร และสามารถควบคุมลักษณะและขนาดของอนุภาคให้มีความสม่ำเสมอขนาดประมาณ 7 นาโนเมตร ได้โดยการเติมเกลือโซเดียมคลอไรด์ใช้โพแทสเซียมซัลไฟด์ เป็นสารตั้งต้นอนุภาคที่ได้มีขนาดอยู่ในช่วงประมาณ 5-30 นาโนเมตร รูปร่างไม่แน่นอน การสังเคราะห์ด้วยเทคนิคสเปรย์พบว่าสามารถเกิดอนุภาคนาโนซิงค์ซัลไฟด์ที่มีขนาดและรูปร่างไม่แน่นอนItem แบบจำลองพลสาสตร์ของไหลเชิงคำนวณสำหรับการออกแบบและพัฒนากระบวนการเผาผลิตภัณฑ์อิฐดินเผาวิทวัส รัตนถาวร | คุณากร ภู่จินดา | คณะกระบวนการเผาเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในการผลิตอิฐดินเผาที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของอิฐดินเผาในการจัดเรียงเตาเผาแบบท้องถิ่นนั้นใช้การจัดเรียงอิฐดินเผาในรูปแบบของกล่องโดยมีช่องเปิดตามแนวราบที่มีช่องเปิดแนวตั้งทะลุถึงกันโดยมีลักษณะเหมือนปล่องและใช้แผ่นกระเบื้องสังกะสีปิดด้านข้าง ขณะที่ด้านบนของเตาเปิดโล่ง แกลบจะถูกเติมลงในช่องว่างภายในเตาเผาอิฐเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการเผา โดยปกติแล้วกระบวนการผลิตอิฐดินเผาแบบท้องถิ่นนั้นเกิดความเสียหายอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 10 ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมุ่งเน้นที่จะออกแบบแบบจำลองเตาเผาอิฐอย่างง่ายและการออกแบบกระบวนการเผาอิฐดินเผาโดยใช้หลักพลศาสตร์ของการไหลเชิงคำนวณแบบสามมิติ (CFD) โดยการศึกษาตัวแปรต้นสำหรับการออกแบบ 2 k=3 แฟคตอเรียว ได้แก่ ความสูงของเตาเผาอิฐที่ 200 และ 225 เซนติเมตร ความกว้างของขนาดช่องเปิดในแนวราบที่ 7.5 และ 15 เซนติเมตร ความสูงของช่องเปิดที่ 45 และ 60 เซนติเมตร ในส่วนของตัวแปรตามที่ถูกเลือก ได้แก่ ปริมาตรรวมของอิฐดินเผา การกระจายตัวของอุณหภูมิและเวลาที่เข้าสู่สภาวะอุณหภูมิคงที่การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) ของการออกแบบ 23 แฟคตอเรียว แสดงผลของความกว้างและความสูงของช่องเปิดที่ส่งผลต่อเวลาที่เข้าสู่สภาวะอุณหภูมิคงที่ขณะที่การกระจายต่อของอุณหภูมิและปริมาตรรวมของอิฐดินเผาจะขึ้นอยู่กับตัวแปรต้นทั้งสาม จากการออกแบบจำลองเตาเผาพบว่า แบบจำลองที่มีการเพิ่มความสูงของเตาจาก 200 เซนติเมตร เป็น 225 เซนติเมตร และมีความกว้างของช่องเปิดที่ 7.5 เซนติเมตร นั้นให้ปริมาตรรวมของอิฐมาที่สุดโดยที่ยังมีการกระจายตัวของอุณหภูมิและเวลาในการเข้าสู่สภาวะอุณหภูมิคงที่ที่ดีจากการที่นำแบบจำลองที่ออกแบบไปใช้สำหรับกระบวนการเผาอิฐจริงพบว่า สามารถช่วยลดปริมาณอิฐที่เสียจากกระบวนการเผาลงได้เหลือเพียงร้อยละ 4Item สภาพปัญหาและความพึงพอใจของผู้สอนและนักเรียนต่อการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษาในโรงเรียนเขตกรุงเทพมหานครจิราภรณ์ พงษ์โสภา | พรทิพย์ เดชพิชัย | ณัฐกฤตา สุวรรณทีป | สิรวัลภ์ เรืองช่วย ตู้ประกายการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) สำรวจรูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา 2) สำรวจสภาพปัญหาและความต้องการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา 3) เพื่อสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา 4) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้สอนวิทยาศาสตร์ จำนวน 39 คน และนักเรียน จำนวน 202 คน ระดับมัธยมศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบตรวจสอบรายการ(Checklist) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบสองพบว่า ผู้สอนวิทยาศาสตร์มีการจัดทำแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยทำล่วงหน้าในแต่ละภาคการศึกษา โดยที่แผนการเรียนรู้จะเน้นในองค์ประกอบเรื่อง จำนวนชั่วโมงเรียน หัวข้อเรื่องการวัดผลและประเมินผล ส่วนการจัดการเรียนการสอนครูส่วนใหญ่จะตรวจสอบพื้นฐานนักเรียนก่อนสอน โดยการใช้คำถามและแบบทดสอบก่อนเรียน การจัดการเรียนการสอนที่นิยมส่วนใหญ่จะใช้วิธีการทดลองและครูใช้วิธีการใช้คำถามควบคู่ไปกับการจัดการเรียนการสอน นอกจากนั้นครูส่วนใหญ่ใช้วิธีการฝึกทักษะวิทยาศาสตร์โดยการใช้ใบงานในการเตรียมสื่อ การสอนพบว่าครูจัดทำสื่อการสอนโดยตนเองและใช้หนังสือเรียนเป็นสื่อการสอนหลักเพราะตรงกับจุดประสงค์ สำหรับการวัดผลและประเมินผลครูส่วนใหญ่ใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ควบคู่ไปกับการตรวจแบบฝึกหัด 2) สภาพและความต้องการของครูสอนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา มีปัญหาทั้งด้านการเตรียมการสอนการจัดการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผล โดยส่วนใหญ่จะมีปัญหาในการเตรียมเนื้อหาภาษาอังกฤษที่สอดคล้องกับเนื้อหาในหลักสูตรภาษาไทย ผลการสอบเนื่องจากนโยบายโรงเรียนให้วัดผลโดยใช้ข้อสอบเป็นภาษาไทย 3) ความพึงพอใจของนักเรียนพอใจในระดับปานกลางต่อการเรียนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา 4) ทางการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา โรงเรียนควรจัดทำหนังสือวิทยาศาสตร์แบบภาษาอังกฤษที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับหลักสูตรภาษาไทย และจัดกิจกรรมที่เพิ่มศักยภาพการใช้ภาษาItem การกำจัดตะกั่วในน้ำเสียสังเคราะห์ และน้ำเสียจริงจากโรงงานน้ำตาล โดยวิธีอิเล็กโตรไลซิสสิรวัลภ์ เรืองช่วย ตู้ประกาย | เสรีย์ ตู้ประกายการศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการกำจัดตะกั่วในน้ำเสียสังเคราะห์และน้ำเสียจริงจากโรงงานน้ำตาลโดยวิธีอิเล็กโตรไลซิส โดยใช้เครื่องมือที่ประดิษฐ์ขึ้น โดยศึกษาผลของปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการกำจัดตะกั่วโดยวิธีอิเล็กโตรไลซิส ซึ่งสามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพในการกำจัดตะกั่วของเครื่องอิเล็กโตรไลซิสที่พัฒนาขึ้น ประสิทธิภาพการ บำบัดที่มากที่สุด ที่เวลาทำปฏิกิริยา 2 ชม. pH 2 ความเข้มข้นเริ่มต้นที่ 500 mg/L น้ำหนักตะกั่วเกาะติดแผ่นขั้วลบมากที่สุด ที่ pH 2 ที่ความเข้มเริ่มต้น 1,100 mg/L ของแข็งทั งหมด คือของแข็ง แขวนลอยรวมกับของแข็งละลายเกิดขึ้นมากที่สุด ที่ pH 9 ที่ความเข้มเริ่มต้น 1,100 mg/L 2. ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีต่อประสิทธิภาพของเครื่องอิเล็กโตรไลซิส ในการกำจัดตะกั่ว ได้แก่ อัตราการไหล ความต่างศักย์ และจำนวนแผ่นอิเล็กโทรด พบว่า จำนวนแผ่นอิเล็กโทรด 4 แผ่น ระยะห่างระหว่างแผ่นเท่ากับ 2 ซม. มีประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียสูงสุด ที่ร้อยละ 83.86 อัตรา การไหล 0 มล./นาที เมื่อทำการปรับ pH ของน้ำเสียให้มีค่าเท่ากับ pH 2 เวลาทำปฏิกิริยา 2 ชม. ความเข้มข้นตะกั่วในน้ำเสียเริ่มต้นมีค่า 3,126.96 mg/L น้ำหนักตะกั่วที่เกาะติดแผ่นอิเล็กโทรดสูงสุด เท่ากับ 23.91 กรัม ค่าความสึกของแผ่นอลูมิเนียม เท่ากับ 0.44 กรัม เมื่อทำการทดลองสิ้นสุดค่า pH เท่ากับ 2.06 3. การเปรียบเทียบการกำจัดตะกั่วในน้ำเสียสังเคราะห์และน้ำเสียจริงจากโรงงานน้ำตาลมีความสอดคล้องกัน โดยค่าการประสิทธิภาพในการบำบัดของน้ำเสียสังเคราะห์สามารถนำค่ามาใช้ในการกำหนดเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นในการออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียจริงได้ที่ค่า pH 2 จำนวนแผ่นอิเล็กโทรดมีระยะห่างระหว่างแผ่นเท่ากับ 2 ซม.Item ยุทธศาสตร์การใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยศิโรจน์ ผลพันธิน | พรรณี สวนเพลงการศึกษาวิจัยแผนงานมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวที่มีต่อการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย 2) ศึกษาศักยภาพและความพร้อมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวประเทศไทย 3) พัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต้นแบบสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวประเทศไทย และ 4) จัดทำแผนยุทธศาสตร์การใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความได้เปรียบทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งมีการวิจัยเชิงบูรณาการ คือ การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงพัฒนานวัตกรรม ซึ่งมีผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. ศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของนักท่องเที่ยวที่มีต่อการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย 1.1) พฤติกรรมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของนักท่องเที่ยวชาวไทย พบว่า ส่วนใหญ่เคยชมเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทโรงแรม/รีสอร์ท/ที่พักมากที่สุด โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมามีการเข้าชมเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 1-2 ครั้งและกลุ่มที่เคยสั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีร้อยละ 44.12 เหตุผลที่เลือกซื้อสินค้า และบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คือง่ายและสะดวกในการดำเนินการโดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่ได้สั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว) 1-2 ครั้ง มีมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ใช้ในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยต่อครั้ง 1,000-5,000 บาท และมีวิธีการที่ท่านชำระเงินค่าสั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยการโอนเงินจากบัญชี ธนาคาร/ATM โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยสั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คือ โรงแรม/รีสอร์ท/ที่พักมากที่สุด ส่วนนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไม่สั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เนื่องจากไม่แน่ใจในระบบความปลอดภัย ความต้องการในการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทย พบว่า ด้านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีความต้องการมากที่สุดในประเด็น ข้อมูลข่าวสารมีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ ด้านสินค้าและบริการมีความต้องการมากที่สุดในประเด็นความหลากหลายของสินค้าและบริการการชำระเงิน - ด้านการสั่งซื้อ มีความต้องการมากที่สุดในประเด็นความสะดวกและทางเลือกใน- ด้านอรรถประโยชน์ของผู้บริโภค มีความต้องการมากที่สุดในประเด็นความสะดวกในการค้นหาข้อมูลของสินค้าและบริการ นักท่องเที่ยวชาวไทยมีความคิดเห็นต่อการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากที่สุดในประเด็น ช่วยให้การติดต่อซื้อขายสินค้าและบริการมีความสะดวกและรวดเร็ว 1.2) พฤติกรรมการใช้พาณิชอิเล็กทรอนิกส์ของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ พบว่า ส่วนใหญ่เคยชมเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ประเภท โรงแรม/รีสอร์ท/ที่พักมากที่สุด โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่มีการเข้าชมเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 1-2 ครั้ง และกลุ่มที่เคยสั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีเพียงร้อยละ 31.75 เหตุผลที่เลือกซื้อสินค้าและ บริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คือราคาถูกกว่าที่อื่น โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาได้สั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว 1-2 ครั้ง มีมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ใช้ในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยต่อครั้ง 50-100 ดอลลาร์สหรัฐ และมีวิธีการชำระเงินค่าสั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คือ ใช้บัตรเครดิต โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศสั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คือโรงแรม/รีสอร์ท/ที่พักมากที่สุดและสาเหตุที่นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่สั่งซื้อสินค้าและบริการในเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมากที่สุดคือ ไม่มีความต้องการสินค้า/บริการ ความต้องการในการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของ นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ พบว่า ด้านระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีมีความต้องการมากที่สุดใน ประเด็นข้อมูลข่าวสารมีการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ -ด้านสินค้าและบริการ มีความต้องการมากที่สุดในประเด็นการแจ้งราคาและรายละเอียดสินค้าอย่างชัดเจน -ด้านการสั่งซื้อ ปลอดภัยของการชำระเงิน มีความต้องการมากที่สุดในประเด็นความเชื่อมั่นในระบบความ -ด้านอรรถประโยชน์ของผู้บริโภค มีความต้องการมากที่สุดในประเด็นสามารถ เปรียบเทียบราคาสินค้าและบริการของร้านต่างๆ ได้นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศมีความคิดเห็นต่อการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากที่สุดในประเด็นเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัยในการชำระเงิน 2. ศึกษาศักยภาพและความพร้อมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวประเทศไทย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่คิดว่าการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีความจำเป็นต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว มีกลุ่มเป้าหมายของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นกลุ่มทั้งในและต่างประเทศ ผู้ประกอบการมีการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ร้อยละ 55.96 โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีจำนวนบุคลากรที่มีส่วนร่วมในการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์น้อยกว่า 3 คน มีลักษณะการจดทะเบียนโดเมนเนม แบบ .com ส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 50,001-100,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนในส่วนของเงินเดือนและค่าจ้างของบุคลากรในการบริหารจัดการงานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ต่ ากว่า 50,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนในส่วนของระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายในการบริหารงาน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่ ากว่า 30,000 บาท โดยสาเหตุที่หน่วยงานของผู้ประกอบการเลือกทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ เป็นการขยายช่องทางการตลาด (กลุ่มเป้าหมาย) ให้มากขึ้น และสาเหตุที่ หน่วยงานของผู้ประกอบการไม่มีการทำธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 2.1) ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความต้องการในการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากที่สุด เนื่องจากเป็น “ระบบเครือข่ายที่รวดเร็ว ทั่วถึงและปลอดภัย” 2.2) ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความเห็นว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากที่สุด คือประเด็น “ระบบรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมผ่านระบบ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์”และผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความเห็นว่าอุปสรรคในการทำพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ มากที่สุด คือประเด็น “ความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษ” 3. การพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต้นแบบสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวประเทศไทย ได้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของร้านขายของที่ระลึก ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับบริษัทนำเที่ยว ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับโรงแรม/ที่พัก และ ระบบพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์สำหรับร้านอาหาร ซึ่งในการพัฒนานั้นจะเป็นการเปิดร้านค้า (Shop) โดยจะประกอบไปด้วยร้านเล็กๆ ที่อยู่ในระบบ Online marketplace ในส่วนของหน้าร้านค้าสามารถทำการสร้างเว็บ e-Commerce สร้าง Catalogue จัดการข้อมูลการซื้อขายสินค้า วิธีการชำระค่าสินค้า ข่าว ประชาสัมพันธ์ รายงานการซื้อ-ขายสินค้า รายงานรายได้ พิมพ์ใบเสร็จ การใช้บริการเว็บบอร์ดและดูข้อมูลต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ได้ ในส่วนของลูกค้าสามารถทำการค้นหาข้อมูลสินค้า ซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ พิมพ์รายการสินค้าที่สั่งซื้อและใช้บริการเว็บบอร์ดได้ ในส่วนของผู้ดูแลระบบสามารถทำการตรวจสอบจัดการเว็บไซต์ของร้านค้า และดูรายงานการสร้างเว็บไซต์ของร้านค้า และยอดขายของแต่ละร้านผ่านทางเว็บไซต์ได้ ทดสอบความถูกต้องของการทำงานของระบบและตรวจสอบเพื่อป้องกันความผิดพลาดของระบบดังนี้ 1) การป้องกันความผิดพลาดที่เกิดจากการป้อนข้อมูลของผู้ใช้งานระบบจะทำการตรวจสอบการป้อนข้อมูล ถ้าผู้ใช้ป้อนข้อมูลไม่ครบถ้วนระบบจะแจ้งข้อความเตือนผู้ใช้ 2) การตรวจสอบความถูกต้องในการเข้าใช้ระบบ ระบบจะทำการตรวจสอบ Username และ Password ของผู้ใช้ก่อน Log in เข้าสู่ระบบถ้าผู้ใช้ป้อนข้อมูล Username หรือ Password ผิดระบบจะแสดงความแจ้งเตือนแก่ผู้ใช้ และ 3) การตรวจสอบความถูกต้องในการประมวลผลข้อมูลในการประมวลผล ระบบจะทำการตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป โดยส่วนของข้อมูลที่เป็นข้อมูลเฉพาะระบบจะทำการตรวจสอบ ถ้าข้อมูลนั้นซ้ ากับข้อมูลที่มีอยู่แล้วในระบบ ระบบจะแสดงข้อความแจ้งเตือนแก่ผู้ใช้จากการทดสอบสมมติฐานจึงสรุปได้ว่า ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับร้านขายของที่ระลึกที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพดีจากการทดสอบสมมติฐานจึงสรุปได้ว่าระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับโรงแรมที่พักที่ พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพดี จากการทดสอบสมมติฐานจึงสรุปได้ว่า ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับธุรกิจ ร้านอาหารที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพดีจากการทดสอบสมมติฐานจึงสรุปได้ว่า ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับบริษัทนำเที่ยว ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพดี 4. แผนยุทธศาสตร์การใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความได้เปรียบทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยวิสัยทัศน์ “การใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและความได้เปรียบทางการ แข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านการท่องเที่ยวของอาเซียน” ประเด็นยุทธศำสตร์ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในการท่องเที่ยว ยุทธศาสตร์ที่ 2 ส่งเสริมและให้ความรู้เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินธุรกิจให้กับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนานวัตกรรมทางด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ประกอบด้วยการดำเนินงาน 10 โครงการ คือ โครงการที่ 1 พัฒนาเว็บไซต์กลางหรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กลางเพื่อเชื่อมโยงไปยังพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของสถานประกอบการธุรกิจ โครงการที่ 2 ส่งเสริมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือ เช่น การประกวดภาพถ่าย ประกวด Clip VDO โครงการที่ 3 พัฒนาระบบ Mobile commerce ต้นแบบ โครงการที่ 4 อบรมให้ความรู้เรื่อง Mobile commerce กับสถานประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว โครงการที่ 5 ติดตั้งระบบ Mobile commerce ในสถานประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว โครงการที่ 6 อบรมให้ความรู้พนักงานในสถานประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวเกี่ยวกับการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และ Application ใหม่ๆ โครงการที่ 7 จัดจ้างที่ปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โครงการที่ 8 วิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศสนับสนุนการท่องเที่ยว โครงการที่ 9 พัฒนาชุมชนต้นแบบที่สามารถใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวของชุมชนเพื่อใช้เป็นแหล่งสำหรับการศึกษาดูงาน โครงการที่ 10 อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับภาษาอังกฤษและความรู้เกี่ยวกับอาเซียนกับคนในชุมชนและธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะได้รองรับการการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนItem ผลของการเติมไขรำข้าวต่อความคงตัวของอิมัลชัลศวรรญา ปั่นดลสุขการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ไขรำข้าวเพื่อเป็นสารเพิ่มความคงตัวให้ระบบอิมัลชัน และศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระบบอิมัลชันที่ใช้ไขรำข้าวระหว่างการเก็บรักษา โดยใช้ระบบจำลองของอิมัลชันชนิดน้ำในน้ำมันในการศึกษาเพื่อลดความแปรปรวนของตัวแปรต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระบบจำลองประกอบด้วยน้ำมันเนย ร้อยละ 58 น้ำมันปาล์ม ร้อยละ 25 น้ำ ร้อยละ 15 หางนมผง ร้อยละ 1 เกลือ ร้อยละ 1.2 และเลซิทิน ร้อยละ 0.16 จากวิเคราะห์องค์ประกอบของไขรำข้าวด้วย HPLC พบว่า ไขรำข้าวมีองค์ประกอบประกอบด้วย fatty acid ที่มีคาร์บอนอะตอมตั้งแต่ 14-38 และ fatty alcohol ที่มีคาร์บอนอะตอมตั้งแต่ 22-38 การศึกษาครั้งนี้ทำบริสุทธิ์ไขรำข้าวดิบโดยใช้ hexane และisopropanol ไขรำข้าวที่ผ่านกระบวนการทำบริสุทธิ์ มีสีขาวอมเหลือง มีจุดหลอมเหลวที่เพิ่มขึ้น ค่าไอโอดีน ค่ากรดไขมันอิสระ ค่าเปอร์ออกไซด์ และค่าสปอนนิฟิเคชันมีค่าลดลง ซึ่งทำให้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการใช้งานมากขึ้น จากการแปรระดับความเข้มข้นของไขรำข้าวที่ศึกษาออกเป็น 4 ระดับ คือ ร้อยละ 0.5, 1.0, 2.0 และ3.0 ในระบบอิมัลชัน พบว่า ไขรำข้าวทำให้ระบบอิมัลชันมีค่า L ที่เพิ่มขึ้น ค่า a และ b ที่ลดลง ค่าความหนืดของระบบอิมัลชัน และความคงตัวของอิมัลชันเพิ่มมากขึ้น ลักษณะของผลึกไขมันในระบบอิมัลชันเกิดเป็นร่างแหต่อเนื่องกัน และมีขนาดใหญ่ขึ้นตามระดับความเข้มข้นของไขรำข้าวที่เติม นอกจากนี้พบว่า ระดับความเข้มข้นของไขรำข้าวที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ค่ากรดไขมันอิสระ และค่าเปอร์ออกไซด์ในระบบเพิ่มมากขึ้น จากการศึกษาผลของระยะเวลาการเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 20 วัน พบว่าคุณภาพด้านต่างๆ ของระบบมีค่าลดลง กรดไขมันอิสระ และค่าเปอร์ออกไซด์ที่มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการศึกษาครั้งนี้ทำให้ทราบว่าการเติมไขรำข้าวทุกระดับสามารถพัฒนาความเสถียรภาพของระบบอิมัลชันได้เป็นอย่างดีItem การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานของห้องสมุดศูนย์การศึกษาพิเศษ ระดับเขตการศึกษาสายสุดา ปั้นตระกูลการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานของห้องสมุดศูนย์การศึกษาพิเศษระดับเขตการศึกษาในด้านทรัพยากรสารสนเทศ การบริการสารสนเทศเทคโนโลยีสารสนเทศ วัสดุอุปกรณ์และสถานที่ 2) เพื่อศึกษาลักษณะการดำเนินงานที่พึงประสงค์ของห้องสมุดศูนย์การศึกษาพิเศษระดับเขตการศึกษา และ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการดำเนินงานของห้องสมุดในศูนย์การศึกษาพิเศษระดับเขตการศึกษา โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสม (Mixed Research) เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถามแบบสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการดำเนินงานของห้องสมุดศูนย์การศึกษาพิเศษระดับเขตการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน เรียงตามลำดับ ค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านวัสดุอุปกรณ์และสถานที่ รองลงมาคือ ด้านทรัพยากรสารสนเทศ และด้านการบริการสารสนเทศ อันดับสุดท้ายคือ ด้านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก 2. ลักษณะการดำเนินงานที่พึงประสงค์ของห้องสมุดศูนย์การศึกษาพิเศษระดับเขต การศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า อันดับแรก คือห้องสมุดควรมีการจัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศอย่างเป็นระบบ เพื่อการค้นหาที่มีประสิทธิภาพ รองลงมา คือ ห้องสมุดควรมีบริการเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ และเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการทรัพยากรสารสนเทศ อันดับสุดท้าย คือ มีเครื่องโทรทัศน์วงจรปิดเพื่อขยายภาพ 3. การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานของห้องสมุดในศูนย์การศึกษาพิเศษระดับเขตการศึกษา ประกอบด้วย ด้านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) ด้านทรัพยากรสารสนเทศ (Information Resources) ด้านวัสดุอุปกรณ์และอาคารสถานที่ (Rendering) ด้านโครงสร้างการบริหารงาน (Management) และ ด้านบริการสารสนเทศ (Services) สรุปเป็นโมเดล “FIRMS Model for disability”Item การศึกษาการเตรียมความพร้อมของครูผู้ดูแลเด็กด้านการจัดการเรียนการสอนเพื่อรองรับสู่ประชาคมอาเซียนสร้อย ไชยเดช | ภคพร กระจาดทอง | นราวดี ตุงคะสูตการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมด้านการจัดการเรียนการสอนของครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสู่ประชาคมอาเซียน และเพื่อหาแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการเตรียมความพร้อมด้านการจัดการเรียนการสอนของครูผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสู่ประชาคมอาเซียน คณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้ดูแลเด็ก จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างในการสัมภาษณ์ คือ หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 5 คน นักวิชาการการศึกษา จำนวน 5 คน โดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง ค่าสถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแปรปรวนด้วยค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test) การนำเสนอผลการศึกษาใช้แบบพรรณนา ผลการวิจัยมีดังนี้ สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 31-40 ปี วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี มีประสบการณ์ในการสอนระหว่าง 6-10 ปี ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ต้องการเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน เพื่อต้องการพัฒนาศักยภาพในตนเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ชัดเจน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนเพียงพอ รวมทั้งต้องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ ความคิด เทคนิคต่าง ๆ ทั้งจากวิทยากรและกับผู้เข้ารับการอบรมอื่น ๆ ครูผู้ดูแลเด็กมีความพร้อมในด้านการจัดการเรียนการสอนเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ผู้ดูแลเด็กมีการพัฒนาตนเองอยู่ในระดับมาก ผลการเปรียบเทียบการเตรียมความพร้อมของครูผู้ดูแลเด็กด้านการจัดการเรียนการสอนเพื่อรองรับสู่ประชาคมอาเซียน ที่มีเพศ อายุ ประสบการณ์ในการปฏิบัติการสอนต่างกัน มีการเตรียมความพร้อมโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน เฉพาะกรณีที่ครูผู้ดูแลเด็กมีวุฒิการศึกษาที่แตกต่างกัน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงวุฒิการศึกษาที่ต่างกันส่งผลต่อความรู้ของครูผู้ดูแลเด็กแตกต่างกันจริง ข้อเสนอแนะ 1. ควรจัดให้มีการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาเซียนให้กับครูผู้ดูแลเด็กได้มีความเข้าใจเพื่อนำมาจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็กได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 2. ในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาของระดับปฐมวัย จึงควรมีกรอบที่เฉพาะและมีความหลากหลายของภาษาที่ใช้ในการสอน เช่น ภาษาอินโดนีเซีย ภาษาลาว ภาษาพม่า 3. ควรจัดให้มีการอบรมการจัดทำสื่อการเรียนรู้สำหรับอาเซียนและมีหนังสือเชิญเข้าร่วมอบรมจากหน่วยงานItem การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แบบสองภาษา ในโรงเรียนเขตกรุงเทพมหานครสิรวัลภ์ เรืองช่วย ตู้ประกาย | พรทิพย์ เดชพิชัย | จิราภรณ์ พงศ์โสภา | ณัฐกฤตา สุวรรณทีปการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นต่อนโยบายการบริหารจัดการการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แบบสองภาษา 2) ศึกษารูปแบบกระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แบบสองภาษา 3) สำรวจปัญหา อุปสรรคของการบริหารโรงเรียนสองภาษา และการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์แบบสองภาษา และ 4) สำรวจความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์แบบสองภาษา ในโรงเรียนเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารสถานศึกษาฝ่ายวิชาการ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จำนวน 40 คน ครูวิทยาศาสตร์ จำนวน 39 คน ครูคณิตศาสตร์จำนวน 52 คน และนักเรียนระดับมัธยมศึกษา จำนวน 202 คน รวมทั้งสิ้น 333 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1. ความคิดเห็นต่อนโยบายการบริหารจัดการการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แบบสองภาษา ในภาพรวมและรายด้าน มีระดับความเห็นด้วยอยู่ในระดับมาก อันดับแรก คือ ด้านการบริหารและการจัดการ รองลงมา คือ ด้านงบประมาณและทรัพยากร ด้านการเรียนรู้ และพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา และด้านกระบวนการจัดการศึกษา ตามลำดับ 2. รูปแบบกระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา พบว่า ผู้สอนวิทยาศาสตร์ มีการจัดทำแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยทำล่วงหน้าในแต่ละภาคการศึกษา โดยที่แผนการเรียนรู้จะ เน้นในองค์ประกอบเรื่อง จำนวนชั่วโมงเรียน หัวข้อเรื่องการวัดผลและประเมินผลส่วนการจัดการเรียนการสอนครูส่วนใหญ่จะตรวจสอบพื้นฐานนักเรียนก่อนสอน โดยการใช้คำถามและแบบทดสอบ ก่อนเรียน การจัดการเรียนการสอนที่นิยมส่วนใหญ่จะใช้วิธีการทดลองและครูใช้วิธีการใช้คำถามควบคู่ไปกับการจัดการเรียนการสอน นอกจากนั้นครูส่วนใหญ่ใช้วิธีการฝึกทักษะวิทยาศาสตร์โดยการใช้ใบงานในการเตรียมสื่อการสอนพบว่าครูจัดทำสื่อการสอนโดยตนเองและใช้หนังสือเรียนเป็นสื่อการสอนหลักเพราะตรงกับจุดประสงค์ สำหรับการวัดผลและประเมินผลครูส่วนใหญ่ใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ควบคู่ไปกับการตรวจแบบฝึกหัด ส่วนรูปแบบกระบวนการเรียนการสอนคณิตศาสตร์แบบสองภาษา พบว่า ในขั้นตอนการเตรียมการสอนนั้น พบว่า ครูส่วนใหญ่จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้เอง โดยจัดทำภาคเรียนละ 1 ครั้ง และทำก่อนเปิดภาคเรียนเพื่อใช้เป็นแนวการสอน โดยให้ความสำคัญกับองค์ประกอบเรื่อง หัวข้อเรื่อง และกิจกรรมการเรียนการสอน ส่วนการเตรียมการสอนในแต่ละครั้งนั้นจะใช้ระยะเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง ส่วนในการดำเนินการเรียนการสอนนั้น ครูส่วนใหญ่จะตรวจสอบพื้นฐานความรู้เดิมของนักเรียนก่อนสอน โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียน และการถาม-ตอบ และมักจะใช้การตั้งคำถามเพื่อนำเข้าสู่บทเรียน วิธีที่นิยมใช้สอน คือ แบบบรรยายและแสดงเหตุผล และทักษะที่ได้ปฏิบัติบ่อยคือ การใช้คำถาม ส่วนเทคนิคการสอนที่ได้ปฏิบัติมักจะเป็นการยกตัวอย่าง วิธีที่ดำเนินการสอนที่นิยมใช้ คือ ยกตัวอย่างแล้วให้นักเรียนสรุปเป็นกฎเกณฑ์ สำหรับการสรุปบทเรียนนั้น จะมีการสรุปเมื่อสอนจบ โดยส่วนใหญ่ให้นักเรียนเป็นผู้สรุปเนื้อหา แล้วครูสรุปเพื่ออธิบายอีกครั้ง ครูมักจะให้นักเรียนฝึกทักษะคณิตศาสตร์โดยทำแบบฝึกหัดในหนังสือเรียน และครูส่วนใหญ่จะเตรียมสื่อการสอนด้วยตนเอง สื่อการสอนที่นิยมนำมาใช้ คือ หนังสือเรียน เพราะตรงกับจุดประสงค์ และเหมาะสมกับเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนรู้ และในขั้นตอนสุดท้ายซึ่งคือ การวัดผลและประเมินผลนั้นจะดำเนินการตลอดเวลาในการเรียนการสอนทั้งก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน โดยการตรวจแบบฝึกหัด 3. สภาพปัญหาการบริหารจัดการการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แบบสองภาษาในภาพรวมและรายด้าน มีระดับปัญหาอยู่ในระดับมาก อันดับแรก คือ ด้านการบริหารและการจัดการ รองลงมา คือ ด้านงบประมาณและทรัพยากร ด้านการเรียนรู้และพัฒนาบุคลากรทางการศึกษา และด้านกระบวนการจัดการศึกษา ตามลำดับ ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา มีปัญหาทั้งด้านการเตรียมการสอน การจัดการเรียนการสอน การวัด และการประเมินผล โดยส่วนใหญ่จะมีปัญหาในการเตรียมเนื้อหาภาษาอังกฤษที่สอดคล้องกับเนื้อหาในหลักสูตรภาษาไทย ผลการสอบเนื่องจากนโยบายโรงเรียนให้วัดผลโดยใช้ข้อสอบเป็นภาษาไทย ส่วนปัญหาของการสอนคณิตศาสตร์แบบสองภาษา คือ พื้นฐานความรู้ภาษาอังกฤษทั้งครูและนักเรียน ซึ่งได้มีข้อเสนอให้มีการจัดอบรม และวัดความรู้ด้านภาษาอังกฤษเป็นระยะ รวมทั้งการมีพี่เลี้ยงที่อาจจะเป็นครูต่างชาติหรือครูไทยก็ได้ 4. ความพึงพอใจของนักเรียนพบว่ามีความพึงพอใจในระดับปานกลางต่อการเรียนวิทยาศาสตร์แบบสองภาษา และมีความพึงพอใจในระดับมากต่อการเรียนคณิตศาสตร์แบบสองภาษาItem พฤติกรรมและความคาดหวังของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ในการเรียนวิชากฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญาสรศักดิ์ มั่นศิลป์ | พรเพ็ญ ไตรพงษ์ | สุภาภรณ์ เกลี้ยงทอง | วัลลภ ห่างไธสงการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาพฤติกรรมและความคาดหวังของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ในการเรียนวิชากฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญา โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมและความคาดหวังต่อรายวิชาของนักศึกษาในการเรียนวิชากฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญา 2. เพื่อนำข้อมูลไปปรับปรุงการเรียนการสอนวิชากฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญาให้สำเร็จลุล่วงต่อไป 3. เปรียบเทียบระดับพฤติกรรมและความคาดหวังของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ในการเรียนวิชากฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญา จำแนกตามระดับคะแนนเฉลี่ยและจำแนกตามความถี่ในการเข้าห้องเรียน โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ (Mixed-method) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 หลักสูตรนิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตจำนวน 110 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากนักศึกษา และการสัมภาษณ์อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตร์ จำนวน 5 คน โดยวิธีเจาะจงในการวิจัยในครั้งนี้ ได้ใช้แบบสอบถามและสัมภาษณ์พฤติกรรมและความคาดหวังของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ในการเรียนวิชากฎหมาย ลักษณะนิติกรรมและสัญญา ซึ่งเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเอง เพื่อใช้สำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการเรียนการสอนวิชากฎหมายลักษณะนิติกรรมและสัญญา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติอ้างอิง ผลการวิจัยที่สำคัญมี 1. นักศึกษามีความสนใจและตั้งใจในการเข้าห้องเรียน ดังนั้นอาจารย์จึงควรส่งเสริมการเข้าห้องเรียนของนักศึกษาอาจโดยการให้คะแนนจากการเข้าห้องเรียน 2. นักศึกษามีความคาดหวังหรือต้องการในเอกสารตำราที่เข้าใจง่ายอยู่ในระดับมาก ตรงกับพฤติกรรมความเป็นจริงที่เอกสารตำราที่เข้าใจง่าย ดังนั้น อาจารย์จึงควรปรับปรุงเอกสารตำราให้ทันสมัย เพื่อให้นักศึกษาได้ความรู้และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการประกอบวิชาชีพได้ตรงกับสาขาของตนเองต่อไปItem แนวทางการลดการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้สูงอายุสิรวัลภ์ เรืองช่วย ตู้ประกาย | เสรีย์ ตู้ประกาย | โกวิท สุวรรณหงษ์การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจปริมาณการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้สูงอายุ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้สูงอายุ 3) ศึกษาอัตราการเกิดขยะ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้สูงอายุ 4) ศึกษาแนวทางการจัดการขยะผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้สูงอายุ 5) ศึกษาการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้สูงอายุ และ 6) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการใช้นวัตกรรมผ้าอ้อมเพื่อลดปริมาณขยะผ้าอ้อมสำเร็จรูป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เจ้าหน้าที่ และผู้สูงอายุที่อยู่ในสถานรับเลี้ยงดูผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล จำนวนรวม 217 คน จากสถานรับเลี้ยงผู้สูงอายุ 16 แห่ง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ใช้วิธีการสุ่มเลือกตัวอย่างแบบตามสะดวก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีเชิงพรรณนา หาค่าการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ที่ค่า p-value = 0.05 ผู้สูงอายุที่ตอบแบบสอบถามมีจำนวนทั้งสิ้น 97 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็น ร้อยละ 62.89 ร้อยละ 43.30 อายุ 70 ปีขึ้นไป ร้อยละ 42.27 มีระดับการศึกษาในระดับมัธยมตอนต้น ร้อยละ 42.27 มีรายได้เฉลี่ยของครอบครัวต่อเดือน 10,000 - 15,001 บาทต่อเดือน ส่วนเจ้าหน้าที่ตอบแบบสอบมีจำนวนทั้งสิ้น 120 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 78.33 ร้อยละ 35 อายุ 21 - 30 ปี ร้อยละ 35.83 มีระดับการศึกษาในระดับมัธยมตอนต้น ร้อยละ 45.83 มีรายได้เฉลี่ยของครอบครัว 10,000 - 15,001 บาทต่อเดือน ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณผ้าอ้อมที่ผู้สูงอายุใช้โดยเฉลี่ยเท่ากับ 4 ชิ้น/วัน ร้อยละ 67.01 ใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบกาว ร้อยละ 71.13 ใช้ Size L ร้อยละ 48.45 ใช้ผ้าอ้อมไม่เฉพาะเจาะจง ช่วงเวลา ร้อยละ 69.08 ใช้ผ้าอ้อมเพราะกลั้นปัสสาวะ/อุจจาระไม่ได้ เจ้าหน้าที่ซื้อผ้าอ้อมโดยเฉลี่ย 4 ห่อ/เดือน ร้อยละ 74.19 ซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบแถบกาว ร้อยละ 41.66 ซื้อผ้าอ้อมเดือนละครั้ง ร้อยละ 55.83 ซื้อผ้าอ้อม Size L ร้อยละ 43.33 ซื้อจากดิสเคาน์สโตร์ ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้สูงอายุมากที่สุด คือ ความต้องการของผู้สูงอายุ อัตราการเกิดขยะผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้สูงอายุ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.53 กิโลกรัมต่อวัน ในขณะที่อัตราการเกิดขยะมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.63 กิโลกรัมต่อวัน หน่วยงานที่รับผิดชอบในการเก็บขนขยะ คือ เทศบาล ค่าใช้จ่ายการกำจัดขยะ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 179.5 บาทต่อเดือน และการเก็บขนขยะผ้าอ้อมของหน่วยงานที่รับผิดชอบมีความถี่ประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในการจัดการขยะผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับผู้สูงอายุ โดยการมัดปากถุงขยะก่อนนำขยะผ้าอ้อมไปทิ้ง ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้นวัตกรรมผ้าอ้อมเพื่อลดปริมาณขยะผ้าอ้อมสำเร็จรูปมากที่สุด คือ การสวมใส่สบาย รองลงมาคือ การใช้งานง่ายกว่าแบบเดิมItem การประยุกต์ใช้กากตะกอนน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมสำหรับอุตสาหกรรมดินเผาสุทัศน์ จันบัวลา | พิทักษ์ เหล่ารัตนกุล | มานะ เอี่ยมบัว | วิทวัส รัตนถาวรงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนํากากตะกอนจากระบบบําบัดน้ำเสียโรงงานอุตสาหกรรมไปใช้เป็นส่วนผสมเครื่องปั้นดินเผาโดยเลือกกากตะกอนจากโรงงานสองชนิดคือโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหารและโรงผลิตน้ำประปา ผลการวิเคราะห์ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของกากตะกอนโรงงานอุตสาหกรรม พบว่า กากตะกอนจากโรงผลิตน้ำประปามีปริมาณธาตุที่เป็นส่วนประกอบใกล้เคียงกับดินเหนียวที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตเครื่องปั้นดินเผา จึงมีความเหมาะสม สําหรับใช้เป็นส่วนผสม ส่วนกากตะกอนจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหารไม่มีความเหมาะสม และเมื่อนํากากตะกอนจากโรงผลิตน้ำประปาสองแห่งคือ โรงผลิตน้ำประปาสามเสนและโรงผลิตน้ำประปา จังหวัดอุดร พบว่ากากตะกอนจากโรงผลิตน้ำประปาจากโรงผลิตน้ำสามเสน ทําให้สมบัติของเครื่องปนดินเผาดีขึ้นเมื่อเติมกากตะกอนลงไปร้อยละ 10 โดยปริมาตร โดยมีความสามารถในการรับแรงอัดเท่ากับ 12.63 เมกกะพาสคาล ความหนาแน่น 1.85 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ร้อยละการดูดซึมน้ำ 12.24 และความพรุนตัวร้อยละ 26.4Item การพัฒนาตัวชี้วัดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัยวิภา ศุภจารีรักษ์ | จิตชิน จิตติสุขพงษ์งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และพัฒนาตัวชี้วัดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา วิธีดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน คือ 1) วิเคราะห์และกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยบนพื้นฐานหลักการแนวคิด ทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณลักษณะที่ดีของผู้บริหารในทุกระดับ และการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิในประเด็นเกี่ยวกับคุณลักษณะที่ดีของผู้บริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย 2) วิเคราะห์องค์ประกอบคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย 3) พัฒนาตัวชี้วัดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย เก็บรวบรวมข้อมูล 2 ครั้ง จากกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหาร 22 คน ครู 276 คน และผู้ปกครองนักเรียน 902 คน รวมทั้งหมด 1,200 คน ที่อยู่ในสถานศึกษาระดับปฐมวัย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาทั่วประเทศ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 120 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.989 และประเด็นการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ค่าสถิติโดยแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (0.869) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) วิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor analysis) และวิเคราะห์เนื้อหา (Contents analysis) ผลการศึกษาพบว่า 1. องค์ประกอบคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา พบว่า มี 6 องค์ประกอบ 53 ตัวชี้วัด ได้แก่ 1) มีความเป็นธรรมาธิปไตย 15 ตัวชี้วัด 2) ส่งเสริมวัฒนธรรมชุมชน 9 ตัวชี้วัด 3) มีความสามารถในการบริหารจัดการ 11 ตัวชี้วัด 4) มีค่านิยมในวิชาชีพ 9 ตัวชี้วัด 5) มีศาสตร์และศิลป์ 5 ตัวชี้วัด และ 6) มีบุคลิกดี 4 ตัวชี้วัด 2. การพัฒนาตัวชี้วัดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาระดับปฐมวัย พบว่าทั้ง 53 ตัวชี้วัด มีค่าความเชื่อมั่นชนิดความคงที่ภายใน 0.915 องค์ประกอบที่ 1 มีความเป็นธรรมาธิปไตย มีค่าความเชื่อมั่นชนิดความคงที่ภายใน 0.955 องค์ประกอบที่ 2 ส่งเสริมวัฒนธรรมชุมชน มีค่าความเชื่อมั่นชนิดความคงที่ภายใน 0.936 องค์ประกอบที่ 3 มีความสามารถในการบริหารจัดการ มีค่าความเชื่อมั่นชนิดความคงที่ภายใน 0.959 องค์ประกอบที่ 4 มีค่านิยมในวิชาชีพ มีค่าความเชื่อมั่นชนิดความคงที่ภายใน 0.880 องค์ประกอบที่ 5 มีศาสตร์และมีศิลป์ มีค่าความเชื่อมั่นชนิดความคงที่ภายใน 0.869 องค์ประกอบที่ 6 มีบุคลิกดี มีค่าความเชื่อมั่นชนิดความคงที่ภายในItem การปรับตัวทางมิติเศรษฐศาสตร์ต่อปัญหาน้ำท่วมของชุมชนลุ่มน้ำมูลตอนล่าง กรณีศึกษา อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานีสิรวัลภ์ เรืองช่วย ตู้ประกาย | เสรีย์ ตู้ประกาย | โกวิท สุวรรณหงษ์งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาการปรับตัวทางมิติเศรษฐศาสตร์ 2) หาแนวทางและรูปแบบการปรับตัวทางมิติเศรษฐศาสตร์ 3) หาระบบที่เหมาะสมสำหรับการประกันภัย การชดเชยและการกระจายความช่วยเหลือให้ทั่วถึงแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และ 4) หามาตรการและองค์กรรับผิดชอบในการปรับตัวทางมิติเศรษฐศาสตร์ของชุมชนลุ่มน้ำมูลตอนล่างต่อปัญหาน้ำท่วม เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามแบบมีโครงสร้าง และไม่มีโครงสร้าง โดยสอบถามกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 358 คนในพื้นที่ตำบลโขงเจียม ตำบลห้วยไผ่ และตำบลหนองแสงใหญ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 223 คน คิดเป็นร้อยละ 63 นอกจากนั้นเป็นเพศชาย จำนวน 131 คน คิดเป็นร้อยละ 37 อยู่ในช่วงอายุ 46- 60 ปี มากที่สุด จำนวน 109 คน คิดเป็นร้อยละ 31.5 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมากที่สุด จำนวน 159 คน คิดเป็นร้อยละ 45.6 ผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่าปัญหาที่พบมากที่สุดจากภาวะน้ำท่วมที่ผ่านมา คือ ปัญหารายได้ลดลง การปรับตัวที่ผู้ตอบแบบสอบถามกระทำมากที่สุดมากเป็นล้าดับแรก คือหาอาชีพเสริมรายได้ แนวทางการปรับตัวทางมิติเศรษฐศาสตร์ของชุมชนลุ่มน้ำมูลตอนล่างต่อปัญหาน้ำท่วม ด้านชีวิต/สุขภาพ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าควรตรวจสุขภาพประจำปี/สม่ำเสมอ และควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ สำหรับด้านที่อยู่อาศัยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าควรดีดบ้าน/ ยกบ้านให้สูงขึ้น ด้านทรัพย์สินผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าควรเตรียมยกทรัพย์สินขึ้นที่สูง ด้านพื้นที่เกษตรกรรมผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าควรปลูกพืชที่เก็บเกี่ยวได้เร็ว และควรเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนถึงฤดูน้ำหลาก ด้านการคมนาคมผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าควรซ่อมแซมถนนให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ ด้านแหล่งท่องเที่ยว และโบราณสถานผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าควรทำแนวกั้นน้ำรอบแหล่งโบราณสถาน และควรดูแลซ่อมแซมอยู่เสมอ ด้านสาธารณสมบัติ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าควรร่วมกันสอดส่องดูแล และควรบำรุงรักษาอยู่เสมอ ระบบการชดเชยที่เหมาะสมทางมิติเศรษฐศาสตร์ของชุมชนลุ่มน้ำมูลตอนล่างต่อปัญหาน้ำท่วม ทั้งด้านชีวิต/สุขภาพ ที่อยู่อาศัย ทรัพย์สิน พื้นที่เกษตรกรรม การคมนาคม แหล่งท่องเที่ยว และโบราณสถาน และสาธารณสมบัติ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่คิดว่ารัฐควรชดเชยให้ร้อยละ 100 ของความเสียหายทั้งหมด และองค์กรที่ควรรับผิดชอบทางมิติเศรษฐศาสตร์ของชุมชนลุ่มน้ำมูล ตอนล่างต่อปัญหาน้ำท่วม คือรัฐบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลItem การเตรียมวัสดุของผสมนาโนซิงค์ออกไซด์และนาโนคอปเปอร์ออกไซด์ สําหรับวัสดุของผสมพอลิเอทิลีนบรรจุภัณฑ์อาหารยับยั้งเชื้อก่อโรควีรชน ภูหินกองงานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสังเคราะห์วัสดุของผสมนาโนซิงค์ออกไซด์ คอปเปอร์ออกไซด์ โดยทําการศึกษาการสังเคราะห์ด้วยกระบวนการที่ต่างกันสามเทคนิค คือ เทคนิคสเปรย์ เทคนิคการตกตะกอนร่วม และเทคนิคการเกิดปฏิกิริยาที่สถานะของแข็ง และได้ทําการศึกษาปัจจัยที่มีผลเกี่ยวข้องต่อลักษณะหรือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่สังเคราะห์ได้ รวมทั้งหาความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการสังเคราะห์ รวมทั้งผลต่อความสามารถในการยับยั้งเชื้อจุลชีพก่อโรค ซึ่งเป็นสมบัติที่สามารถนําไปเป็นวัตถุดิบในการเตรียมวัสดุของผสมพอลิเอทิลีนสําหรับบรรจุภัณฑ์อาหาร ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อก่อโรคได้ทําการศึกษายืนยันผลอัตลักษณ์ของสารที่สังเคราะห์ได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลกตรอนแบบส่องกราดวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสารตัวอย่างด้วยเทคนิคการแยกแยะพลังงานของกระเจิงรังสีเอกซ์ วิเคราะห์รูปแบบการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ และใช้เทคนิคการวิเคราะห์การดูดกลืนรังสีเอกซ์ ทําการทดสอบประสิทธิภาพการยับยั้งเชื้อโดยใช้เทคนิคการหาเคลียร์โซน ผลการวิจัยพบว่า การสังเคราะห์ด้วยเทคนิคสเปรย์ไพโรไลซีสด้วยรีแอคเตอร์ที่ทําการสร้างขึ้น ยังไม่แหมาะสมต่อการสังเคราะห์ เนื่องจากต้องใช้อัตราการไหลของกาซที่สูงเพื่อทําให้สารละลายเกิดเป็นละออง ซึ่งทําสารละลายมีเวลาอยู่ในรีแอคเตอร์น้อยไม่เพียงพอต่อการเกิดปฏิกิริยา ถึงแม้ว่าจะเพิ่มอุณหภูมิถึง 1,300 องศาเซลเซียส จะเกิดปฏิกิริยาได้บางส่วนและมีผลิตภัณฑ์ที่สังเคราะห์ได้ ปริมาณน้อยมาก การสังเคราะห์ด้วยเทคนิคการตกตะกอนร่วม พบว่า สามารถสังเคราะห์วัสดุของผสมอนุภาคนาโนซิงค์ออกไซด์คอปเปอร์ออกไซด์ที่มีสัดส่วนของซิงค์ออกไซด์และคอปเปอร์ออกไซด์ต่าง ๆ กันได้ และมีการผสมกันของทั้งสองเฟสเป็นอย่างดี โดยผลที่ได้เกิดเป็นอนุภาคซิงค์ออกไซด์และคอปเปอร์ ออกไซด์ได้หลายลักษณะ เช่น ซิงค์ออกไซด์เฮกซะโกนอลนาโนเพลท ซิงค์ออกไซด์แท่ง ซิงค์ออกไซด์เข้ม คอปเปอร์ออกไซด์นาโนไวร์ เป็นต้น โดยสามารถทําการควบคุมลักษณะรูปร่างผลึกของอนุภาคได้ โดยการควบคุมชนิดไอออน ความเข้มข้นของสารต่าง ๆ รวมทั้งสภาพขั้วของสารละลาย เป็นต้น ผลการทดสอบการยับยั้งเชื้อก่อโรคกับเชื้อแบคที่เรีย Stephylococcus aureus (S. aueus) เป็นตัวแทนเชื้อก่อโรคแกรมบวก และ Escherichia coli (E. coli) เป็นตัวแทนเชื้อก่อโรคแกรมลบ พบว่า 4 ซิงค์ออกไซด์ที่สังเคราะห์ได้สามารถออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อได้ดีกว่าซิงค์ออกไซด์เกรดการค้าในอุตสาหกรรม หรือแม้กระทั่งเกรดนาโนโดยที่ซิงค์ออกไซด์รูปร่างเป็นแผ่นจะมีความสามารถยับยั้งเชื้อ ได้มากกว่าลักษณะแท่ง จากผลของสัดส่วนซิงค์ต่อคอปเปอร์พบว่า ที่สัดส่วนที่มีคอปเปอร์ออกไซด์มาก จะสามารถยับยั้งเชื้อได้มากกว่า โดยที่ขึ้นอยู่กับลักษณะของอนุภาคซิงค์ออกไซด์และคอปเปอร์ ออกไซด์ที่มีรูปร่างอนุภาคที่สามารถยับยั้งเชื้อได้ดีด้วย ซึ่งอนุภาคคอปเปอร์นาโนไวร์และอนุภาคคอปเปอร์นาโนไวร์ที่มีการเกาะกลุ่มในลักษณะหลวม ๆ จะออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อได้ดีที่สุด และออกฤทธิ์ยัยยั้งเชื้อได้ดีกว่าซิงค์ออกไซด์ การสังเคราะห์วัสดุของผสมนาโนซิงค์ออกไซด์คอปเปอร์ออกไซด์ด้วยเทคนิคการเกิดปฏิกิริยาที่สถานะของแข็งที่ปรับปรุงขึ้นในงานวิจัยนี้ สามารถทําการสังเคราะห์อนุภาคคอบเปอร์เจือในซิงค์ออกไซด์ที่ปริมาณต่าง ๆ กันได้ โดยพบว่าสามารถทําการควบคุมสัดส่วนของซิงค์ออกไซด์ต่อคอปเปอร์ ออกไซด์ได้ดีกว่าเทคนิคทางสารละลายหรือเทคนิคการตกตะกอนร่วมของผสมอนุภาคที่ได้มีลักษณะ การผสมเฟสที่ดีกว่า โดยพบว่าผลจากภาพถ่ายด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราดรูปแบบ การเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ ผลการศึกษาด้วยเทคนิคการดูดกลืนรังสีเอกซ์ แสดงให้เห็นว่ามีการผสมของทั้งสองเฟสในระดับนาโนเมตร อนุภาคที่ได้มีขนาดอยู่ในช่วงต่ำกว่า 50 นาโนแมตร และมีความสม่ำเสมอสูง นอกจากนั้นแล้วยังพบว่าการเจือของคอปเปอร์ในซิงค์ออกไซด์โดยการเข้าไปแทนที่ซิงค์ในผลึก ผลการศึกษาการยังยั้งเชื้อพบว่าเมื่อสัดส่วนของคอปเปอร์ออกไซด์เพิ่มขึ้นจะสามารถยับยั้งเชื้อทั้งสองได้มากขี้น โดยที่สัดส่วนคอปเปอร์ 10 เปอร์เซ็นต์ จะสามารถยับยั้งเชื้อทั้งสองได้ดีที่สุดItem โครงการศึกษาการผลิตซิลิกาคุณภาพสูงจากเถ้าแกลบโรงไฟฟ้าพลังแกลบวีรชน ภูหินกอง | ฐิตินาถ สุคนเขตร์ | อุดมศักดิ์ กิจทวีการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสังเคราะห์อนุภาคนาโนซิลิกาจากเถ้าแกลบเหลือ ทิ้งผ่านทางสารละลายโซเดียมซิลิเกตที่สกัดได้จากเถ้าแกลบ จากนั้นทำการสังเคราะห์นาโนซิลิกาโดยกระบวนการตกตะกอนด้วยกรดที่สภาวะอุณหภูมิห้อง และเติมเกลืออนินทรีย์ โดยไม่ไช้สารลดแรงตึง ผิวหรือสารแม่แบบทำการศึกษาการสังเคราะห์ด้วยระบบการไหลโดยทำการศึกษาผลความเข้มข้นของสารละลายกรดไฮโดรคลอริค เกลือโซเดียมคลอไรด์ สารละลายโซเดียมซิลิเกต และอัตราการไหล ทำการศึกษาสมบัติของสารตัวอย่างที่ได้ด้วยภาพถ่ายจากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (FESEM) กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน (TEM) และวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ์ (XRD) ผลที่ได้พบว่า เกลือโซเดียมคลอไรด์มีผลทำให้สามารถเกิดเป็นอนุภาคนาโนซิลิกาได้ง่าย และรวดเร็ว มีลักษณะรูปร่างทรงกลม มีขนาดอนุภาคอยู่ในช่วงระหว่าง 80 ถึง 150 นาโนเมตร ในการสังเคราะห์ด้วยเทคนิคการไหลพบว่า สามารถเกิดอนุภาคซิลิกาได้หลายขนาด คือ 10 นาโนเมตร อนุภาคที่มีลักษณะการเกาะกลุ่มกันจนมีขนาดอยู่ในช่วงระหว่าง 50 ถึง 200 นาโนเมตร และสำหรับการใช้อัตราการไหลที่สูงขึ้น 300 มิลลิลิตรต่อนาที พบว่า ซิลิกาที่ได้มีลักษณะรูปร่างคล้ายแท่งมีขนาดไม่แน่นอน มีความกว้างอยู่ในช่วงระหว่างประมาณ 250 ถึง 500 นาโนเมตร และความยาวอยู่ในช่วง ระหว่าง 1 ถึง 10 ไมโครเมตร กระบวนการในการสังเคราะห์นี้สามารถประยุกต์เพื่อใช้ในการสังเคราะห์อนุภาคนาโนซิลิกาให้มีขนาดและรูปร่างต่าง ๆ และเป็นกระบวนการที่สามารถขยายขนาด การผลิตสำหรับการนำไปใช้งานในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลายได้Item การพัฒนาแนวทางการเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณธรรมจริยธรรมตาม แนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการเรียนการสอน หมวดวิชาการศึกษาทั่วไป ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตสรรเสริญ อินทรัตน์ | ฐิติยา เนตรวงษ์ | รัชฎาพร ธิราวรรณ | นฤมล นิตย์จินต์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณธรรม จริยธรรมตามแนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณธรรมจริยธรรมตามแนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนและหลังเรียน และกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมในการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณธรรมจริยธรรมตาม แนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในหมวดวิชาการศึกษาทั่วไป ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาขั้นตอนที่ 1 ประกอบด้วย อาจารย์ผู้สอนในรายวิชาหมวดการศึกษาทั่วไป จำนวน 156 คน ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการสัมภาษณ์ 7 คน และผู้เชี่ยวชาญจากการประชุมกลุ่ม 7 คน 2) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาขั้นตอนที่ 2 ประกอบด้วย กลุ่มทดลอง เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต หลักสูตรคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ตอนเรียน S1 จำนวน 42 คน และกลุ่มควบคุม เป็นนักศึกษาหลักสูตรประถมศึกษา ตอนเรียน D1 จำนวน 51 คน ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามใช้ในการสำรวจความคิดเห็นการบูรณาการสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมตามแนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดการเรียนการสอนหมวดวิชาการศึกษาทั่วไปของอาจารย์ผู้สอน 2) แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณธรรมจริยธรรมในการจัดการเรียนการสอน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน 4) แบบสอบถามการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม และ 5) แบบสอบถามเจตคติและพฤติกรรม จริยธรรม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยค่าเฉลี่ยเลขคณิต (X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ t-test ซึ่งผลการศึกษาพบว่า 1) ความคิดเห็นการบูรณาการสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมตามแนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามความคิดเห็นของอาจารย์ผู้สอนหมวดวิชาการศึกษาทั่วไป โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน ทุกด้าน มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก สามารถเรียงลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ หลักความมีภูมิคุ้มกัน หลักความมีเหตุผล หลักความรอบรู้ และหลักความพอประมาณ การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการคุณธรรมจริยธรรมตามแนวคิดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมี 10 ขั้นประกอบด้วย ขั้นเตรียมการและปฐมนิเทศ ขั้นให้ความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอนเชื่อมโยงหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขั้นดำเนินกิจกรรมให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง ขั้นการรวบรวม ประมวลข้อมูล และความองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ขั้นแจกแจงเตรียมโครงการฯ และจัดทำร่างโครงการฯ ขั้นดำเนินการโครงการส่งเสริมคุณธรรมด้วยการรับใช้สังคม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขั้นทบทวน ความรู้ ประยุกต์ใช้ความรู้ ขั้นการสรุป ประเมินผลโครงการฯ และเขียนรายงาน ขั้นการนำเสนอโครงการฯ และวิพากษ์ และขั้นสรุปผล การดำเนินการ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.73 เหตุผลเชิงจริยธรรมอยู่ในขั้นที่ 5 ส่วนเจตคติและพฤติกรรมจริยธรรมอยู่ในระดับมาก 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองก่อนและหลังเรียนมีความแตกต่างกัน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความแตกต่างกัน โดยกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุมItem การศึกษาเจตคติและพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตภาวินี รอดประเสริฐ | จตุพล ดวงจิตร | คณะการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึง (1) เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์เจตคติ และพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (2) เพื่อหาความสัมพันธ์ของความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (3) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ตามภูมิหลังของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ ศาสนา อายุ เกรดเฉลี่ยสะสม คณะที่ศึกษา การมีคนรักประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์ และความพอเพียงของการใช้จ่าย ว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ วิธีดำเนินการศึกษา คือ การสำรวจโดย แบบสอบถามจากนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคเอดส์จากสื่อโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ นิตยสาร/วารสาร ตามลำดับ ด้านความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ของนักศึกษาส่วนใหญ่ค่อนข้างต่ำ และโดยส่วนใหญ่มีเจตคติเกี่ยวกับโรคเอดส์อยู่ในระดับไม่แน่ใจ มีค่าเฉลี่ย 3.36 พฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของนักศึกษากระทำอยู่ในระดับประจำ ค่าเฉลี่ย 2.42 เมื่อทำการทดสอบโดยใช้สถิติเชิงอนุมาน พบว่า นักศึกษาที่ศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ต่างกัน ระดับผลการเรียนที่แตกต่างกัน หลักสูตรแตกต่างกัน และประสบการณ์การมีเพศสัมพันธ์ที่แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์แตกต่างกัน โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ขณะเดียวกัน ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ของนักศึกษามีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเจตคติต่อเรื่องโรคเอดส์ของนักศึกษา ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะสำหรับการแก้ไขปัญหาในเรื่องพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์ของนักศึกษา คือ ควรมีการรณรงค์ให้ความรู้เจตคติเกี่ยวกับโรคเอดส์เพื่อนักศึกษาจะได้มีพฤติกรรมการป้องกันโรคเอดส์มากขึ้น