RDI-Research Report
Permanent URI for this collection
Browse
Recent Submissions
Item การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม(Research and Development Institute, 2025-04-20) ปัทมา กาญจนรักษ์; สิรินทร์ทิพย์ สุตตาพงค์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำพริกผัดเคยฉลู 2) เพื่อศึกษาการลดโซเดียมของผลิตภัณฑ์น้ำพริกผัดเคยฉลู 3) เพื่อศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และจุลินทรีย์ของผลิตภัณฑ์น้ำพริกผัดเคยฉลู โดยผู้วิจัยทำการศึกษาน้ำพริกผัดจำนวน 3 สูตร จากนั้นทำการทดสอบทางประสาทสัมผัส 9-Point hedonic scale โดยผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร จำนวน 10 คน พบว่า น้ำพริกผัดสูตรที่ 3 ซึ่งประกอบด้วย กระเทียมจีน ร้อยละ 9.41, พริกชี้ฟ้าแดงแห้ง ร้อยละ 12.55, พริกขี้หนูสวนป่น ร้อยละ 2.51, กุ้งแห้ง ร้อยละ 31.37, น้ำมะขามเปียก ร้อยละ 22.58, น้ำตาลปี๊บ ร้อยละ 10.66, น้ำปลา ร้อยละ 6.25, เกลือ ร้อยละ 0.63 และน้ำมันถั่วเหลือง ร้อยละ 3.76 ได้รับคะแนนความชอบมากที่สุด จากนั้นนำมาพัฒนาเป็นน้ำพริกผัดเคยฉลู ด้วยการใช้เคยฉลูทดแทนกุ้งแห้งในอัตราส่วน 60:40, 80:20 และ 100:0 จากผลการทดสอบความชอบทางประสาทสัมผัส 9-Point hedonic scale โดยกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 คน พบว่า การทดแทนเคยฉลูร้อยละ 80 : กุ้งแห้งร้อยละ 20 ได้รับคะแนนความทางประสาทสัมผัสมากที่สุด โดยการทดลองทั้ง 3 สูตร ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≥0.05) และกำหนดเป็นสูตรพื้นฐาน เพื่อพัฒนาต่อไป จากนั้น ผู้วิจัยทำการศึกษาสูตรน้ำพริกผัดเคยฉลู สูตรเคยฉลู 80 : กุ้งแห้ง 20 เพื่อสืบค้นปริมาณโซเดียม พบว่า วัตถุดิบที่ให้โซเดียมสูง ได้แก่ กุ้งแห้ง น้ำปลา เกลือ และเคยฉลู ดังนั้นผู้วิจัยจึงทำการลดโซเดียมด้วยวิธีการ ดังนี้ 1) กุ้งแห้ง เปลี่ยนวัตถุดิบเป็น กุ้งแห้งแบบจืด ตัวใหญ่ ไม่มีเปลือก ลวกในน้ำร้อน 3 นาที 2) น้ำปลา เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นน้ำปลาลดโซเดียม 3) เกลือ (โซเดียมคลอไรด์) เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นโพแทสเซียมคลอไรด์ 4) เคยฉลู ทำการปรับลดปริมาณเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ในเคยฉลูลงและใช้สารโพแทสเซียมคลอไรด์ทดแทน 4 ระดับ คือ ทดแทนในระดับ 0, 10, 20 และ 30 ของปริมาณเกลือทั้งหมด และนำเคยฉลูทั้ง 4 ระดับนี้ไปใช้เป็นวัตถุดิบหลักในเมนูน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม จากนั้นทำการทดสอบความชอบทางประสาทสัมผัส 9-Point hedonic scale กับผู้ทดสอบจำนวน 50 คน พบว่า น้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม สูตรที่ 2 (โซเดียมคลอไรด์ 80 : โพแทสเซียมคลอไรด์ 20) ได้รับคะแนนความทางประสาทสัมผัสมากที่สุด และจากการศึกษา ค่าสี พบว่า น้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม สูตรควบคุม (100:0) มีความสว่างมากที่สุด เมื่อพิจารณา ค่า L* (ความสว่าง) และค่า a* (สีเขียว-สีแดง) ของทั้ง 4 สูตร พบว่า มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ส่วนค่า b* (สีน้ำเงิน-สีเหลือง) ของทั้ง 4 สูตร ไม่มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) คุณสมบัติทางเคมี ได้แก่ ค่า pH ของน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม ทั้ง 4 สูตร พบว่า ทั้ง 4 สูตร มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่า Moisture ของน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม ทั้ง 4 สูตร พบว่า ทั้ง 4 สูตร ไม่มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่า aw ของน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม ทั้ง 4 สูตร พบว่า มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) จากนั้นวิเคราะห์ค่าโซเดียมของน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม ทั้ง 4 สูตร ด้วยวิธีการ AOAC 2019 พบว่า สูตรควบคุม (100:0) มีค่าโซเดียมสูงที่สุด คือ 1,599.3 mg./100 g รองลงมา คือ สูตรที่ 1 (90:10) มีค่าโซเดียม 1,206.8 mg./100 g ปริมาณโซเดียมลดลงจากสูตรควบคุมร้อยละ 25.89 สูตรที่ 2 (80:20) มีค่าโซเดียม 1,163.4 mg./100 g มีปริมาณโซเดียมลดลงจากสูตรควบคุมร้อยละ 30.59 และสูตรที่ 3 (70:30) มีค่าโซเดียม 1,148.9 mg./100 g มีปริมาณโซเดียมลดลงจากสูตรควบคุมร้อยละ 32.24 จากผลการทดลองด้านคุณภาพทางประสาทสัมผัสและผลวิเคราะห์ทางด้านกายภาพและเคมี ผู้วิจัยจึงคัดเลือก สูตรที่ 2 (โซเดียมคลอไรด์ 80 : โพแทสเซียมคลอไรด์ 20) เป็นสูตรที่ดีที่สุด จากนั้นนำไปวิเคราะห์ค่าโพแทสเซียม พบโพแทสเซียม 589 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และวิเคราะห์คุณสมบัติด้านจุลินทรีย์ ได้แก่ จำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมด 95 CFU ต่อกรัม ยีสต์และรา น้อยกว่า 10 CFU ต่อกรัม และ Escherichia coli น้อยกว่า 3.0 MPN ต่อกรัม โดยน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม มีคุณภาพมาตรฐานเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนน้ำพริกผัด (มผช. 321/2547)Item การพัฒนาทักษะการปฏิบัติขนมปังยีสต์ในรายวิชาเทคนิคการผลิตเบเกอรี (รหัสวิชา 5071323) เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต(Research and Development Institute, 2025-04-20) ชมนาท ชื่นฉ่ำ; ธีรนุช ฉายศิริโชติ; ปรมะ รอดม่วงงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการวัดผลความรู้ก่อนและหลังเรียนในรายวิชาเทคนิคการผลิตเบเกอรี และเพื่อเปรียบเทียบทักษะการปฏิบัติขนมปังยีสต์หลังเรียนโดยใช้รูปแบบทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ในรายวิชาเทคนิคการผลิตเบเกอรี โดยมีคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 20 คะแนน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 หลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตจำนวน 80 คน และเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ แบบประเมินผลปฏิบัติการและเกณฑ์ประเมิน วิเคราะห์ค่าคะแนนเฉลี่ย (𝑋̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS ด้วยสถิติ t-test อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และด้านคะแนนทักษะการปฏิบัติ เรื่อง ขนมปังยีสต์ ได้แก่ ขนมปังฝรั่งเศส ฟอคคาเชีย วานิลลาชาลาห์ ขนมปังโฮลวีท ของนักศึกษา จากการใช้วิธีสอนร่วมกับรูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของแฮร์โรว์ พบว่า หลังจากสิ้นสุดการเรียนการสอน นักศึกษาทุกกลุ่มมีคะแนนปฏิบัติจากการทดสอบทักษะปฏิบัติอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมตามเกณฑ์ รายการประเมินผลปฏิบัติงานจากหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหาร และการบริการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตItem การพัฒนาหลักสูตรอบรมระยะสั้นเพื่อส่งเสริมความพร้อมในการทำงานสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี(Research and Development Institute, 2024) นนทพร ชอบตะคุการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความพร้อมในการทำงานสำหรับนักศึกษาฝึกสอนสาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี และเพื่อประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรระยะสั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการประถมศึกษา คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี ที่กำลังเรียนในรายวิชาสมรรถนะทางภาษาไทยสำหรับครู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบประเมินความพร้อมในการทำงานแบบมาตรประมาณค่าและแบบประเมินความพร้อมในการทำงานจากการสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย (Mean) ร้อยละ (Percentage) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัย พบว่า คุณลักษณะที่แสดงความพร้อมในการทำงานของนักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความรู้ มี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ ความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ และความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน 2) ด้านทักษะ มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และทักษะการทำงานเป็นทีม 3) ด้านเจตคติ ได้แก่ ความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย มุ่งมั่นปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย ตรงต่อเวลา และปฏิบัติตามกฎระเบียบของหน่วยงาน และหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นเพื่อส่งเสริมความพร้อมในการทำงานสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา บูรณาการแนวคิด CTR-PAR-Based Curriculum ในการออกแบบหลักสูตรระยะสั้น โดยนำแนวคิดหลักสูตรแบบเน้นสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum) มาออกแบบกิจกรรมในหน่วยฝึกอบรมและกิจกรรมในการปฏิบัติงาน นำแนวคิดหลักสูตรแบบเน้นงานปฏิบัติ (Task-Based Curriculum) มากำหนดภาระงานให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติในแหล่งฝึกงาน ตลอดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมส่งผลให้ นักศึกษาฝึกงานเกิดการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะความพร้อมในการทำงาน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านเจตคติItem การพัฒนาทักษะวิชาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจการบิน ด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดล(Research and Development Institute, 2025-04-25) จิระพงศ์ ป้อมน้อย; ศุภิสรา ทองจรูญ; วาสนา จักร์แก้วการวิจัยเรื่องทักษะวิชาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจการบินที่เรียนด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดลมีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อประเมินทักษะวิชาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจ การบินที่เรียนด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดล และ 2. เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่เรียนด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดลกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลัยสวนดุสิต หลักสูตรธุรกิจการบิน ชั้นปีที่ 2 จำนวน 23 คน ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการตลาดในธุรกิจการบิน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยมีเครื่องมือคือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่านักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการตลาดในธุรกิจการบิน จำนวน 23 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 60.87 รองลงมาเป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 39.13 และนักศึกษาส่วนใหญ่เข้าเรียนต่อภาคการศึกษาในรายวิชาการ จำนวน 11 ครั้งขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 100 ทักษะวิชาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจการบินที่เรียนด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดลมีค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาการตลาดในธุรกิจการบินที่จัดกิจกรรมเชิงรุกโดยใช้เบญจกิจโมเดล มีค่าเท่ากับ 72.66 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาการตลาดในธุรกิจการบิน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.75) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านวัตถุประสงค์การเรียนการสอน (ค่าเฉลี่ย 3.82) ผู้สอนได้จัดสรรเวลาแต่ละเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.91) ผู้สอนได้เพิ่มเติมเนื้อหาที่ทันสมัย (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.77) ผู้สอนมีการเตรียมการจัดกิจกรรมสอดคล้อง กับเนื้อหาที่สอนในแต่ละวัตถุประสงค์ (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.95) ผู้สอนมีบุคลิกภาพและการแต่งกายที่เหมาะสม (ค่าเฉลี่ย 3.86)