RDI-Research Report
Permanent URI for this collection
Browse
Recent Submissions
Item การศึกษาการวิเคราะห์เชิงคุณภาพสำหรับสมการเชิงอนุพันธ์อันดับเศษส่วนและการประยุกต์(Research and Development Institute, 2025-09) ธานินทร์ สิทธิวิรัชธรรม; สาวิตรี มูลสุวรรณ; วราภรณ์ วัฒนเขจรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาเงื่อนไขการมีอยู่จริงและความเสถียรภาพและการมีอยู่จริงของคำตอบของป้ญหาค่าเริ่มต้นหรือค่าขอบ และการประยุกต์ในการสร้างตัวแบบทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) สำหรับสมการเชิงอนุพันธ์อันดับเศษส่วนประเภทต่าง ๆ โดยใช้ความรู้ด้านการวิเคราะห์เชิงคณิตศาสตร์และทฤษฎีจุดตรึงเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าวิจัยจากงานวิจัยนี้ เราได้เงื่อนไขสำหรับการมีอยู่จริงและความเสถียรภาพของคำตอบของปัญหาดังกล่าวและการประยุกต์ในการสร้างตัวแบบทางคณิตศาสตร์ จากนั้นสามารถขยายการศึกษาต่อยอดออกไปในเชิงการประยุกต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้Item นวัตกรรมกระบวนการแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองผู้บริโภคเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชีวิตวิถีใหม่ ชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร(Research and Development Institute, 2024-10) สุภารัตน์ คุ้มบำรุง; ชวาลิน เนียมสอนการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษามุมมองผู้บริโภคและความคาดหวังที่มีต่อร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร (2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบการแลกเปลี่ยนความรู้ กลยุทธ์การตลาดและศักยภาพด้านการบริหารจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร (3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการแลกเปลี่ยนความรู้ ที่มีต่อกลยุทธ์การตลาด และศักยภาพด้านการบริหารจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร (4) เพื่อศึกษาอิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดที่มีต่อศักยภาพด้านการบริหารจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร (5) เพื่อศึกษาอิทธิพลของการแลกเปลี่ยนความรู้ต่อศักยภาพด้านการบริหารจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารผ่านกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร (6) เพื่อนำเสนอกรอบแนวคิดการพัฒนานวัตกรรมกระบวนการเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านการบริหารจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร ตามมุมมองของผู้บริโภคและผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง มี 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร จำนวน 347 คน (2) ผู้บริโภค จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และการวิเคราะห์สมการเชิงโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) การแลกเปลี่ยนความรู้มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อศักยภาพด้านการบริหารจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร (R2 =.719) 2) การแลกเปลี่ยนความรู้มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร (R2 =.698) 3) กลยุทธ์การตลาดมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับศักยภาพด้านการบริหารจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร (R2 =.793) 4) แบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุของการแลกเปลี่ยนความรู้และกลยุทธ์การตลาดที่มีอิทธิพลต่อศักยภาพด้านการบริหารจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.913 ดังนั้นควรส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านกลยุทธ์การตลาดและการบริหารจัดการ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพ การเติบโต และความยั่งยืนของธุรกิจItem การประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลกับการตลาดธุรกิจบริการของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร(Research and Development Institute, 2024-11) ลัดดา สวนมะลิ; กนิษฐา ศรีเอนกการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาดัชนีความพร้อมในการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัล ส่วนประสมการตลาดธุรกิจบริการ และความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร (2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของดัชนีความพร้อมด้านเทคโนโลยี ส่วนประสมการตลาดธุรกิจบริการ และความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร (3) เพื่อศึกษาอิทธิพลของดัชนีความพร้อมด้านเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร (4) เพื่อศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมการตลาดธุรกิจบริการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร และ (5) เพื่อศึกษาอิทธิพลของดัชนีความพร้อมด้านเทคโนโลยีของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานครผ่านส่วนประสมการตลาดธุรกิจบริการ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย คือ ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร จำนวน 426 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าพิสัย ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าความโด่ง และ ค่าความเบ้ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ การทดสอบที และการวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล การทดสอบสมมติฐานใช้วิธีการตัวแบบจำลองสมการเชิงโครงสร้างด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัยมีดังนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 67.14 มีอายุระหว่าง 35 – 45 ปี คิดเป็นร้อยละ 31.92 เมื่อพิจารณาตามระดับการศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษาระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 65.49 มีประสบการณ์เป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร และร้านอาหารมีอายุ ระหว่าง 5-10 ปี ร้อยละ 38.03 และร้อยละ 36.15 ตามลำดับ ภายในร้านมีพนักงานจำนวน 1-5 คน คิดเป็นร้อยละ 79.34 และมีจำนวนโต๊ะ 1-5 โต๊ะ คิดเป็นร้อยละ 45.54 ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารทั่วไป (Fast Dining) ร้อยละ 46.24 ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ดัชนีความพร้อมด้านเทคโนโลยีมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร โดยผลการทดสอบ พบว่า ยอมรับสมมติฐาน โดยมี ค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง เท่ากับ 0.24 ส่วนประสมการตลาดธุรกิจบริการมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร โดยผลการทดสอบ พบว่า ยอมรับสมมติฐานโดยมี ค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง เท่ากับ 0.74 นอกจากนี้ดัชนีความพร้อมด้านเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร ผ่านส่วนประสมการตลาดธุรกิจบริการ โดยผลการทดสอบ พบว่า ยอมรับสมมติฐาน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง เท่ากับ 0.81Item การส่งเสริมอัตลักษณ์และสร้างคุณค่าอาหารกับศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร(Research and Development Institute, 2024-11) อัญชนา ลักษณ์วิรามสิริ; ธนากร ปักษาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์องค์ประกอบของการสร้างคุณค่าให้กับธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร (2) ศึกษาอิทธิพลของศักยภาพของผู้ประกอบการร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานครที่มีต่ออัตลักษณ์และการสร้างคุณค่าให้กับร้านอาหาร และ (3) ศึกษาอิทธิพลของศักยภาพของผู้ประกอบการร้านอาหารที่มีต่อการสร้างคุณค่าให้กับร้านอาหารผ่านอัตลักษณ์ของร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้เป็นวิธีการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยประชากรของการวิจัย คือ ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร ที่มีใบอนุญาตหรือหนังสือรับรองการแจ้งจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหารตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งหมด 50 เขต มีจำนวนทั้งสิ้น 15,561 ร้าน เลือกกลุ่มตัวอย่างมาทั้งหมด 430 ร้านอาหาร สำหรับกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพจะประกอบด้วย ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และผู้เชี่ยวชาญ/ผู้ที่เกี่ยวข้องด้านธุรกิจร้านอาหาร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถาม และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการจัดสนทนากลุ่มย่อยและสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึกโดยใช้แบบสัมภาษณ์ การทดสอบสมมติฐานใช้วิธีการตัวแบบจำลองสมการเชิงโครงสร้างด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ผลการวิจัย พบว่า การสร้างคุณค่าของธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมืองกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย (1) การขายสินค้าและบริการที่มีความสะอาด ปลอดภัย ถูกหลักอนามัย (2) การใช้วัตถุดิบที่สด ใหม่ และมีคุณภาพ (3) การขายสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเหมาะสมกับราคาที่ลูกค้าจ่าย (4) การขายสินค้าและบริการที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจหรือมีความสุขเมื่อมารับประทานอาหาร และ (5) การที่ร้านอาหารสามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกภูมิใจที่ได้รับประทานอาหารร้านนี้ เช่น เป็นร้านที่ช่วยเหลือเกษตรกรหรือชุมชน ใช้วัตถุดิบที่มาจากชุมชนท้องถิ่น หรือเป็นร้านเก่าแก่ดั้งเดิมในชุมชน เป็นต้น ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ศักยภาพของผู้ประกอบการร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร มีอิทธิพลต่อทั้งอัตลักษณ์และการสร้างคุณค่าให้กับร้านอาหาร แม้ว่าศักยภาพของผู้ประกอบการร้านอาหารจะมีอิทธิพลต่อการสร้างคุณค่าให้กับร้านอาหารในชุมชนเมืองกรุงเทพมหานคร แต่กลับไม่มีอิทธิพลทางอ้อมต่อคุณค่าสำหรับร้านอาหารเนื่องจากอัตลักษณ์ไม่มีอิทธิพลต่อคุณค่าของร้านอาหาร อย่างไรก็ดี ศักยภาพของผู้ประกอบการยังมีอิทธิพลรวมต่อการสร้างคุณค่าสำหรับร้านอาหารItem นวัตกรรมการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารตามชีวิตวิถีใหม่ในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร(Research and Development Institute, 2024-12) ปรมัตถ์ปัญปรัชญ์ ต้องประสงค์; ธนากร ปักษาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสาเหตุ หากลุ่มที่ควรพัฒนาก่อน และปัจจัยเสริมการพัฒนาของนวัตกรรมการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร 2) เพื่อวิเคราะห์แบบจำลองนวัตกรรมการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร และ 3) เพื่อประเมินประสิทธิผลโปรแกรมต้นแบบนวัตกรรมการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารตามชีวิตวิถีใหม่ในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร การวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงสัมพันธ์เปรียบเทียบ โดยประชากรการวิจัย คือ ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร ใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบหลายขั้นตอนได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 465 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบวัดตัวแปรที่เป็นมาตรประเมินรวมค่า (5 ระดับ) จำนวน 11 แบบวัด ที่มีค่า IOC เท่ากับ .60-1.00 ค่าความเที่ยงจากวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟา (CA) ตั้งแต่ .838 ถึง .995 วิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยด้วยสถิติพรรณาและสถิติอ้างอิง สถิติเพื่อการทดสอบสมมติฐานคือ สถิติทดสอบทีแบบอิสระ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ การวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพลด้วยการวิเคราะห์สมการโมเดลเชิงโครงสร้าง ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีทั้งผู้ประกอบการนวัตกรรมและไม่ใช่ผู้ประกอบการนวัตกรรมกลุ่มละ 32 คน ที่เป็นผู้สมัครใจจากกลุ่มปฏิบัติงาน (เขต) ที่ยินดีเข้าร่วมการวิจัย 2 กลุ่ม จัดเข้ากลุ่มด้วยวิธีการสุ่มเข้ากลุ่มด้วยโอกาสเท่าเทียมกัน การสอบวัดในการทดลองมี 3 ระยะ คือ ก่อนทดลอง สิ้นสุดการทดลอง และสองสัปดาห์หลังสิ้นสุดการทดลอง สถิติที่ใช้ คือ สถิติทดสอบที การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยด้านสินค้าและบริการ (อัตลักษณ์ คุณค่า การตลาดบริการ) ด้านบุคลากรกับเทคโนโลยีดิจิทัล (การเรียนรู้ ประสบการณ์ลูกค้า การประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัล) และด้านความสำเร็จของธุรกิจ (การรับรู้ ความเชื่อใจ ความยืดหยุ่น) สามารถอธิบายนวัตกรรมการพัฒนาศักยภาพ (ลักษณะ) ความเป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารได้ร้อยละ 44.4 โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่ควรพัฒนาก่อนคือ กลุ่มที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ปัจจัยที่ส่งเสริมสำคัญคือ ความเชื่อใจ ความยืดหยุ่น และการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัล 2) แบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุของนวัตกรรมการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานครมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยสามารถอธิบายได้ร้อยละ 95.6 และ 3) นวัตกรรมที่นำเสนอคือ โปรแกรมต้นแบบการพัฒนาศักยภาพ (ลักษณะ) ความเป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารในชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร ผู้ประกอบการที่ได้รับการฝึกอบรมด้วยโปรแกรมต้นแบบการพัฒนาศักยภาพ (ลักษณะ) ความเป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารด้วยปัจจัยสำคัญคือ ความเชื่อใจ ความยืดหยุ่น และการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลส่งเสริมให้นวัตกรรมการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกอบรม โดยพบได้ทันทีหลังการฝึกอบรมแล้วเสร็จ และเมื่อเวลาได้ผ่านไปสองสัปดาห์ ผลดังกล่าวยังคงอยู่Item SARAT Model : รูปแบบการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21(Research and Development Institute, 2024) สรัฐ ฤทธิ์รณศักดิ์; วาสนา จักร์แก้วการวิจัย เรื่อง SARAT Model : รูปแบบการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 มีวัตถุประสงค์ดังนี้คือ 1. เพื่อศึกษาการพัฒนาบุคลิกภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษา ลำปาง 2. เพื่อสร้างมาตรฐานการพัฒนาบุคลิกภาพของนักศึกษาให้เป็นความเป็นสากลที่มีเสน่ห์แบบไทย และ 3. เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการพัฒนาบุคลิกภาพรวมถึงแนวทางและข้อเสนอแนะในการพัฒนาบุคลิกภาพผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษา ลำปาง เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) ที่ใช้การวิจัยเชิงปริมาณเป็นหลักและใช้การวิจัยเชิงคุณภาพในการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล มีการเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวนทั้งสิ้น 24 คน ประกอบด้วย ตัวแทนนักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจการบิน จำนวน 6 คน ตัวแทนนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย จำนวน 6 คน ตัวแทนนักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา จำนวน 6 คน และ ตัวแทนนักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ จำนวน 6 คน การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างโดยการแจกแจงความถี่ และหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการบรรยายแบบพรรณนาได้แก่ เพศ อายุ ภูมิลำเนา ศาสนา ระดับชั้นปี สาขาวิชา เกรดเฉลี่ย ประสบการณ์การฝึกอบรม และวิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า บุคลิกภาพก่อน - หลังการทำกิจกรรมของนักศึกษาที่แตกต่างจากเดิมคือ ผู้เรียนมีความรับผิดชอบมากขึ้น มีการปรับทัศนคติส่วนบุคคลและกลุ่มในการคิดเชิงบวก ความคิดสร้างสรรค์ และมีการคิดวิเคราะห์ มีความตั้งใจในการทำงานเดี่ยวและงานกลุ่ม มีความกล้าแสดงออกอย่างมั่นใจมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ในการแสดงออก สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น และกล้าตัดสินใจได้เป็นอย่างระบบ โดยใช้กระบวนการฝึกของ SARAT model ประกอบด้วย 1. ศึกษาตนเอง (Self awareness: S) 2. วิเคราะห์ (Analysis: A) 3. จดจำ (Remember: R) 4. ปฏิบัติจริง (Apply: A) 5. ด้วยความเป็นไทย (Thainess: T)Item การพัฒนาวัสดุปลูกและการปรับปรุงดินโดยแร่ดินเบาเกรดต่่าเพื่อการใช้ประโยชน์ทรัพยากรแร่ด้านการเกษตร(Research and Development Institute, 2025-07) พรพัสนันท์ เดชประสิทธิโชค; วันดี สิริธนา; สรรค์ชัย เหลือจันทร์; อินทัช จันทร์เพ็ง; เสาวนีย์ เสียมไหม; คริสทอป ซอนเทค; ปริสุทธิ์ บูรพาเรืองแสงการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะเฉพาะทางโครงสร้าง สมบัติทางกายภาพ และองค์ประกอบทางเคมีของแร่ดินเบา (ไดอะทอไมต์) ศึกษาการปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพการดูดซับของแร่ดินเบา พัฒนาวัสดุปรับปรุงดินประสิทธิภาพสูงส่าหรับการปลูกพืชจากแร่ดินเบาพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการเตรียมวัสดุปรับปรุงดินประสิทธิภาพสูงส่าหรับการปลูกพืชจากแร่ดินเบา และศึกษาต้นทุนการผลิตและวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการผลิตวัสดุปรับปรุงดินที่มีประสิทธิภาพสูงส่าหรับการปลูกพืชจากแร่ดินเบา ซึ่งใช้กลุ่มประชากรเป็นแร่ดินเบาซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติของอ่าเภอแม่ทะ จังหวัดล่าปาง ผลการวิจัย พบว่า แร่ดินเบาจากอ่าเภอแม่ทะ มีลักษณะเฉพาะของโครงสร้างที่มีรูพรุนมากและพื้นที่ผิวกว้าง ซึ่งตรวจสอบโดยการวิเคราะห์ XRD, XRF และ SEM พบว่า องค์ประกอบหลักเป็นซิลิกา (SiO2) โดยมีแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น อลูมินา (Al2O3) และเหล็กออกไซด์ (Fe2O3) ปนในปริมาณเล็กน้อย การปรับปรุงคุณภาพของแร่ดินเบาด้วยกระบวนการไฮโดรเทอร์มอลและกรดไฮโดรคลอริกสามารถก่าจัดเหล็กออกได้มากกว่าร้อยละ 90 การปรับปรุงประสิทธิภาพโดยการดูดซับธาตุอาหารส่าคัญ เช่น ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) พบว่าแร่ดินเบาสามารถดูดซับไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ได้สูงสุด 313 262 และ 534 มิลลิกรัมต่อกรัม ตามล่าดับ สามารถพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์วัสดุปลูกและปรับปรุงดิน 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ต้นแบบไดอะทอไมต์เสริมไนโตรเจน ต้นแบบไดอะทอไมต์เสริมฟอสฟอรัส และต้นแบบไดอะทอไมต์เสริมโพแทสเซียม มีการน่าไปทดสอบปลูกคะน้าและแตงกวา ให้ผลผลิตใกล้เคียงกับการปลูกโดยใช้ดิน การใช้วัสดุปลูกและปรับปรุงดินจากแร่ดินเบา จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนItem การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานต่อพัฒนาทักษะ การวางแผน การทำงานเป็นทีม และการคิดเชิงวิพากษ์อย่างเป็นระบบ ในรายวิชาการควบคุมต้นทุนอาหารและเครื่องดื่มของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาธุรกิจการโรงแรม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต(Research and Development Institute, 2025) เอกชัย จากศรีพรหมการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานในรายวิชาการควบคุมต้นทุนอาหารและเครื่องดื่มของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาธุรกิจการโรงแรม 2. เพื่อเปรียบเที่ยบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน และ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาธุรกิจการโรงแรม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการควบคุมต้นทุนอาหารและเครื่องดื่ม รหัส 3572310 ตอนเรียน A1 จานวน 32 คน ในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เกี่ยวข้องกับทักษะการวางแผน การทางานเป็นทีม และการคิดเชิงวิพากษ์ คือ แบบทดสอบก่อนการเรียนรู้ (pre-test) และหลังการเรียนรู้ (post-test) และ 3. แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักศึกษา สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ Pair Samples t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน มีทั้งหมด 8 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. การค้นคว้า 2. การแก้ปัญหา 3. การสร้างโครงงานหรือผลงาน 4. การทากิจกรรม 5. การเรียนรู้ 6. การทางานเป็นทีม 7. การวัดและประเมินผล และ 8. การปรึกษา โดยเน้นการเชื่อมโยงความรู้กับประสบการณ์จริง และการฝึกปฏิบัติที่คล้ายคลึงกับการทางานในชีวิตจริง 2. นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เกี่ยวข้องกับทักษะการวางแผน การทางานเป็นทีม และการคิดเชิงวิพากษ์อย่างเป็นระบบหลังเรียนสูงกว่าช่วงก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. นักศึกษามีความพึงพอใจในภาพรวมต่อแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.00 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.84 การจัดการเรียนการสอนมีระดับพึงพอใจมากที่สุดโดยเฉพาะเรื่อง โครงงานทีมอบหมายมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของวิชา สรุปรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานมีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะที่สาคัญของนักศึกษาทั้ง 3 ทักษะ ซึ่งสะท้อนถึงความสาเร็จของการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการปฏิบัติจริงและการเรียนรู้จากประสบการณ์Item การพัฒนารายการอาหารซุปเปอร์ฟู้ดจากวัตถุดิบท้องถิ่นไทย และยกระดับศักยภาพผู้ประกอบอาหารไทย(Research and Development Institute, 2025) นราธิป ปุณเกษม; ปัญญภัสก์ ปิ่นแก้ว; จันทร์จนา ศิริพันธ์วัฒนา; กนกกานต์ วีระกุล; ธนพัฒน์ แสงรุ่งเรือง; กันต์กนิษฐ์ จงรัตนวิทย์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารายการอาหารซุปเปอร์ฟู้ดจากวัตถุดิบท้องถิ่นไทย และยกระดับศักยภาพผู้ประกอบอาหารไทยด้านการประกอบอาหารซุปเปอร์ฟู้ดจากวัตถุดิบท้องถิ่นไทย ขั้นตอนแรกใช้การคัดกรอง และคัดเลือกแนวคิดเป็นเครื่องมือในการวิจัย โดยใช้กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจานวน 12 คน (เชฟ ผู้ประกอบการด้านอาหาร นักโภชนาการ) เพื่อคัดเลือกซุปเปอร์ฟู้ดท้องถิ่นไทยใช้เกณฑ์หลักในการพิจารณา เป็นวัตถุดิบท้องถิ่นตามพื้นที่ภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย และ เป็นสุดยอดอาหาร พบว่าซุปเปอร์ฟู้ดท้องถิ่นไทยที่ถูกคัดเลือกได้แก่ ปลาดุก ปลาช่อน ข้าวสังข์หยด ข้าวดอยซ้อมมือ งาขี้ม่อน คีนัว เมล็ดเจีย ขมิ้นชัน กระเจี๊ยบเขียว ผักเคล อะโวคาโด มัลเบอร์รี่ และผา จากนั้นจัดประชุมกลุ่มย่อยผู้เชี่ยวชาญ (เชฟ และนักโภชนาการ) จานวน 10 คน สร้างสรรค์รายการอาหารไทยจากวัตถุดิบซุปเปอร์ฟู้ดที่คัดเลือกประกอบด้วย อาหารคาว อาหารว่าง/เครื่องดื่ม และอาหารหวาน อย่างละ 8 รายการ คัดเลือกตัวแทนรายการอาหารจานวน 3 รายการ เพื่อวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการพบว่า ตัวอย่างอาหารที่ใช้ซุปเปอร์ฟู้ดจากวัตถุดิบท้องถิ่นไทยมีคุณค่าทางอาหารเป้าหมายเพิ่มขึ้น ขั้นตอนสุดท้ายยกระดับศักยภาพผู้ประกอบอาหารไทยโดยจัดทาหลักสูตรฝึกอบรม “อาหารซุปเปอร์ฟู้ดจากวัตถุดิบท้องถิ่นไทย” โดยคัดเลือกรายการอาหาร 10 รายการ กลุ่มตัวอย่างเป็นเชฟจานวน 50 คน และใช้แบบสอบถามเพื่อประเมินความพึงพอใจในการฝึกอบรม ผลการวิจัยพบว่าความพึงพอใจโดยรวมอยู่ที่ 4.94 ± 0.37 (คะแนนเต็ม 5)Item รูปแบบการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารรุ่นใหม่เพื่อรังสรรค์เมนูอาหารชุดเพื่อสุขภาพและสร้างคุณค่าทางโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุจากอาหารพื้นถิ่นทางภาคใต้ในจังหวัดตรัง(Research and Development Institute, 2025-03) วิภาดา มุกดา; วันเพ็ญ ควรสมาน; จุฑามาศ เชาว์พิพัฒนะ; สาวิตรี ณุวงศ์ศรีการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้สูงอายุเพื่อรังสรรค์เมนูอาหารชุดเพื่อสุขภาพและสร้างคุณค่าทางโภชนาการอาหารพื้นถิ่นทางภาคใต้ในจังหวัดตรัง 2) พัฒนาศักยภาพและความพร้อมของผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารรุ่นใหม่เพื่อรังสรรค์เมนูอาหารชุดเพื่อสุขภาพและสร้างคุณค่าทางโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุจากอาหารพื้นถิ่นทางภาคใต้ใน จังหวัดตรัง และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารรุ่นใหม่เพื่อรังสรรค์เมนูอาหารชุดเพื่อสุขภาพและสร้างคุณค่าทางโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุจากอาหารพื้นถิ่นทางภาคใต้ในจังหวัดตรัง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุ จำนวน 400 คน และผู้ประกอบการร้านอาหาร จำนวน 75 คน สนทนากลุ่มกับผู้สูงอายุ จำนวน 15 คน และผู้ประกอบการร้านอาหารรุ่นใหม่ จำนวน 15 คน ส่วนการสัมภาษณ์เชิงลึกกับตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 60 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานการวิจัย t-test F-test และทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธี LSD ส่วนผลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการบริโภคอาหารและสร้างคุณค่าทางโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ พบว่า ภาพรวม ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมการปฏิบัติเป็นบางครั้ง เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผู้สูงอายุมีพฤติกรรมปฏิบัติเป็นประจำ ได้แก่ ผู้สุงอายุส่วนใหญ่รับประทานผัก ผลไม้อย่างน้อยวันละ 2 มื้อ 2) การพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารรุ่นใหม่ ภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า ผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารพื้นถิ่นใน จังหวัดตรัง ผู้ประกอบการตระหนักถึงการคัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่นที่มีคุณภาพมาพัฒนาคุณภาพ รายการอาหารให้ได้มาตรฐาน 3) แนวทางการพัฒนาผู้ประกอบการร้านอาหารรุ่นใหม่ด้วยการทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า การวางแผนงบประมาณและต้นทุน เมนูอาหารต้องโดนใจลูกค้า ตั้งราคาให้เหมาะสม โปรโมชั่นส่งเสริมการตลาด ประชาสัมพันธ์ให้ร้านอาหารเป็นที่รู้จัก มีวิธีการจัดการกับวัตถุดิบเหลือใช้ การจัดส่งอาหารเดลิเวอรี่ ความปลอดภัยด้านอาหาร เทคโนโลยีสมัยใหม่ และการจัดการขยะอาหารภายในร้านอาหารItem การพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม(Research and Development Institute, 2025-04-20) ปัทมา กาญจนรักษ์; สิรินทร์ทิพย์ สุตตาพงค์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำพริกผัดเคยฉลู 2) เพื่อศึกษาการลดโซเดียมของผลิตภัณฑ์น้ำพริกผัดเคยฉลู 3) เพื่อศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพ เคมี และจุลินทรีย์ของผลิตภัณฑ์น้ำพริกผัดเคยฉลู โดยผู้วิจัยทำการศึกษาน้ำพริกผัดจำนวน 3 สูตร จากนั้นทำการทดสอบทางประสาทสัมผัส 9-Point hedonic scale โดยผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร จำนวน 10 คน พบว่า น้ำพริกผัดสูตรที่ 3 ซึ่งประกอบด้วย กระเทียมจีน ร้อยละ 9.41, พริกชี้ฟ้าแดงแห้ง ร้อยละ 12.55, พริกขี้หนูสวนป่น ร้อยละ 2.51, กุ้งแห้ง ร้อยละ 31.37, น้ำมะขามเปียก ร้อยละ 22.58, น้ำตาลปี๊บ ร้อยละ 10.66, น้ำปลา ร้อยละ 6.25, เกลือ ร้อยละ 0.63 และน้ำมันถั่วเหลือง ร้อยละ 3.76 ได้รับคะแนนความชอบมากที่สุด จากนั้นนำมาพัฒนาเป็นน้ำพริกผัดเคยฉลู ด้วยการใช้เคยฉลูทดแทนกุ้งแห้งในอัตราส่วน 60:40, 80:20 และ 100:0 จากผลการทดสอบความชอบทางประสาทสัมผัส 9-Point hedonic scale โดยกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 คน พบว่า การทดแทนเคยฉลูร้อยละ 80 : กุ้งแห้งร้อยละ 20 ได้รับคะแนนความทางประสาทสัมผัสมากที่สุด โดยการทดลองทั้ง 3 สูตร ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≥0.05) และกำหนดเป็นสูตรพื้นฐาน เพื่อพัฒนาต่อไป จากนั้น ผู้วิจัยทำการศึกษาสูตรน้ำพริกผัดเคยฉลู สูตรเคยฉลู 80 : กุ้งแห้ง 20 เพื่อสืบค้นปริมาณโซเดียม พบว่า วัตถุดิบที่ให้โซเดียมสูง ได้แก่ กุ้งแห้ง น้ำปลา เกลือ และเคยฉลู ดังนั้นผู้วิจัยจึงทำการลดโซเดียมด้วยวิธีการ ดังนี้ 1) กุ้งแห้ง เปลี่ยนวัตถุดิบเป็น กุ้งแห้งแบบจืด ตัวใหญ่ ไม่มีเปลือก ลวกในน้ำร้อน 3 นาที 2) น้ำปลา เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นน้ำปลาลดโซเดียม 3) เกลือ (โซเดียมคลอไรด์) เปลี่ยนวัตถุดิบเป็นโพแทสเซียมคลอไรด์ 4) เคยฉลู ทำการปรับลดปริมาณเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ในเคยฉลูลงและใช้สารโพแทสเซียมคลอไรด์ทดแทน 4 ระดับ คือ ทดแทนในระดับ 0, 10, 20 และ 30 ของปริมาณเกลือทั้งหมด และนำเคยฉลูทั้ง 4 ระดับนี้ไปใช้เป็นวัตถุดิบหลักในเมนูน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม จากนั้นทำการทดสอบความชอบทางประสาทสัมผัส 9-Point hedonic scale กับผู้ทดสอบจำนวน 50 คน พบว่า น้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม สูตรที่ 2 (โซเดียมคลอไรด์ 80 : โพแทสเซียมคลอไรด์ 20) ได้รับคะแนนความทางประสาทสัมผัสมากที่สุด และจากการศึกษา ค่าสี พบว่า น้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม สูตรควบคุม (100:0) มีความสว่างมากที่สุด เมื่อพิจารณา ค่า L* (ความสว่าง) และค่า a* (สีเขียว-สีแดง) ของทั้ง 4 สูตร พบว่า มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) ส่วนค่า b* (สีน้ำเงิน-สีเหลือง) ของทั้ง 4 สูตร ไม่มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p≤0.05) คุณสมบัติทางเคมี ได้แก่ ค่า pH ของน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม ทั้ง 4 สูตร พบว่า ทั้ง 4 สูตร มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่า Moisture ของน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม ทั้ง 4 สูตร พบว่า ทั้ง 4 สูตร ไม่มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) ค่า aw ของน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม ทั้ง 4 สูตร พบว่า มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) จากนั้นวิเคราะห์ค่าโซเดียมของน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม ทั้ง 4 สูตร ด้วยวิธีการ AOAC 2019 พบว่า สูตรควบคุม (100:0) มีค่าโซเดียมสูงที่สุด คือ 1,599.3 mg./100 g รองลงมา คือ สูตรที่ 1 (90:10) มีค่าโซเดียม 1,206.8 mg./100 g ปริมาณโซเดียมลดลงจากสูตรควบคุมร้อยละ 25.89 สูตรที่ 2 (80:20) มีค่าโซเดียม 1,163.4 mg./100 g มีปริมาณโซเดียมลดลงจากสูตรควบคุมร้อยละ 30.59 และสูตรที่ 3 (70:30) มีค่าโซเดียม 1,148.9 mg./100 g มีปริมาณโซเดียมลดลงจากสูตรควบคุมร้อยละ 32.24 จากผลการทดลองด้านคุณภาพทางประสาทสัมผัสและผลวิเคราะห์ทางด้านกายภาพและเคมี ผู้วิจัยจึงคัดเลือก สูตรที่ 2 (โซเดียมคลอไรด์ 80 : โพแทสเซียมคลอไรด์ 20) เป็นสูตรที่ดีที่สุด จากนั้นนำไปวิเคราะห์ค่าโพแทสเซียม พบโพแทสเซียม 589 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และวิเคราะห์คุณสมบัติด้านจุลินทรีย์ ได้แก่ จำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมด 95 CFU ต่อกรัม ยีสต์และรา น้อยกว่า 10 CFU ต่อกรัม และ Escherichia coli น้อยกว่า 3.0 MPN ต่อกรัม โดยน้ำพริกผัดเคยฉลู ลดโซเดียม มีคุณภาพมาตรฐานเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนน้ำพริกผัด (มผช. 321/2547)Item การพัฒนาทักษะการปฏิบัติขนมปังยีสต์ในรายวิชาเทคนิคการผลิตเบเกอรี (รหัสวิชา 5071323) เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต(Research and Development Institute, 2025-04-20) ชมนาท ชื่นฉ่ำ; ธีรนุช ฉายศิริโชติ; ปรมะ รอดม่วงงานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการวัดผลความรู้ก่อนและหลังเรียนในรายวิชาเทคนิคการผลิตเบเกอรี และเพื่อเปรียบเทียบทักษะการปฏิบัติขนมปังยีสต์หลังเรียนโดยใช้รูปแบบทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ในรายวิชาเทคนิคการผลิตเบเกอรี โดยมีคะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 20 คะแนน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 หลักสูตร วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตจำนวน 80 คน และเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ แบบประเมินผลปฏิบัติการและเกณฑ์ประเมิน วิเคราะห์ค่าคะแนนเฉลี่ย (𝑋̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS ด้วยสถิติ t-test อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และด้านคะแนนทักษะการปฏิบัติ เรื่อง ขนมปังยีสต์ ได้แก่ ขนมปังฝรั่งเศส ฟอคคาเชีย วานิลลาชาลาห์ ขนมปังโฮลวีท ของนักศึกษา จากการใช้วิธีสอนร่วมกับรูปแบบการเรียนการสอนทักษะการปฏิบัติของแฮร์โรว์ พบว่า หลังจากสิ้นสุดการเรียนการสอน นักศึกษาทุกกลุ่มมีคะแนนปฏิบัติจากการทดสอบทักษะปฏิบัติอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมตามเกณฑ์ รายการประเมินผลปฏิบัติงานจากหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีการประกอบอาหาร และการบริการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตItem การพัฒนาหลักสูตรอบรมระยะสั้นเพื่อส่งเสริมความพร้อมในการทำงานสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี(Research and Development Institute, 2024) นนทพร ชอบตะคุการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความพร้อมในการทำงานสำหรับนักศึกษาฝึกสอนสาขาวิชาการประถมศึกษา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี และเพื่อประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรระยะสั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการประถมศึกษา คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี ที่กำลังเรียนในรายวิชาสมรรถนะทางภาษาไทยสำหรับครู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบประเมินความพร้อมในการทำงานแบบมาตรประมาณค่าและแบบประเมินความพร้อมในการทำงานจากการสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย (Mean) ร้อยละ (Percentage) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัย พบว่า คุณลักษณะที่แสดงความพร้อมในการทำงานของนักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความรู้ มี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ ความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ และความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน 2) ด้านทักษะ มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการคิด ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และทักษะการทำงานเป็นทีม 3) ด้านเจตคติ ได้แก่ ความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย มุ่งมั่นปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย ตรงต่อเวลา และปฏิบัติตามกฎระเบียบของหน่วยงาน และหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้นเพื่อส่งเสริมความพร้อมในการทำงานสำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการประถมศึกษา บูรณาการแนวคิด CTR-PAR-Based Curriculum ในการออกแบบหลักสูตรระยะสั้น โดยนำแนวคิดหลักสูตรแบบเน้นสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum) มาออกแบบกิจกรรมในหน่วยฝึกอบรมและกิจกรรมในการปฏิบัติงาน นำแนวคิดหลักสูตรแบบเน้นงานปฏิบัติ (Task-Based Curriculum) มากำหนดภาระงานให้นักศึกษาได้ฝึกปฏิบัติในแหล่งฝึกงาน ตลอดกระบวนการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมส่งผลให้ นักศึกษาฝึกงานเกิดการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะความพร้อมในการทำงาน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านเจตคติItem การพัฒนาทักษะวิชาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจการบิน ด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดล(Research and Development Institute, 2025-04-25) จิระพงศ์ ป้อมน้อย; ศุภิสรา ทองจรูญ; วาสนา จักร์แก้วการวิจัยเรื่องทักษะวิชาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจการบินที่เรียนด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดลมีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อประเมินทักษะวิชาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจ การบินที่เรียนด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดล และ 2. เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาที่เรียนด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดลกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลัยสวนดุสิต หลักสูตรธุรกิจการบิน ชั้นปีที่ 2 จำนวน 23 คน ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการตลาดในธุรกิจการบิน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยมีเครื่องมือคือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่านักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการตลาดในธุรกิจการบิน จำนวน 23 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 60.87 รองลงมาเป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 39.13 และนักศึกษาส่วนใหญ่เข้าเรียนต่อภาคการศึกษาในรายวิชาการ จำนวน 11 ครั้งขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 100 ทักษะวิชาชีพของนักศึกษาสาขาวิชาธุรกิจการบินที่เรียนด้วยกระบวนการบูรณาการเบญจกิจโมเดลมีค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาการตลาดในธุรกิจการบินที่จัดกิจกรรมเชิงรุกโดยใช้เบญจกิจโมเดล มีค่าเท่ากับ 72.66 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาการตลาดในธุรกิจการบิน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.75) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านวัตถุประสงค์การเรียนการสอน (ค่าเฉลี่ย 3.82) ผู้สอนได้จัดสรรเวลาแต่ละเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.91) ผู้สอนได้เพิ่มเติมเนื้อหาที่ทันสมัย (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.77) ผู้สอนมีการเตรียมการจัดกิจกรรมสอดคล้อง กับเนื้อหาที่สอนในแต่ละวัตถุประสงค์ (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.95) ผู้สอนมีบุคลิกภาพและการแต่งกายที่เหมาะสม (ค่าเฉลี่ย 3.86)