Research

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 1047
  • Default Image
    Item
    การเจริญของเซลล์เมลาโนมาในการเพาะเลี้ยงในหลอดทดลองที่มีสารสกัดจากอินทนิลน้ำและยางเลือดมังกร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ณัฐพร บู๊ฮวด; ปิยนุช พรมภมร
    อินทนิลน้ำหรือ Queen’s Flower เป็นพืชสมุนไพรที่พบในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และส่วนต่าง ๆ ของพืชสามารถรักษาโรคได้หลากหลาย เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน นอกจากนี้มีการนำมาใช้ในเครื่องสำอางสำหรับผิวหนังและเส้นผม มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระนำมาใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ปรับสีผิว ต้านริ้วรอย ฝาดสมานผิวและกระตุ้นการเจริญของเส้นผม ยางเลือดมังกรมีแหล่งกำเนิดจากป่าดงดิบอะมาซอน ประเทศเปรู ถูกนำมาใช้แพร่หลายในหลายประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน อินเดีย อินโดนีเซีย มีสารสำคัญหลัก คือ สารโพรแอนโธไซยานิดินส์และสารทาสพีน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ช่วยสมานแผล และกระตุ้นคอลลาเจน มีการนำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาหลังโกนหนวด ครีมทาหลังถูกแสงแดด ลิปสติก รักษาแผลที่เกิดจากสิว และลดรอยเหี่ยวย่น การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะสัมผัสกับผิวหนังโดยตรง ดังนั้นฤทธิ์ของสารสกัดที่มีผลต่อการเจริญของเซลล์จึงมีความสำคัญ งานวิจัยนี้จึงศึกษาการเจริญของเซลล์เมลาโนมาที่เพาะเลี้ยงในหลอดทดลองที่มีสารสกัดจากอินทนิลน้ำ และยางเลือดมังกร โดยเซลล์เมลาโนมาถูกเลี้ยงที่จำนวนเริ่มต้น 2x105, 3x105 และ 4x105 เซลล์ต่อหลุม ในจานหลุม 6 หลุม ในอาหารชนิดดีเอ็มอีเอ็มที่มีส่วนผสมของซีรั่มลูกวัว 10 % และถูกทดสอบกับสารอินทนิลน้ำที่ความเข้มข้น 1, 10 และ 100 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และยางเลือดมังกรความเข้มข้น 1, 10 และ 100 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร เซลล์ถูกเลี้ยงอยู่ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสและมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 5 % เป็นเวลา 7 วัน ผลการศึกษาพบว่า เวลาที่เซลล์ใช้ในการเจริญเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่า มีค่าเฉลี่ย 70.03±8.26 ชั่วโมง และสารสกัดอินทนิลน้ำที่ความเข้มข้น 1 และ 10 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ไม่มีผลต่อการเจริญของเซลล์และเวลาที่เซลล์ใช้ในการเจริญเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าไม่แตกต่างกับเซลล์ที่เลี้ยงในอาหารโดยไม่มีสารสกัด ส่วนสารสกัดอินทนิลน้ำที่ความเข้มข้น 100 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร มีผลทำให้เซลล์เริ่มตายในวันที่ 3 ของการเลี้ยงเซลล์ เซลล์มีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p=0.037 (p < 0.05) และสารดีเอ็มเอสโอที่ความเข้มข้น 0.0001, 0.001, 0.01% ที่ใช้ละลายสารอินทนิลน้ำ ไม่มีผลต่อการเจริญของเซลล์ ส่วนยางเลือดมังกรที่ความเข้มข้น 1, 10 และ 100 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ไม่มีผลต่อการเจริญของเซลล์แลเวลาที่เซลล์ใช้ในการเจริญเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่าไม่แตกต่างกับเซลล์ที่เลี้ยงในอาหารโดยไม่มีสารสกัด มีค่า p=0.992, 0.968, 0.959 ตามลำดับ (p > 0.05) และสารโพรเพนไดออลและน้ำที่ความเข้มข้น 0.0032, 0.032, 0.32% ที่ละลายยางเลือดมังกรไม่มีผลต่อการเจริญของเซลล์เช่นกัน ผลจากการวิจัยทำให้ทราบว่าความเข้มข้นของสารที่นำมาใช้มีผลต่อการเจริญของเซลล์ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้หรือกำหนดความเข้มข้นของสารนี้ในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหรือเครื่องสำอางต่อไป
  • Default Image
    Item
    แนวทางการสร้างและจัดการอัตลักษณ์สำหรับขนมไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) อรทัย เลิศวรรณวิทย์
    การวิจัยเรื่องแนวทางการสร้างและจัดการอัตลักษณ์สำหรับขนมไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมีวัตถุประสงค์ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ศึกษาระดับการรับรู้ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีต่ออัตลักษณ์ของขนมไทย 2) ศึกษาระดับการสื่อสารอัตลักษณ์ของขนมไทยของผู้ผลิต 3) พัฒนาแนวทางในการสร้างอัตลักษณ์ที่เหมาะสมให้กับขนมไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 4) พัฒนาแนวทางการวางตำแหน่งที่เหมาะสมบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ของขนมไทยและการจัดการกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาด ผู้วิจัยได้วางกรอบแนวคิดพื้นฐานเชิงทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและจัดการอัตลักษณ์เพื่อดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การรับรู้อัตลักษณ์ของขนมไทยโดยผู้รับสาร ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และ ส่วนที่ 2 การสร้างอัตลักษณ์ของขนมไทยโดยผู้ส่งสาร ได้แก่ ผู้ประกอบการผลิตขนมไทย โดยมี ประชากรที่ใช้ในการศึกษาสำหรับ ส่วนที่ 1 คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีประสบการณ์ท่องเที่ยวในประเทศไทย และมีประสบการณ์กับขนมไทย โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล และ ส่วนที่ 2 ร้านขายขนมไทยในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บข้อมูล ผลการวิจัยเกี่ยวกับระดับการรับรู้ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีต่ออัตลักษณ์ของขนมไทยจากจำนวนนักท่องเที่ยว 360 คน พบว่า คุณลักษณะของขนมไทยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อขนมไทยของนักท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดคือ รสอร่อย รูปลักษณ์ภายนอก และ รสชาติ หลักเกณฑ์ที่ใช้ประกอบการซื้อขนมไทย ประกอบด้วย วันหมดอายุ รูปลักษณ์ ความอร่อย คุณภาพ และ รสชาติ โดยขนมไทยที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีการตระหนักรู้จำนวนสูงที่สุด คือ ข้าวเหนียวมะม่วง รองลงมา ได้แก่ ขนมข้าวตัง บัวลอยเผือกในน้ำกะทิ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมหม้อแกง และขนมชั้น สำหรับการรับรู้ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีต่อขนมไทย ได้แก่ ขนมไทยส่วนใหญ่หวานและหนักท้องซึ่งแตกต่างจากขนมหวานสไตล์ตะวันตกที่เบาและไม่หนักท้อง ขนมไทยหวานและไว้กินหลังมื้ออาหาร ขนมไทยใช้ในพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ขนมไทยมีคุณลักษณะประกอบด้วยน้ำหวาน น้ำกะทิ ผลไม้ และ ข้าวเหนียว และ การได้กินขนมไทยตามความต้องการเปรียบได้กับการเปิดตาให้กับมุมมองใหม่ของรสชาติอันหอมหวานและการผจญภัยกับอาหารของประเทศไทย ทำให้ไม่น่าเบื่อ ผลการวิจัยเกี่ยวกับระดับการสื่อสารอัตลักษณ์ของขนมไทยของผู้ผลิต พบว่า แนวทางการจัดการที่ผู้ประกอบการร้านขนมไทยได้ทำขึ้นเพื่อให้ขนมไทยเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวขาวต่างชาติ เริ่มจากผู้ประกอบการได้รับเชิญเข้าร่วมกิจกรรมอาหารนานาชาติ ทำการตลาดเพื่อให้ต่างชาติได้รับรู้ว่าขนมไทยเป็นขนมที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารของไทย อาศัยความเจริญทางเทคโนโลยีและกลยุทธ์การสื่อสารเฉพาะกลุ่มแบบปากต่อปาก ในการสื่อสารผ่านทาง โซเชียลมีเดีย และประชาสัมพันธ์ผ่านทาง เว็บไซต์ มีการกำหนดแนวทางการสื่อสารให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นชาวต่างชาติเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับตัวขนมไทยมากขึ้นผ่านการตั้งชื่อใช้เรียกชื่อชนมไทยเป็นหลัก ทั้งนี้ชื่อที่ใช้เรียกมี 2 วิธีหลัก ได้แก่ การใช้ชื่อทับศัพท์ของการเรียกชื่อขนม และ การใช้ชื่อเรียกตามอัตลักษณ์ภายนอก จากผลการวิจัยจากผู้รับสารและผู้ส่งสารผู้วิจัยได้นำเสนอแนวทางในการสร้างอัตลักษณ์ที่เหมาะสมให้กับขนมไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ผู้วิจัยนำเสนออัตลักษณ์สำหรับขนมไทยแบ่งเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1) คุณลักษณะของขนมไทย 2) วัฒนธรรมของขนมไทย 3) บุคลิกภาพของขนมไทย 4) สัญลักษณ์สำหรับขนมไทย 5) ชื่อขนมไทย และ 6) คำขวัญของขนมไทย จากอัตลักษณ์ที่กำหนดไว้ผู้วิจัยนำเสนอแนวทางการวางตำแหน่งที่เหมาะสมบนพื้นฐานของอัตลักษณ์ของขนมไทย และการจัดการกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาด ภายใต้แนวคิด Ka-Nom Thai : Gorgeous Treats from Nature โดยการจัดการกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาด ผู้วิจัยได้นำเสนอโดยมีรายละเอียด แบ่งเป็น 2 ส่วนหลักได้แก่ การสื่อสารทางการตลาดโดยใช้ช่องทาง Above the line ประกอบด้วย การโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ การโฆษณาผ่านสื่อนิตยสาร และ การประชาสัมพันธ์ ในขณะที่การสื่อสารโดยใช้ช่องทาง Below the line ประกอบด้วย กิจกรรมและประสบการณ์พิเศษ เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง และ พนักงานขาย โดยปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการส่งเสริมให้การสื่อสารมีความบูรณาการมากที่สุด คือ การพัฒนาฐานข้อมูลเกี่ยวกับขนมไทย ไม่ว่าจะเป็น ชื่อเรียก วิธีการปรุง การใช้ในพิธีกรรมหรือประเพณีหรือวิถีชีวิตคนไทย สถานที่หรือร้านค้าที่จัดจำหน่ายขนมไทย เพื่อให้มีข้อมูลที่มีเอกภาพ จากนั้นข้อมูลดังกล่าวจึงนำไปจัดทำสื่อเพื่อการเผยแพร่ต่อไป
  • Default Image
    Item
    การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมการจัดการระบบนิเวศป่าชายเลนแม่น้ำเวฬุ จังหวัดจันทบุรี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) แทนทัศน์ เพียกขุนทด; ทักษ์ ทองภูเบศวร์
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบวิธีผสม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาลักษณะเครือข่ายทางสังคมของชุมชน ได้แก่ ขนาดของเครือข่ายสนทนา สายสัมพันธ์แบบสนิทและแบบผิวเผิน ตัวเชื่อมความสัมพันธ์ความหนาแน่นของเครือข่าย และระยะเวลาในการรักษาความสัมพันธ์ และ 2) เพื่อศึกษาการใช้ประโยชน์ของเครือข่ายทางสังคมต่อการส่งเสริมเครือข่ายชุมชนการจัดการระบบนิเวศป่าชายเลนปากแม่น้ำเวฬุ ในลักษณะข้อเสนอเชิงนโยบาย การวิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนแรก การวิเคราะห์เครือข่ายทางสังคมการจัดการระบบนิเวศป่าชายเลนแม่น้ำเวฬุ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 51 ราย ด้วยแบบสอบถาม ขั้นตอนที่สอง การวิเคราะห์การใช้ประโยชน์ของเครือข่ายทางสังคมต่อการส่งเสริมเครือข่ายชุมชนการจัดการระบบนิเวศป่าชายเลนปากแม่น้ำเวฬุ และขั้นตอนที่สาม ศึกษาการใช้ประโยชน์ของเครือข่ายทางสังคมต่อการส่งเสริมเครือข่ายชุมชนการจัดการระบบนิเวศป่าชายเลนปากแม่น้ำเวฬุ ในลักษณะข้อเสนอเชิงนโยบาย วิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ลักษณะทางเครือข่ายทางสังคม ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 6 บ้านสีลำเทียน และหมู่ที่ 2 บ้านปากน้ำเวฬุหรือบ้านโรงไม้เป็นชาวบ้าน ชาวประมง และเกษตรกรเพาะเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ เกินกว่ากึ่งหนึ่งเป็นผู้หญิง อยู่ในช่วงอายุ51 - 60 ปี การศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี อาชีพหลักทำประมง รองลงมาคือ ทำธุรกิจส่วนตัว มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ในช่วง 10,001 - 15,000 บาท มีประสบการณ์ด้านการดูแลรักษาป่าชายเลนแม่น้ำเวฬุเป็นเวลา 10 - 15 ปี มีลักษณะเครือข่ายทางสังคมแบ่งเป็น ขนาดของเครือข่ายสนทนาเฉลี่ยเท่ากับ 5.169 คน ลักษณะสายสัมพันธ์แบบสนิทที่เกิดขึ้นเฉลี่ยเท่ากับ 3.406 คน และลักษณะความสัมพันธ์แบบผิวเผินมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.589 คน ตัวเชื่อมความสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 9.693 คน ความหนาแน่นของเครือข่าย และระยะเวลาในการรักษาความสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.157 ชั่วโมง/สัปดาห์บุคคลศูนย์กลางของเครือข่ายและบุคคลที่ใกล้ชิดของสมาชิกเครือข่าย คือ แกนนำกลุ่มของหมู่ที่ 5 บ้านนากุ้ง บุคคลเชื่อมโยงเครือข่าย คือ กลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงของหมู่ที่ 6 ประโยชน์ของเครือข่ายทางสังคมในเรื่องการช่วยแนะนำความรู้ในกระบวนการจัดการระบบนิเวศป่าชายเลน มีประโยชน์มากที่สุด รองลงมา คือ การใช้อ้างอิงเพื่อเข้าถึงบุคคลอื่น หรือสร้างความน่าเชื่อถือ ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญ 2 ลำดับแรก คือ เร่งควบคุมการบุกรุกป่า การใช้เครื่องมือจับสัตว์น้ำ และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ไม่ถูกกฎหมาย และควรมีนโยบายให้ความรู้ ทำความเข้าใจ ให้ข้อมูล และการวางแผนร่วมกันอย่างมีส่วนร่วมกับกลุ่มประมงที่ทำโพงพางหลัก และจัดให้ตำบลบางชันเป็นพื้นที่พิเศษเพื่อจัดการทางน้ำด้วยการกำหนดมาตรการร่วมกับชุมชนในการควบคุมฟาร์ม แปลงเพาะเลี้ยงที่เป็นสาเหตุให้น้ำตื้นเขิน
  • Default Image
    Item
    คุณค่าตราแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศผ่านการเรียนรู้ทางธรรมชาติของนักท่องเที่ยว : กรณีศึกษาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) จิระวัฒน์ อนุวิชชานนท์; ปณิศา มีจินดา
    งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณค่าตราแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศผ่านการเรียนรู้ทางธรรมชาติของนักท่องเที่ยว : กรณีศึกษาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี งานวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วยนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 419 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่าง ดังนี้ (1) การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยเจาะจงแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน คือ เขื่อนแก่งกระจาน และเขาพะเนินทุ่ง (2) การสุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota sampling) โดยกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยว แห่งละ 209-210 คน (3) การสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Convenience sampling) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยแจกแบบสอบถามแก่นักท่องเที่ยวชาวไทยในแหล่งท่องเที่ยว ทั้ง 2 แห่งๆ จนครบจำนวนรวม 419 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติการวิเคราะห์ปัจจัย (Factor analysis) การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ (Multiple regression) การวิเคราะห์ค่าที (Independent sample t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) การวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ผลการทดสอบสมมติฐาน มีดังนี้ 1. นักท่องเที่ยวที่มีอายุแตกต่างกันมีแรงจูงใจด้านความผ่อนคลาย ด้านการรู้จักตราแหล่ง ท่องเที่ยวแตกต่างกัน โดยกลุ่มที่มีอายุ 35-44 ปี มีแรงจูงใจด้านความผ่อนคลายมากกว่ากลุ่มที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป และกลุ่มที่มีอายุ 45 ขึ้นไป มีการรู้จักตราแหล่งท่องเที่ยวมากกว่ากลุ่มที่มีอายุ 25-34 ปี 2. นักท่องเที่ยวที่มีสถานภาพแตกต่างกัน มีภาพลักษณ์ตราแหล่งท่องเที่ยว การรู้จักตรา แหล่งท่องเที่ยว ความตั้งใจที่จะท่องเที่ยวซ้ำในอนาคต และความตั้งใจที่แนะนำ/บอกต่อแตกต่างกัน โดยกลุ่มสมรส/อยู่ด้วยกัน มีความเห็นด้านภาพลักษณ์ตราแหล่งท่องเที่ยว การรู้จักตราแหล่ง ท่องเที่ยว ความตั้งใจที่จะท่องเที่ยวซ้ำในอนาคต และความตั้งใจที่แนะนำ/บอกต่อมากกว่ากลุ่มโสด/ ม่าย/หย่าร้าง/แยกกันอยู่ 3. นักท่องเที่ยวที่มีอาชีพแตกต่างกัน มีแรงจูงใจด้านการผจญภัยแตกต่างกัน โดยกลุ่มผู้ใช้แรงงานในการผลิตมีแรงจูงใจด้านการผจญภัยสูงสุด และมากกว่ากลุ่มพนักงานด้านการค้าและกลุ่มอาชีพอื่นๆ เช่น เกษตรกร แม่บ้าน ฯลฯ 4. นักท่องเที่ยวที่มีรายได้ครัวเรือนต่อเดือนแตกต่างกัน มีแรงจูงใจด้านการผจญภัย คุณค่าที่รับรู้ด้านหน้าที่ คุณค่าที่รับรู้ด้านอารมณ์ และภาพลักษณ์ตราแหล่งท่องเที่ยวแตกต่างกัน โดยกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ (ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 53,999 บาท) จะมีแรงจูงใจด้านการผจญภัย คุณค่าที่รับรู้ด้าน หน้าที่ คุณค่าที่รับรู้ด้านอารมณ์ และภาพลักษณ์ตราแหล่งท่องเที่ยวต่างกัน มีแรงจูงใจในด้านต่างๆ ที่กล่าวมามากกว่ากลุ่มที่มีรายได้สูง (รายได้ 54,000 บาทขึ้นไป) 5. นักท่องเที่ยวที่มีที่อยู่อาศัยในปัจจุบันแตกต่างกันมีแรงจูงใจด้านการผจญภัยและคุณค่าที่รับรู้ด้านหน้าที่แตกต่างกัน โดยนักท่องเที่ยวที่อาศัยในกรุงเทพฯ มีแรงจูงใจด้านการผจญภัยต่ำกว่า นักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัด 6. คุณค่าที่รับรู้ด้านหน้าที่ (Functional values) ประสบการณ์ด้านอารมณ์และความรู้สึก (Emotional and feeling experience) ภาพลักษณ์ตราแหล่งท่องเที่ยว (Destination brand image) คุณค่าที่รับรู้ด้านอารมณ์ (Emotional value) และการรู้จักตราแหล่งท่องเที่ยว (Destination brand awareness) ส่งผลต่อความตั้งใจท่องเที่ยวซ้ำในอนาคต ตามลำดับ 7. ประสบการณ์ด้านอารมณ์และความรู้สึก (Emotional and feeling experience) คุณค่าที่รับรู้ด้านอารมณ์ (Emotional value) คุณค่าที่รับรู้ด้านหน้าที่ (Functional values) แรงจูงใจ ด้านความผ่อนคลาย (Relaxation incentives) ภาพลักษณ์ตราแหล่งท่องเที่ยว (Destination brand image) และแรงจูงใจด้านการผจญภัย (Adventure incentives) ส่งผลต่อความตั้งใจ แนะนำ/บอกต่อ ตามลำดับ จากผลการวิจัยได้ข้อเสนอแนะทางการตลาดโดยใช้กลยุทธ์ดังนี้ ใช้การแบ่งส่วนตลาด และการตลาดเป้าหมาย เพื่อที่จะเพิ่มการท่องเที่ยวซ้ำและการแนะนำ/บอกต่อเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในแก่งกระจานนั้น แหล่งท่องเที่ยวจะต้องสร้างความแข็งแกร่งต่อทัศนคติของนักท่องเที่ยวในด้านคุณค่าตามหน้าที่ ประสบการณ์ด้านอารมณ์และความรู้สึก ภาพลักษณ์ตราแหล่งท่องเที่ยว แรงจูงใจด้านความผ่อนคลาย คุณค่าด้านอารมณ์และการรู้จักตราแหล่งท่องเที่ยว
  • Default Image
    Item
    แนวทางการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจร้านอาหาร SMEs ในย่านเยาวราช
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) นิศานาถ มั่งศิริ
    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาการได้มาของเงินลงทุนในธุรกิจ ร้านอาหาร SMEs ในย่านเยาวราช ศักยภาพในการบริหารเงินทุนในการดำเนินธุรกิจร้านอาหาร SMEs ในย่านเยาวราช และสร้างแนวทางการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจร้านอาหาร SMEs ในย่านเยาวราช โดยใช้การวิจัยแบบผสม (Mixed Method) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณใน ครั้งนี้ คือ ผู้ประกอบการร้านอาหารในย่านเยาวราช เขตสัมพันธ์วงศ์ จำนวน 50 คน โดยใช้ แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วน การศึกษาเชิงคุณภาพ ใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ในเชิง พรรณนา (Descriptive) มีผลการวิจัยดังนี้ 1. ร้านอาหาร SMEs ในย่านเยาวราช ส่วนใหญ่ จะดำเนินธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว และ เป็นผู้ก่อตั้งกิจการ เปิดร้านมาประมาณ 10-20 ปี โดยใช้เงินทุนส่วนตัวในการลงทุนเริ่มแรกไม่เกิน 1 ล้านบาท ร้านอาหาร SMEs ในย่านเยาวราชร้อยละ 28 กู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ โดยร้อยละ 71 ของ ร้านอาหารที่กู้เงิน มีเหตุผลในการเลือกแหล่งเงินทุนเพื่อขอสินเชื่อด้วยการพิจารณาชื่อเสียงของ สถาบันการเงิน และขอสินเชื่อ ต่ำกว่า 1 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รองลงมา เพื่อ ปรับปรุงกิจการ วงเงินกู้ระยะยาว 5 ปี และให้ระยะเวลาปลอดหนี้ 3 เดือน ผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้อยละ 42 มีรายรับ 10,001-20,000 บาทต่อวัน รองลงมาร้อยละ 36 มีรายรับไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนรายจ่าย ได้แก่ วัตถุดิบ และค่าจ้างคนงาน ร้อยละ 62 รายจ่ายไม่เกิน 10,000 บาท รองลงมา ร้อยละ 32 มีรายจ่าย 10,001-20,000 บาท ปัญหาและอุปสรรคการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการ คือขาดความรู้ด้านการเขียนแผนธุรกิจ ขาดหลักประกัน และพนักงานมีอัตราการเข้าออกสูง 2. ศักยภาพการบริหารเงินทุนของธุรกิจร้านอาหารในย่านเยาวราช พบว่ามีปัญหาเนื่องจาก มีเงินทุนหมุนเวียนจำกัด และประกอบกับ มีนักท่องเที่ยวน้อยลง ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ หรือนักท่องเที่ยวที่พำนักอยู่นาน ไม่ได้เดินทางมากับทัวร์ ดังนั้น ร้านอาหารส่วนใหญ่จึงยังไม่คิดจะ ขยายกิจการ แต่พยายามรักษาสภาพคล่องทางการเงินไว้ 3. แนวทางการส่งเสริมการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจร้านอาหาร SMEs ในย่านเยาวราช นำเสนอ ภายใต้กรอบนโยบายการวิเคราะห์สินเชื่อ 6C’s + ATS อันประกอบด้วย 1) การเตรียมตัวของผู้ขอ สินเชื่อ/คุณลักษณะ (C1= Characteristic) 2) เงื่อนไขการพิจารณาสินเชื่อ (C2 = Condition) 3) หลักประกัน (C3 = Collateral ) 4) เงินทุน (C4 = Capital) 5) ความเสี่ยงและความสามารถในการชำระ หนี้ ( C5=Capacity) 6) ประเทศที่ติดต่อด้วย (C6 = Country) 7) ขั้นตอนการอนุมัติ (A = Approve) 8) แนวโน้มการอนุมัติ (T = Trend) และ 9) ข้อเสนอแนะ (S = Suggestion)
  • Default Image
    Item
    แนวทางการปฏิรูปการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพื่อรองรับข้อตกลงประชาคม อาเซียนและแนวโน้มการศึกษาระดับอุดมศึกษาของโลก
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) รุ่งนภา ตั้งจิตรเจริญกุล
    งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อกำหนดกรอบแนวทางและตัวบ่งชี้การปฏิรูปการศึกษาระดับอุดมศึกษารอบทศวรรษที่สองและสอดคล้องกับข้อตกลงประชาคมอาเซียนและแนวโน้มความต้องการของโลก 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิรูปการศึกษารอบทศวรรษที่สองและสอดคล้องกับข้อตกลงประชาคมอาเซียนและแนวโน้มความต้องการของโลก และ 3) เพื่อกำหนดและเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา โดยพิจารณาศึกษาจากการเปรียบเทียบเพื่อให้ได้แนวทางที่ต้องการพัฒนา ผลการสังเคราะห์กรอบแนวทางและตัวบ่งชี้การปฏิรูปการศึกษารอบทศวรรษที่สองและสอดคล้องกับข้อตกลงประชาคมอาเซียนและแนวโน้มความต้องการของโลกจากการสังเคราะห์จากเอกสารของประเทศไทยและต่างประเทศ จำนวน 88 ฉบับ และจากการสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) จำนวน 50 คน จาก 5 กลุ่ม (กลุ่มนักศึกษา กลุ่มคณาจารย์ กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มผู้ใช้บัณฑิต และกลุ่มผู้ใช้บัณฑิต) และจากผู้เชี่ยวชาญ 7 คน กรอบแนวทางและตัวบ่งชี้การปฏิรูปการศึกษารอบทศวรรษที่สองและสอดคล้องกับข้อตกลงประชาคมอาเซียนและแนวโน้มความต้องการของโลกผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน และจากการสำรวจความคิดเห็นผู้มีส่วนได้เสียจำนวน 200 คน ทั้งนี้ชุดตัวบ่งชี้ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบหลัก (คุณภาพการศึกษาและสถานศึกษา โอกาสทางการศึกษา ประสิทธิภาพทางการศึกษา ความเป็นสากล การผลิตบัณฑิตตามความต้องการของตลาดแรงงาน และการมีส่วนร่วมทางการศึกษา) การวิเคราะห์วางกรอบข้อมูลเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้มีส่วนได้เสีย 5 กลุ่ม จำนวน 1,800 คน จากแบบสอบถาม ผลการประมาณค่าคะแนนการปฏิรูปการศึกษาของคณะของสถานศึกษา 20 คณะ มีคะแนนระหว่าง 74.90-100.00% โดยมีการปฏิรูปการศึกษาจำนวน 10, 9, 10, 10 และ 8 คณะ ตามการประเมินคุณภาพจากกลุ่มผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษา ศิษย์เก่า และผู้ใช้บัณฑิต โดยแต่ละคณะต้องปรับเพิ่มผลผลิต คุณภาพการศึกษาและสถานศึกษา โอกาสทางการศึกษา ประสิทธิภาพทางการศึกษา ความเป็นสากล การผลิตบัณฑิตตามความต้องการของตลาดแรงงาน และการมีส่วนร่วมทางการศึกษา โดยแต่ละคณะต้องปรับเพิ่มผลผลิต 3-5 องค์ประกอบ (7.64 - 67.44%) ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว พบว่าตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการปฏิรูปการศึกษารอบทศวรรษที่สองและสอดคล้องกับข้อตกลงประชาคมอาเซียนและแนวโน้มความต้องการของโลกคือความเป็นผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารและวุฒิการศึกษาของอาจารย์
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดิน
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) เขมภัทท์ เย็นเปี่ยม; ดนุสรณ์ กาญจนวงศ์; สมศักดิ์ เจริญพูล; กุลธิดา ภูฆัง; ศิริมา สุวรรณศรี
    การศึกษาเรื่อง การพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดิน มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบทของวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดินที่ประสบความสำเร็จและยังไม่ประสบความสำเร็จ 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดินที่ประสบความสำเร็จและยังไม่ประสบความสำเร็จ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดินที่ประสบความสำเร็จ และยังไม่ประสบความสำเร็จ 4) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดิน 5) เพื่อศึกษาปัจจัย/เงื่อนไขที่ทำให้แนวทางการพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจชุมชน ในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดินไปประยุกต์ใช้ได้จริง คณะผู้วิจัยใช้วิธีการเชิงคุณภาพ (Qualitative Approach) โดยวิธีการศึกษาจากเอกสาร บทความ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) และการสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group) การคัดเลือกพื้นที่ที่ใช้ในการศึกษาวิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากนิคม ฯ ที่เกษตรกรมีรายได้มากกว่า 4,500 บาทต่อเดือน หรือมากกว่า 50,000 บาทต่อปี ถึงเกณฑ์มากที่สุด 3 แห่ง ได้แก่ 1) นิคม ฯ อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา 2) นิคม ฯ อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 3) นิคม ฯ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี และนิคม ฯ ที่เกษตรกรมีรายได้มากกว่า 4,500 บาทต่อเดือน หรือ มากกว่า 50,000 บาทต่อปี ถึงเกณฑ์น้อยที่สุด 3 แห่ง ได้แก่ นิคม ฯ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน นิคม ฯ อำเภอ นาเชือก จังหวัดมหาสารคาม นิคม ฯ อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบ snowball technique โดย นักวิชาการปฏิรูปที่ดินจังหวัดทำการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) จากวิสาหกิจชุมชนในนิคม เศรษฐกิจพอเพียงที่ประสบความสำเร็จ 3 แห่ง ๆ ละ 3 คน และวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียงที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ 3 แห่ง ๆ ละ 3 คน รวม 18 คน และนักวิชาการปฏิรูปที่ดินจังหวัดกับนักวิชาการจากสำนักงานเกษตรอำเภอในนิคมเศรษฐกิจพอเพียงที่ประสบความสำเร็จ 3 แห่ง ๆ ละ 2 คน และวิสาหกิจชุมชน ในนิคมเศรษฐกิจพอเพียงที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ 3 แห่ง ๆ ละ 2 คน รวม 12 คน ผลการศึกษาพบว่า 1) บริบทของวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง คือ การได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนด้านสินเชื่อและด้านวิชาการจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง แต่วิสาหกิจชุมชนในนิคม ฯ ที่ประสบความสำเร็จมีรูปแบบการจัดการที่ดี ขณะที่วิสาหกิจชุมชนในนิคม ฯ ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จขาดรูปแบบการจัดการที่ดีและลักษณะการดำเนินงานพบปัญหาอุปสรรคหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องการตลาด 2) การพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดิน ทั้งในนิคม ฯ ที่ประสบความสำเร็จและยังไม่ประสบความสำเร็จ ได้รับการพัฒนาด้วยวิธีการฝึกอบรม (Training) ทั้งการฝึกอบรมในงาน (on the job training) และการฝึกอบรมนอกงาน (off the job training) การเรียนรู้ (Learning) การ สร้างเครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network Creation) และการจัดการความรู้ (Knowledge Management) 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจชุมชนในนิคม ฯ ที่ประสบความสำเร็จ คือ สภาพทางพื้นที่อุดมสมบูรณ์ การส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประธานวิสาหกิจชุมชนหรือผู้นำกลุ่ม ระบบการจัดการที่ดี และพฤติกรรมของสมาชิกวิสาหกิจชุมชนนำสินเชื่อ ไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ ส่วนวิสาหกิจชุมชนในนิคม ฯ ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ คือ สภาพพื้นที่มีความแห้งแล้ง การส่งเสริมสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องขาดความต่อเนื่อง การเข้ามาสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น ๆ ยังมีน้อย ขาดระบบการจัดการที่ดี การสร้างเครือข่ายภายนอกชุมชนและการจัดเวทีการเรียนรู้ยังไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด และพฤติกรรมของสมาชิกวิสาหกิจชุมชนการนำสินเชื่อไปใช้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ 4) แนวทางการพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจ ชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดิน คือ การฝึกอบรม การเรียนรู้ การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ การจัดการความรู้ การจัดเวทีการเรียนรู้ การศึกษาจากคนต้นแบบหรือวิสาหกิจชุมชนต้นแบบ และการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง 5) ปัจจัย/เงื่อนไข ที่ทำให้แนวทางการพัฒนาทุนมนุษย์ของวิสาหกิจชุมชนในนิคมเศรษฐกิจพอเพียง เขตปฏิรูปที่ดิน นำไปประยุกต์ได้จริง ได้แก่ การวิเคราะห์กิจกรรมวิสาหกิจชุมชนให้สอดคล้องกับ สภาพพื้นที่การส่งเสริมและสนับสนุนจากทั้งหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ประธาน กลุ่มวิสาหกิจชุมชน/ผู้นำกลุ่ม และพฤติกรรมของสมาชิกที่เมื่อกู้ยืมเงินไปแล้วจะต้องไม่นำเอาเงินที่กู้ยืมไปใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชนวัดญาณ สังวรารามวรมหาวิหาร อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) อรรนพ เรืองกัลปวงศ์; สราวรรณ์ เรืองกัลปวงศ์; วรนาถ ศรีพงษ์; ปวีณา สปิลเลอร์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชน วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จังหวัดชลบุรี 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชนวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จังหวัดชลบุรี และ3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชนวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติ จำนวน 8 คน กลุ่มที่ 2 คือ เกษตรกรเกษตรธรรมชาติ อำเภอบางละมุงพื้นที่ชุมชนแวดล้อมวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จังหวัดชลบุรี จำนวน 248 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตามวิธีการของครอนบาค เท่ากับ .927 (แยกเป็นรายด้านพบว่า การจัดการเครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชน มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .900 บทบาทภาครัฐที่มีต่อเครือข่ายเกษตรธรรมชาติ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .732 และความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชนวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จังหวัดชลบุรี มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .808) และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน สหสัมพันธ์หลายตัวแปร และสมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1. เกษตรกรเกษตรธรรมชาติที่เป็นกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจำนวน 150 คน คิดเป็นร้อยละ 60.50 อายุระหว่าง 31-40 ปี จำนวน 127 คน คิดเป็นร้อยละ 51.20 สถานภาพสมรส จำนวน 109 คิดเป็นร้อยละ 44.00 2. การจัดการเครือข่ายเกษตรธรรมชาติของชุมชนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากในทุกด้าน อันดับแรก คือ ด้านความเข้มแข็งของผู้นำ รองลงมา คือ ด้านการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ ด้านการมีส่วนร่วมของสมาชิกอันดับสุดท้าย 3. บทบาทภาครัฐที่มีต่อเครือข่ายเกษตรธรรมชาติในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายประเด็นพบว่าอยู่ในระดับมากจำนวน 2 ประเด็น อันดับแรก คือ ด้านการสนับสนุนของสถาบันวิชาการ รองลงมา คือ ด้านนโยบายการส่งเสริมของรัฐ เป็นอันดับที่ 2 ส่วนอันดับสุดท้ายอยู่ในระดับปานกลาง คือ ด้านการสนับสนุนแหล่งเงินทุน 4. ความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากในทุกประเด็น อันดับแรก คือ ด้านสังคม รองลงมา คือ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ 5. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชนวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จังหวัดชลบุรี ได้แก่ ด้านการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ ด้านการสนับสนุน แหล่งเงินทุน และด้านความเข้มแข็งของผู้นำ โดยปัจจัยทั้ง 3 ด้านอธิบายการผันแปรของความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติได้ร้อยละ 6.6 แสดงเป็นสมการได้ดังนี้ ความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชนวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร = 3.135 + 0.080 (ด้านการสนับสนุนแหล่งเงินทุน) + 0.080 (ด้านความเข้มแข็งของผู้นำ) + 0.077 (ด้านการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้) แนวทางการพัฒนาความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชนวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ควรดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 กระบวนการพัฒนาการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในเครือข่าย ผู้นำเครือข่ายควรมีการสร้างกระบวนการพัฒนาการมีส่วนร่วมของเกษตรกรในเครือข่าย โดยมีผู้ประสานงานเครือข่ายหรือองค์กรพี่เลี้ยงเข้ามาร่วมดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติการและร่วมประเมินผลจนถึงการร่วมรับผลประโยชน์ ระยะที่ 2 การบูรณาการด้วยการเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรธรรมชาติกับภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน เครือข่ายเกษตรธรรมชาติชุมชนวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จังหวัดชลบุรี ต้องการยกระดับเครือข่ายด้วยการบูรณาการเชื่อมโยงเครือข่ายเกษตรธรรมชาติกับภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกันซึ่งเป็นการหาพันธมิตรทางธุรกิจ
  • Default Image
    Item
    ต้นแบบการจัดกิจกรรมฝึกวิชาชีพเพื่อสร้างรายได้สำหรับผู้สูงอายุ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) นิตยา ทวีชีพ
    การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความต้องการต่อการฝึกวิชาชีพเพื่อสร้างรายได้ของผู้สูงอายุ ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านทัศนคติ จาแนกตามสถานภาพของผู้สูงอายุ 2) พัฒนาต้นแบบการจัดกิจกรรมฝึกวิชาชีพเพื่อสร้างรายได้สาหรับผู้สูงอายุในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และ 3) จัดทาหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุและการสร้างอาชีพในการพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และ ดาเนินการวิจัยโดยใช้การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR) โดยวิธีการแบบผสมผสาน ทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุในจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดมุกดาหาร รวม 400 คน ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ประกอบด้วย ผู้นาชุมชน จำนวน 12 คน นักพัฒนาชุมชนหรือนักวิชาการศึกษาในพื้นที่ จำนวน 3 คน หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา และร้านค้า จำนวน 3 คน รวม 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์ที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตามวิธีของครอนบาค เท่ากับ .83 แบบประเมินความรู้ แบบทดสอบทักษะ เก็บรวบรวมข้อมูลโดย การสังเกต การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การใช้เทคนิคกระบวนการพลังสร้างสรรค์ และการประชุมสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และวิธีเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ความต้องการต่อการฝึกวิชาชีพเพื่อสร้างรายได้ของผู้สูงอายุ ในภาพรวม อยู่ในระดับ มากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด อันดับแรก ได้แก่ ด้านทัศนคติ รองลงมาคือ ด้านทักษะ และด้านความรู้ ตามลาดับ เมื่อเปรียบเทียบความต้องการ ต่อการฝึกวิชาชีพเพื่อสร้างรายได้ของผู้สูงอายุ ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านทัศนคติ จาแนกตามสถานภาพของผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุที่มีเพศ ระดับการศึกษา รายได้ที่รับปัจจุบันต่อเดือน และสถานภาพความเป็นอยู่ต่างกัน มีความต้องการต่อการฝึกวิชาชีพเพื่อสร้างรายได้ของผู้สูงอายุ ในภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน 2. การดาเนินการพัฒนาต้นแบบต้นแบบการจัดกิจกรรมฝึกวิชาชีพเพื่อสร้างรายได้สาหรับผู้สูงอายุในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน การปฏิบัติตามแผน การสังเกตผล และการสะท้อนผล สรุปได้ดังนี้ ขั้นที่ 1 การวางแผน พบว่า เกิดปัญหาทั้งหมด 7 ปัญหา โดยได้วางแผนปัญหาที่พบมากที่สุด 3 ประเด็นหลัก คือ ผู้สูงอายุมีการว่างงานจำนวนมาก ขาดเงินทุนในการทากิจกรรมเพื่อสร้างอาชีพเสริม และขาดการสนับสนุนทางสังคม ขั้นที่ 2 การปฏิบัติตามแผน พบว่า เกิดการคัดเลือกแกนนาผู้สูงอายุ เพื่อประสานงานในการดาเนินงานฝึกวิชาชีพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาร่วมสนับสนุนการฝึกวิชาชีพ โดยมีการจัดเวทีประชาคมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน ขั้นที่ 3 สังเกตผล หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาได้มีส่วนร่วม ในกระบวนการฝึกวิชาชีพ เกิดการรวมกลุ่ม ประสานความร่วมมือซึ่งกันและกันในการปฏิบัติกิจกรรมมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ทุกส่วนได้เข้ามาร่วมในการเป็นสมาชิกของ SME เพื่อสร้างเครือข่าย การลงทุน การประกอบอาชีพ และการตลาด ขั้นที่ 4 สะท้อนผล พบว่า ผู้สูงอายุ จำนวน 60 คน หลังจากฝึกวิชาชีพมีความรู้ และทักษะเพิ่มขึ้นก่อนฝึกวิชาชีพ ส่วนทัศนคติของผู้สูงอายุได้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และการพัฒนาทักษะ 3. หลักสูตรการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุและการสร้างอาชีพในการพึ่งพาตนเองได้ อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย กาหนดหัวข้อวิชาที่ฝึกวิชาชีพ พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยากให้จัดกิจกรรมฝึกวิชาชีพด้านการจักสาน จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เพื่อให้ได้ต้นแบบหลักสูตร ฝึกวิชาชีพ (จักสานตะกร้าลายสก็อตจากไม้ไผ่) สาหรับผู้สูงอายุ เนื้อหาวิชาที่ใช้ในการฝึกวิชาชีพ พบว่า เนื้อหาที่ฝึกวิชาชีพสร้างการเรียนรู้ที่นาไปปฏิบัติได้จริง เกิดการฝึกคิดสร้างสรรค์ประดิษฐ์ลวดลายการสานใหม่ๆ กิจกรรมและวิธีการฝึกวิชาชีพ พบว่า มีการจัดกิจกรรมแบบกลุ่ม และเกิดการเรียนรู้ร่วมกันพัฒนาสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆ สื่อประกอบการฝึกวิชาชีพ พบว่า มีความหลากหลาย และเป็นเครื่องมือใหม่ๆ ที่มีสีสันไม่น่าเบื่อ และเข้าใจง่ายสาหรับผู้สูงอายุ สาหรับ การประเมินผล พบว่า ผู้สูงอายุได้รับความรู้ในวิธีการสานตะกร้ามากขึ้น มีการพัฒนาทักษะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีทัศนคติที่เป็นบวกในการจะนาความรู้ที่ได้ไปต่อยอดธุรกิจในครัวเรือน และสร้างรายได้ในการประกอบอาชีพเสริมให้ตนเองต่อไปในอนาคต
  • Default Image
    Item
    แผนเชิงกลยุทธ์ในการสร้างคุณค่าตราให้แข็งแกร่งในการประกอบการร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) เรณุมาศ กุละศิริมา; ศิริวรรณ เสรีรัตน์; จิระวัฒน์ อนุวิชชานนท์; และคณะ
    แผนงานวิจัยเรื่อง แผนกลยุทธ์ในการสร้างคุณค่าตราให้แข็งแกร่งในการประกอบการร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ประกอบด้วย 2 โครงการย่อย โดยทั้ง 2 โครงการย่อยเป็นการวิจัยแบบผสม คือ เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณจากแบบสอบถาม และข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ โดยโครงการวิจัยย่อยที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแผนการพัฒนาการประกอบการในด้านการจัดเมนูอาหาร การปรุงอาหาร การจัดการครัวและร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในกรุงเทพมหานคร ส่วนโครงการวิจัยย่อยที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแผนการตลาดในการสร้างคุณค่าตราร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพให้แข็งแกร่ง สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในกรุงเทพมหานคร ส่วนแผนการวิจัยหลักจะเป็นการนำข้อมูลจากทั้ง 2 โครงการย่อยมาบูรณาการเพื่อสร้างแผนเชิงกลยุทธ์ในการสร้างคุณค่าตราให้แข็งแกร่งในการประกอบการร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในกรุงเทพมหานคร โดยแผนเชิงกลยุทธ์ประกอบด้วย 2 แผน คือ (1) แผนเชิงกลยุทธ์และแผนการตลาดในการสร้างคุณค่าตราให้แข็งแกร่งในการประกอบการร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และ (2) แผนการประกอบการของร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แผนเชิงกลยุทธ์และแผนการตลาดในการสร้างคุณค่าตราให้แข็งแกร่งในการประกอบการร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย กลยุทธ์ดังต่อไปนี้ 1. กลยุทธ์การพัฒนาอัตลักษณ์ของตรา มี 3 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์ที่ 1 ส่งเสริมความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย (1) สื่อสารถึงความเป็ นผู้มีสุขภาพดีผ่านพนักงานให้บริการ (2) ส่งเสริมคุณค่าตราผ่านลักษณะทางกายภาพของร้านอาหาร/ภัตตาคาร (3) สร้างสรรค์เมนูอาหารเพื่อสุขภาพให้ครอบคลุมกับทุกกลุ่มเป้ าหมาย (4) สร้างความดึงดูดใจในรสชาติและการจัดแต่งอาหาร กลยุทธ์ที่ 2 สื่อสารความรู้ด้านอาหารเพื่อสุขภาพเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องประกอบด้วย (1) สร้างการรู้จักอาหารเพื่อสุขภาพผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (2) นำเสนอเมนูอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน กลยุทธ์ที่ 3 สร้างเครือข่ายระหว่างร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย (1) จัดตั้ง สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพ หรือชมรมคนรักษ์สุขภาพ (2) สร้างเครือข่ายกับโรงพยาบาลเพื่อร่วมจัดกิจกรรมตรวจสุขภาพและปรึกษาข้อมูลด้านโภชนาการ 2. กลยุทธ์การกำหนดตำแหน่งของตรา มี 3 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์ที่ 1 สร้างตำแหน่งตราของความเป็นร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย (1) สร้างความเชื่อมนั่ ในด้านคุณภาพอาหารแก่ผู้บริโภค (2) ส่งเสริมเอกลักษณ์ของอาหารไทยเพื่อสุขภาพ กลยุทธ์ที่ 2 สื่อสารถึงลักษณะของร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพผ่านชื่อร้าน กลยุทธ์ที่ 3 กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกของความใส่ใจในสุขภาพของผู้บริโภค 3. กลยุทธ์การกำหนดบุคลิกภาพของตรา มี 1 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์ที่ 1 ส่งเสริมบุคลิกภาพตราของความเป็นร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพประกอบด้วย (1) ยึดถือความซื่อสัตย์ในการประกอบธุรกิจ (2) สร้างความเชื่อถือได้ให้กับตรา 4. กลยุทธ์ทางการตลาด มี 12 กลยุทธ์ ประกอบด้วย กลยุทธ์ดังต่อไปนี้ (1) กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์และส่วนประสมผลิตภัณฑ์ (2) กลยุทธ์การสร้างความคุณค่าด้านความคุ้มค่า (3) กลยุทธ์ด้านราคา (4) กลยุทธ์ด้านทำเลที่ตั้ง/สถานที่ (5) กลยุทธ์ด้านการสื่อสารการตลาด (6) กลยุทธ์การบริหารจัดการ (7) กลยุทธ์ด้านบุคคล (8) กลยุทธ์ด้านกายภาพ (9) กลยุทธ์ด้านกระบวนการ (10) กลยุทธ์ด้านการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ (11) กลยุทธ์ด้านการจัดแพ็คเกจ และโปรแกรม (12) กลยุทธ์ด้านการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ แผนการประกอบการของร้านอาหาร/ภัตตาคารเพื่อสุขภาพสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ประกอบด้วย (1) อาหารสุขภาพ (2) ลักษณะของการจัดเมนูอาหารสุขภาพ (3) การจัดการครัวเพื่อสุขภาพ (4) จุดเด่น/จุดขายเพื่อสร้างความแตกต่างบ่งชีถึ้งเอกลักษณ์
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารจัดการเพื่อการเรียนรู้ทางธรรมชาติ จากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจากทัศนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสู่การเป็นอุทยานแห่งชาติที่ยั่งยืน : กรณีศึกษาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ศิริวรรณ เสรีรัตน์; นงลักษณ์ โพธิ์ไพจิตร
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารจัดการเพื่อการเรียนรู้ทางธรรมชาติจากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศจากทัศนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สู่การเป็นอุทยานแห่งชาติที่ยั่งยืน : กรณีศึกษาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ประเทศไทย โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและหรือการสัมภาษณ์กลุ่มเฉพาะ จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องร่วมกับการสังเกตในพื้นที่วิจัยอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสาคัญประกอบด้วย (1) ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและเขาพระเนินทุ่ง จำนวน 20 คน (2) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 คน (3) ชุมชน จำนวน 5 คน (4) นักท่องเที่ยว จำนวน 5 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 40 คน ผลการวิจัยพบว่า อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งด้านป่าไม้และสัตว์ป่า จึงมีความเหมาะสมที่จะได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก (UNSECO) โดยอุทยานฯ ดำเนินงานด้านการดูแลรักษาและปลูกเสริมเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ปราบปราม การล่าสัตว์ป่า ป้องกันไฟป่า โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ในการดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์ เช่น ปลูกป่า สร้างฝาย ทาโป่ง แจ้งเบาะแสการลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ป่า เป็นเครือข่ายราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า เป็นต้น อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมีความหลากหลายทางชีวภาพทั้งด้านป่าไม้และสัตว์ป่า จึงมีความเหมาะสมที่จะได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากองค์การยูเนสโก (UNSECO) โดยอุทยานฯ ดำเนินงานด้านการดูแลรักษาและปลูกเสริมเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ปราบปราม การล่าสัตว์ป่า ป้องกันไฟป่า โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ในการดำเนินกิจกรรมอนุรักษ์ เช่น ปลูกป่า สร้างฝาย ทาโป่ง แจ้งเบาะแสการลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ป่า เป็นเครือข่ายราษฎรอาสาสมัครพิทักษ์ป่า เป็นต้น ด้านการบริหารจัดการอุทยานให้เกิดประสิทธิผล การดำเนินงานของอุทยานฯ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนนั้น ทั้งเจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วน เสียได้ช่วยกันดูแลด้านสิ่งแวดล้อมและปกป้องผืนป่าแก่งกระจานมาโดยตลอด แต่ก็ยังพบว่ามีบุคคลบางกลุ่มที่ลักลอบเข้ามาตัดไม้และล่าสัตว์ซึ่งจะเป็นชาวบ้านหรือนายพรานที่รับจ้างกลุ่มนายทุนมาอีก ต่อหนึ่ง ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสาคัญของทรัพยากรธรรมชาติและผืนป่า และได้รับประโยชน์จากการที่อุทยานฯ ให้บริการด้านการท่องเที่ยว เช่น มีรายได้จากการประกอบธุรกิจ ร้านอาหาร ให้บริการที่พักหรือโฮมสเตย์ ให้บริการรถรับจ้างหรือเรือนำเที่ยว เป็นต้น แต่ถ้าเป็นในด้านของการจำหน่ายสินค้าที่ระลึกหรือผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่นยังต้องได้รับการส่งเสริมจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องการหาตลาดให้กับชาวบ้าน ส่วนการดำเนินงานด้านสังคมและวัฒนธรรมนั้น ในพื้นที่ของอุทยานฯ จะมีชุมชนบ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอยอาศัยอยู่ สามารถพัฒนาเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวและเรียนรู้ด้านวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง-กะหร่างได้ อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะให้ความสนใจท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวของอุทยานฯ มากกว่าเข้าไปเที่ยวในแหล่งชุมชน ทำให้ รายได้จากการท่องเที่ยวไม่กระจายไปยังชุมชนเท่าที่ควร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการ ท่องเที่ยวควรประชาสัมพันธ์หรือจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสธรรมชาติ ทำกิจกรรมด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ของชุมชนไปด้วย
  • Default Image
    Item
    การศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนระดับอนุบาลในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) สายสุดา ปั้นตระกูล; กาญจนา เผือกคง; ปริศนา มัชฌิมา
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนระดับอนุบาลในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร และประเมินสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนระดับอนุบาลในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ คือ ครูปฐมวัยในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 2,652 คน ทำการสุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Yamane ที่ระดับความคลาดเคลื่อน .05 ได้จำนวน 335 คน จากนั้นใช้วิธีการสุ่มแบบจัดชั้นตามสัดส่วนของประชากร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่มีคำถามแบบปลายปิด แบบมาตราส่วนประมาณค่า และแบบปลายเปิด และมีการจัดสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. สภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนระดับอนุบาลในโรงเรียนสังกัด กรุงเทพมหานคร พบว่า หลักในการเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนการสอน ส่วนใหญ่เลือกตามเนื้อหาของหน่วยการเรียนการสอน ครูจัดกิจกรรมที่คำนึงถึงระยะเวลาที่เหมาะสมกับวัยและสามารถยืดหยุ่นได้ตามความสนใจของเด็ก โดยจัดเตรียมและคัดเลือกสื่อและอุปกรณ์ เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีในโรงเรียน ประเภทเครื่องเล่นซีดีหรือดีวีดี และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนระดับอนุบาลโดยรวมอยู่ในระดับมาก คือ ใช้ในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก และการสร้างสื่อการเรียนการสอน 2. การประเมินสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการเรียนการสอนระดับอนุบาลใน โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน คือ ด้านสภาพการใช้ พบว่า คือ ครูสามารถใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อการสอนได้ทุกวิชา เด็กมีโอกาสได้ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสื่อการเรียนรู้ และตำแหน่งในการจัดวางคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เทคโนโลยีมีความเหมาะสม ด้านปัญหาในการจัดการเรียนการสอน พบว่า งบประมาณไม่เพียงพอในการจัดหาสื่อ/ซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก ส่งผลให้อุปกรณ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ/ฮาร์ดแวร์ไม่เพียงพอ และขาดความความเข้าใจในการจัดเตรียม คัดเลือกสื่อ และอุปกรณ์
  • Default Image
    Item
    ความต้องการพัฒนาตลาดท่องเที่ยวในอนาคตของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน : กรณีศึกษาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) พรพิมล ลอแท
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นคว้าให้เป็นศูนย์ข้อมูลความรู้ที่ชุมชนจะนํามาจัดการกับการ ท่องเที่ยวในการศึกษาภาคสนามในด้านต่าง ๆ กล่าวคือ การแสวงหาความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิด ทางการพัฒนาลาดท่องเที่ยวในอนาคต ทั้งเข้าใจถึงเจตคติทางการพัฒนาตาดท่องเที่ยวในอนาคตและต่อการพัฒนาตลาดท่องเที่ยว รวมทั้งทักษะการสืบเสาะ การพัฒนาตลาดท่องเที่ยว ทั้งในรูปตลาดสินค้า และบริการ ตลอดจนทักษาการทํางานร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่คนในชุมชนนอกจากนี้ ยังศึกษา ถึงความต้องการพัฒนา อนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้คนในชุมชนเป็นฐาน (Community-based Tourism) ผลการวิจัยพบว่า การจะพัฒนาตลาดท่องเที่ยวในอนาคตให้ประสบความสําเร็จได้นั้นต้อง อาศัยการบูรณาการที่สมบูรณ์แบบด้วยการนําเอาทฤษฎีการพัฒนาธุรกิจ การท่องเที่ยว องค์ความรู้ ใหม่ ๆ เทคนิควิธี นวัตกรรมการท่องเที่ยวใหม่เข้ามาผสมผสานกันไปพร้อมกับความเป็นไปในการ ดําเนินชีวิตของคนในชุมชุน เพื่อกระตุ้นทั้งนักทัศนาจร นักท่องเที่ยว และคนในชุมชนเอง ทั้งปรับปรุง ระบบระเบียบการบริหารสมัยใหม่เข้าร่วมด้วย เพื่อสร้าง “การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน”ปรับปรุง เพื่อความมีศักยภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล รวมทั้งความมีประสิทธิภาพในการจัดการทุกด้านให้ เพียบพร้อม อาศัยแก่นรากทางวัฒนธรรม มรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นอยู่มาเป็นปัจจัยนําในการ “ขายวัฒนธรรมไทย” สู่สังคมโลก อันจะเป็น “ปัจจัยกระตุ้น”ทางการท่องเที่ยวอย่างชาญฉลาด แสน วิเศษ นํารายได้ การสร้างอาชีพใหม่ ๆ เข้าสู่คนในชุมชน การประชาสัมพันธ์ก็เป็นปัจจัยที่สําคัญยิ่ง ดังเช่นที่ ททท.ได้กระทําอยู่ด้วยการจัดกิจกรรมนานาประเภท เพื่อสร้าง “จุดขายเชิงวัฒนธรรมไทย” แก่ชาวโลก ดังนั้น เพื่อการฟื้นฟู กระคุ้น สร้างพลังเชิญชวนการท่องเที่ยวสู่คนในชุมชนได้ดีนั้น คณะผู้วิจัยได้สร้าง”นวัตกรรมสื่อสร้างสรรค์เอกสารวิจัย” ทั้งนี้เพื่อเพิ่มพลังศักยภาพ แรงจูงใจทางการ ท่องเที่ยว องค์ความรู้ใหม่ แรงดึงดูดใจ การรับรู้สิ่งแปลกใหม่ใน “นวัตกรรมสื่อสร้างสรรค์” (Creative Innovation for Research Documentation) ให้กระจายออกสู่สังคม ชุมชนโลกเพื่อ “การท่องเที่ยวเชิง วัฒนธรรม” (Culture-based Tourism) จนกลายเป็นพละพลัง ศักยภาพและผลสําเร็จทางการท่องเที่ยวได้สําเร็จในอนาคตไม่ช้านี้แก่ทั้งสองจังหวัด ส่วนการค้นพบจุดด้อย จุดอ่อนความล้าสมัยในสังคมชุน ชนนั้น ๆ ก็ควรค่อยดําเนินการปรับเปลี่ยนไปในวิถีชีวิตผู้คนในชุมชน ควบคู่พร้อมกันไปทั้งสองด้าน:ด้าน จิตใจและวัตถุธรรมแห่งการบูรณาการในที่สุด จนกระทั่งประสบความเจริญ ความรุ่งเรือง ความก้าวหน้า ด้านการท่องเที่ยวโดยมี“ชุมชนเป็นฐาน”(Community-based Tourism) ในที่สุด
  • Default Image
    Item
    แนวทางพัฒนามาตรฐานแพที่พักแรมในประเทศไทย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) วรรณจันทร์ สิงห์จาวลา; ไพริน เวชธัญญกุล; โสภาวรรณ ตรีสุวรรณ์; ธัญชนก บุญเจือ; นพมาศ กลัดแก้ว; อาจารย์คุณัญญา เบญจวรรณ; ชิดชม กันจุฬา
    การวิจัยเรื่องแนวทางพัฒนามาตรฐานแพที่พักแรมในประเทศไทย จัดทําขึ้นเพื่อให้ทราบถึงปัจจัยชี้วัดในการกําหนดเกณฑ์มาตรฐานแพที่พักแรม โดยใช้แนวทางการท่องเที่ยวเชิงนิเวศคุณภาพการบริการ และความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เป็นเครื่องมือในการกําหนดมาตรฐานความต้องการด้านมาตรฐานแพที่พัก ในการศึกษาพฤติกรรมและทัศนคติการใช้บริการแพที่พักแรมของนักท่องเที่ยว และค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้นในการทําธุรกิจแพที่พักแรม โดยสามารถนําเกณฑ์ที่ได้ไปปรับมาตรฐานแพที่พักแรมในประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการและชุมชนอย่างยั่งยืนในการเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศชาติต่อไป โดยการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กําหนดกรอบพื้นที่หลักในประเทศไทย จํานวน 4 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนรัชชประภา เขื่อนอุบลรัตน์ และเขื่อนภูมิพล ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ ภาครัฐ ภาคเอกชน จํานวน 40 คน และเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างโดยทําการแจกแบบสอบถามนักท่องเที่ยวชาวไทยจํานวน 1,600 คน ที่มาพักค้างแรมในแพที่พักบริเวณในเขื่อน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างโดยใช้ ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุแบบขั้นตอน พบว่า นักท่องเที่ยวแพที่พักแรมในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 25-34 ปี อาชีพพนักงานเอกชน สถานภาพโสด ระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท ผลการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวแพที่พักแรมในประเทศไทยส่วนใหญ่เดินทางมาเป็นครั้งแรก ซึ่งมีวิธีการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง โดยเที่ยวมาพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถส่วนตัว เที่ยวกลับพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถส่วนตัว ระหว่างอยู่ในเขื่อนพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เดินทางด้วยแพ กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจคือเล่นน้ำในการเดินทางครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายในการพักแรม 501-1,000 บาท รูปแบบการเดินทางเพื่อความเพลิดเพลินและพักผ่อน จองที่พักด้วยตนเอง ระยะเวลาพักในแพ 2 วัน ได้ข้อมูลกิจกรรมการท่องเที่ยวแพจากเพื่อนหรือการบอกต่อ โดยส่วนใหญ่ไม่ประสบปัญหาในการท่องเที่ยวแพ และสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการให้พัฒนาคือป้ายบอกทาง ซึ่งโดยภาพรวมเมื่อนักท่องเที่ยวได้พักแพที่พักแรมในประเทศไทยมีความรู้สึกพึงพอใจ ในอนาคตจะกลับมาท่องเที่ยวและแนะนําให้ผู้อื่นมาท่องเที่ยวแพที่พักแรมอีก แต่หากอนาคตราคาเพิ่มสูงขึ้นนักท่องเที่ยวอาจไม่กลับมาท่องเที่ยวแพอีกครั้ง ผลการวิเคราะห์แนวทางการมาตรฐานแพที่พักแรมในประเทศไทย ด้านการบริการ ควรมีการพัฒนาการบริการของพนักงานให้มีความสุภาพ อ่อนโยน มีความจริงใจเป็นกันเอง ความซื่อสัตย์ในการช่วยรักษาทรัพย์สินและสิ่งของมีค่าของลูกค้า มีการฝึกทักษะพนักงานให้มีความรอบรู้ชํานาญในการบริการ มีการบริการที่รวดเร็ว มีระบบขั้นตอนที่เหมาะสม พนักงานไม่เป็นโรคติดต่อ แต่งกายสะอาดถูกสุขลักษณะเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ในส่วนของอาหารควรมีความสะอาดถูกหลักอนามัยและมีความสดใหม่อยู่เสมอ ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารมีความสะอาดปลอดภัย มีที่นอนที่สบายตามสภาพชุมชนและมีการเปลี่ยนทุกครั้งเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้าพัก สิ่งอํานวยความสะดวกในแพ/ห้องพักอยู่ในสภาพที่ใช้งาน มีห้องอาบน้ำและส้วมที่สะอาด และมีการกําจัดแมลงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับผลการสัมภาษณ์หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อม ควรมีการปรับปรุงลักษณะแพที่พักแรมให้มีความกลมกลืนกับธรรมชาติเนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางไปท่องเที่ยวต้องการสัมผัสกับธรรมชาติ โดยเฉพาะทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้ประกอบการควรให้ความสําคัญกับวัสดุหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้บนแพที่พัก เช่น ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีถังเก็บสิ่งปฏิกูลจากห้องน้ำไม่ส่งกลิ่นเหม็น นักท่องเที่ยวมีการควบคุมระดับ และเวลาการใช้เสียงบริเวณแพที่พัก ภาครัฐบาล มีเอกสารหรือข้อมูลชี้แจงกฎระเบียบของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และมีถังแยกขยะในแต่ละประเภทมีเพียงพอ มีการควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวในแพมีความเหมาะสม ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวควรมีส่วนช่วยกันในการเก็บขยะขึ้นมาทิ้งบนเขื่อน จัดกิจกรรมรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อม มีการนําวัสดุที่ไม่ใช้แล้วหมุนเวียนไปใช้ให้เกิดประโยชน์ซึ่งสอดคล้องกับผลการสัมภาษณ์หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ด้านความปลอดภัย ผู้ประกอบการควรสร้างความมั่นคงและแข็งแรงของโครงสร้างแพให้ได้มาตรฐานตามที่กรมเจ้าท่ากําหนด มีระบบเตือนภัย มีพนักงานปฏิบัติงานและพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ผ่านการอบรม อุปกรณ์ช่วยชีวิตที่เพียงพอและติดตั้งในจุดที่มองเห็นชัดเจนราวระเบียงอยู่ในสภาพมั่นคง แข็งแรง ไฟส่องสว่างอย่างทั่วถึงในเวลากลางคืน ป้ายบอกชื่อหรือสัญลักษณ์ในแพแสดงอย่างชัดเจน ไม่ชํารุด ระบบสื่อสารเพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน มีการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น มีระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้งานได้ 24 ชั่วโมง มีบริเวณพื้นทางเดินมียางกันลื่น และไม่มีสิ่งกีดขวาง โดยนักท่องเที่ยวมีความต้องการให้ความปลอดภัย ซึ่งสอดคล้องกับผลการสัมภาษณ์หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ส่วนข้อการจัดยามดูแลความปลอดภัย 24 ชั่วโมง มีเอกสารหรือข้อมูลตักเตือนนักท่องเที่ยวในการเก็บรักษาทรัพย์สิน และมีถังดับเพลิง อุปกรณ์ควบคุมไฟฟ้าอยู่ในสภาพใช้งานได้ นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่แน่ใจในการส่งผลต่อความปลอดภัยมากขึ้น
  • Default Image
    Item
    การใช้ประโยชน์จากพืชในการบำบัดเบนซีนในอากาศ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ปารินดา สุขสบาย
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการบําบัดเบนซีนในอากาศด้วยใบพืช ทั้งหมด 18 ชนิด ได้แก่ ใบเสน่ห์จันทร์แดง ใบมะกรูด ใบตอง ใบมะม่วง ใบสน ใบอินทนิน ใบ ตะแบก ใบขี้เหล็ก ใบเฟื่องฟ้า ใบตําลึง ใบสาวน้อยปะแป้ง ใบผีเสื้อ ใบอโศก ใบโพธิ์ ใบหน้าวัว ใบ ประดู่ ใบตีนเป็ด และใบปลงทะเล และศึกษาความสัมพันธ์ของประสิทธิภาพการดูดซับเบนซีนกับปริมาณแว๊กซ์ในใบพืช โดยการศึกษาการดูดซับเบนซีนด้วยใบพืชแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การทดลอง แบบกะ (batch) และการทดลองในระบบต่อเนื่อง สําหรับการทดลองแบบกะ จะทําการทดลองในนํามาใส่โหลสุญญากาศ ที่มีปริมาตร 15.6 ลิตร โดยฉีดเบนซีนเริ่มต้น 20 ppm เข้าไปในระบบ โดยมีระยะเวลา 3 วัน ผลการทดลองพบว่า พืช 5 ชนิด ได้แก่ A. scholaris (ใบตีนเป็ด) D. picta (ใบสาวน้อยปะแป้ง) F. religiosa (ใบโพธิ์) L. macrocarpa (ใบอินทนิน) และ A. aureum (ใบปลงทะเล) มีประสิทธิภาพการบําบัดเบน ซีนค่อนข้างสูง โดย A. scholaris มีประสิทธิภาพการดูดซับเบนซีนเข้าไปในใบสูงถึง 20.57±1.62 μmole/g of adsorbent จึงได้นําใบพืชทั้ง 5 ชนิดไปทําการทดลองต่อในระบบบําบัด แบบต่อเนื่อง (คอลัมน์) โดยใช้ตัวดูดซับ 15 กรัม และความเข้มข้นของเบนซีนเริ่มต้นที่ป้อนเข้าไป 55 ppm ระยะเวลาการกักเก็บ 3 นาที ซึ่งผลการทดลองพบว่าประสิทธิภาพการบําบัดเบนซีนของ D. picta, A. aureum, A. scholaris มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงประมาณ ร้อยละ 67.61- 85.43, 59.81-87.22 และ 63.29-86.26 ของการทดลองชั่วโมงที่ 6-84 ตามลําดับ ส่วน L. macrocarpa และ F. religiosa มีประสิทธิภาพเพียงร้อยละ 44.83-74.28 และ 45.02-76.65 ตามลําดับ และใบพืชเหล่านี้มีศักยภาพในการดูดซับเต็มที่ 132 ชั่วโมง และจากผลการแยกชะด้วย เฮกเซนและผลของ FTIR ของใบพืชก่อนและหลังดูดซับยืนยันได้ว่ามีกลไกการดูดซับแบบกายภาพ นอกจากนี้ผลการศึกษาความสัมพันธ์ของประสิทธิภาพการดูดซับเบนซีนต่อปริมาณแว๊กซ์ในใบพืช พบว่าปริมาณแว๊กซ์ (wax) ที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มทําให้ใบพืชมีประสิทธิภาพในการบําบัดเบนซีนสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามใบพืชบางชนิดมีปริมาณแว็กซ์สูง แต่ให้ประสิทธิภาพการบําบัดเบนซีนต่ำกว่าพืชที่ มีปริมาณแว๊กซ์ต่ำกว่า ดังนั้นปริมาณแว็กซ์ในใบพืชน่าจะเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อประสิทธิภาพ การบําบัดเบนซีนในใบพืช แต่อาจจะมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาตัวชี้วัดความสำเร็จต้นแบบเกษตรพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ธวัชชัย เพ็งพินิจ; พรทวี พลเวียงพล; วโรดม แสงแก้ว; พิมพ์ชนก วัดทอง
    การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวปฏิบัติของเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเพื่อพัฒนาตัวชี้วัดความสำเร็จต้นแบบเกษตรพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 12 ศูนย์เรียนรู้ กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ปราชญ์ชาวบ้าน ต้นแบบเกษตร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากเอกสารและการศึกษาภาคสนามด้วยการสังเกตแบบมีส่วนร่วม สัมภาษณ์เชิงลึกสนทนากลุ่ม และประชุมเชิงปฏิบัติการ ระยะเวลารวม 12 เดือน ผลการวิจัย มีดังนี้ แนวปฏิบัติของเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วย ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประยุกต์ใช้เกษตรทฤษฎีใหม่ ยึดศาสนธรรม ทำเกษตรพอเพียง ทำเกษตรประณีตพึ่งตนเองและพึ่งพากันเอง ตัวชี้วัดความสำเร็จต้นแบบเกษตรพึ่งตนเองและพึ่งพากันเองตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงใน 7 องค์ประกอบ สรุปได้ดังนี้ ทางสายกลาง มี 10 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิด ไม่สร้างหนี้ครอบครัวอบอุ่น ทำเกษตรผสมผสาน ลดรายจ่าย พึ่งตนเองและพึ่งพากัน เป็นแบบอย่างที่ดี มีงานทำตลอดปี มีความพอเพียง และวางแผนชีวิต ความพอประมาณ มี 14 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย วางแผนการใช้พื้นที่ พึ่งตนเองและพึ่งพากันสร้างแหล่งน้ำ อาหารปลอดสารพิษ ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิด มีที่ดินทำกินของตนเองครอบครัวอบอุ่น มีลูกหลานสืบทอด ไม่สร้างหนี้ ใช้แรงงานตนเอง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม มีกัลยาณมิตร และสิ่งแวดล้อมดี ความมีเหตุผล มี 10 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิด ดูตัวเองให้ออก-บอกตัวเองให้ได้-ใช้ตัวเองให้เป็น วางแผนการใช้พื้นที่ ทำเกษตรผสมผสาน เป็นแบบอย่างที่ดีเรียนรู้ศึกษาดูงาน ทำเกษตรทฤษฎีใหม่ สร้างแหล่งน้ำ แบ่งปันความรู้ และใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี มี 17 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย มีที่ดินทำกินของตนเอง มีคุณธรรมสร้างแหล่งน้ำ อาหารปลอดสารพิษ แบ่งปันความรู้ ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิด ทำบัญชีครัวเรือน มีงานทำตลอดปี มีกัลยาณมิตร ครอบครัวอบอุ่น มีความรู้และประสบการณ์ มีเงินออม มีลูกหลานสืบทอด ที่อยู่อาศัยมั่นคง ศรัทธาในอาชีพ อนุรักษ์ป่าไม้ และอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม เงื่อนไขความรู้ มี 12 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิด ครอบครัวอบอุ่น แบ่งปันความรู้ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ไม่สร้างหนี้ อาหารปลอดสารพิษ สิ่งแวดล้อมดี สุขภาพแข็งแรงลดรายจ่าย เรียนรู้ศึกษาดูงาน พึ่งตนเองและพึ่งพากัน และทำบัญชีครัวเรือน เงื่อนไขคุณธรรม มี 13 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย ขยันซื่อสัตย์ เป็นแบบอย่างที่ดี ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิด ปลูกผักสวนครัว ไม่สร้างหนี้ ทำเกษตรผสมผสาน ภูมิใจในสิ่งที่ทำ มีอาหารพอกิน-แจก-แลกเปลี่ยน-ขาย ครอบครัวอบอุ่น แบ่งปันความรู้ เลิกอบายมุข มีกัลยาณมิตร และศรัทธาในอาชีพ ความสมดุล มั่นคง ยั่งยืน มี 13 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย ทำเกษตรผสมผสาน ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิด มีอาหารพอกิน-แจก-แลกเปลี่ยน-ขาย ปลูกผักสวนครัว ขยันซื่อสัตย์ ครอบครัวอบอุ่น สุขภาพแข็งแรง ภูมิใจในสิ่งที่ทำ ลดการใช้สารเคมี ไม่สร้างหนี้ เป็นแบบอย่างที่ดี มีเงินออมและมีอิสรเสรีภาพ
  • Default Image
    Item
    การลดการปนเปื้อนของแคดเมียมในข้าวโดยใช้วัสดุเหลือทิ้งเป็นตัวดูดซับ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ปารินดา สุขสบาย; ไพทิพย์ ธีรเวชญาณ
    ปัญหาของการปนเปื้อนแคดเมียมในข้าวเป็นปัญหาที่สําคัญของพื้นที่ในอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก ดังนั้นงานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของการใช้วัสดุเหลือทิ้งเป็นวัสดุตัวดูดซับใน การปรับปรุงดินต่อการลดลงของแคดเมียมที่สะสมในต้นข้าว และศึกษาผลของการคายน้ำต่อปริมาณ แคดเมียมที่สะสมในต้นข้าว วัสดุเหลือทิ้งที่ใช้ในการการทดลองได้ ซังข้าวโพด (Corncob, CC) ขุย มะพร้าว (Coir pith, CP) ขุยมะพร้าวที่ปรับสภาพด้วยด่าง (CPm) และเปลือกส้ม (Orange peel, OP) โดยเติมวัสดุเหลือทิ้งเหล่านี้ในปริมาณ 1% (w/w) ในดินปนเปื้อนแคดเมียมที่ความเข้มข้นต่ำ (4 mg Cd/kg soil) และที่ความเข้มข้นของแคดเมียมสูง (145 mg Cd/kg soil) ผลการทดลองพบว่าเมื่อ ใช้ซังข้าวโพด (CC) และเปลือกส้ม (OP) เป็นสารปรับปรุงดินในการปลูกข้าวในดินที่ไม่มีการปนเปื้อน แคดเมียม (N) จะทําให้ปริมาณการคายน้ำ (transpiration) ลดลง ขณะที่เมื่อใช้เติมขุยมะพร้าว (CP) และขุยมะพร้าวที่ปรับสภาพด้วยด่าง (CPm) เป็นวัสดุปรับปรุงดินพบว่าไม่ได้ขัดขวางการคายน้ำของ ต้นข้าว แต่อย่างไรก็ตามการใช้เปลือกส้มเป็นวัสดุปรับปรุงดินต้นข้าวจะตายภายใน 5 วัน อาจ เนื่องจากปริมาณการคายน้ำต่ำตลอดจนผลสารไลโมนีน (Limonene) ในเปลือกส้ม ผลการศึกษาชนิดของวัสดุเหลือทิ้งต่างชนิดกันเมื่อใช้เป็นวัสดุปรับปรุงดินที่ปนเปื้อน แคดเมียมความเข้มข้นต่ำ (4 mg Cd/kg soil) พบว่าการเติมซังข้าวโพดเพื่อเป็นวัสดุปรับปรุงดินที่ ปนเปื้อนแคดเมียมจะทําให้ปริมาณการคายน้ำ (transpiration) และน้ำหนักของต้นข้าว (dry weight of rice plant) ลดลงและการใช้ขุยมะพร้าวที่ปรับสภาพด้วยด่าง (CPm) เป็นวัสดุปรับปรุงดินที่ ปนเปื้อนแคดเมียมมีปริมาณการคายน้ำจะสูงที่สุด และจากผลการทดลองยังพบว่าการใส่วัสดุเหลือทิ้ง เป็นวัสดุปรับปรุงดินในดินปนเปื้อนแคดเมียมที่ความเข้มข้นต่ำ จะมีปริมาณแคดเมียมที่สะสมในราก เรียงลําดับจากปริมาณสูงไปต่ำดังนี้ คือ ดินปนเปื้อนแคดเมียมที่ไม่เติมวัสดุเหลือทิ้งปรับปรุงดิน (low Cd)=ขุยมะพร้าว (CP) > ขุยมะพร้าวที่ปรับสภาพด้วยด่าง (CPm)=ดินที่เติมซังข้าวโพด (CC) ส่วน ปริมาณแคดเมียมที่สะสมในลําต้นและเมล็ดข้าวพบว่าเมื่อใช้ซังข้าวโพด (CC) เป็นวัสดุปรับปรุงดินจะทําให้ปริมาณแคดเมียมที่สะสมในลําต้นและเมล็ดข้าวมีค่าต่ำสุดเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้วัสดุเหลือ ทิ้งตัวอื่นๆ โดยปริมาณแคดเมียมในเมล็ดข้าวเหลือเพียง 0.15 mgCd/kg dry weight ซึ่งก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของแคดเมียมในเมล็ดข้าวซึ่งตามมาตรฐานของ Codex Committee on Food Additives and Contaminants (CCFAC) ที่กําหนดไว้ที่ไม่เกิน 0.2 mg Cd/kg soil สําหรับผล การศึกษาการคายน้ำของต้นข้าวเมื่อปลูกในดินที่ปนเปื้อนแคดเมียมสูงที่ความเข้มข้น 145 mg Cd/kg soil พบว่าเมื่อใช้วัสดุเหลือทิ้งเป็นวัสดุปรับปรุงดินต่างกันอัตราการคายน้ำของต้นข้าวก็แตกต่างกัน โดยมีปริมาณการคายน้ำจากสูงไปต่ำ ดังนี้ การปลูกข้าวในดินที่ปนเปื้อนแคดเมียมสูงที่ไม่ใส่วัสดุ ปรับปรุงดิน ( high Cd> ขุยมะพร้าวที่ปรับสภาพด้วยด่าง (CPm) ≥ ขุยมะพร้าว (CP) ≥ ซังข้าวโพด (CC) ซึ่งสอดคล้องกับผลการทดลองของปริมาณการคายน้ำของต้นข้าวเมื่อปลูกในที่มีแคดเมียมต่ำ ปริมาณการคายน้ำของต้นข้าวมีผลโดยตรงต่อปริมาณการสะสมแคดเมียมในลําต้นและเปลือกข้าวโดย พบว่า ปริมาณการคายน้ำต่ำจะทําให้เมื่อปริมาณแคดเมียมในลําต้นและเปลือกข้าวต่ำ ซังข้าวโพด จัดเป็นวัสดุปรับปรุงดินจะทําให้แคดเมียมที่สะสมในลําต้นและเปลือกข้าวต่ำที่สุด
  • Default Image
    Item
    ศิลปะการใช้ภาษาในงานประพันธ์เพลงของยืนยง โอภากุล (ศึกษาเฉพาะกรณีเพลงที่กล่าวถึงนามบุคคล)
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) วรัตต์ อินทสระ
    งานวิจัย เรื่อง ศิลปะการใช้ภาษาในงานประพันธ์เพลงของยืนยง โอภากุล (ศึกษาเฉพาะกรณีเพลงในที่กล่าวถึงนามบุคคล) มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภาษาด้านการใช้คำและโวหารภาพพจน์ในงานประพันธ์ของยืนยง โอภากุล โดยศึกษาจากแนวความคิด ทัศนะส่วนตัว จินตนาการและอารมณ์ ของผู้ประพันธ์ ที่สื่อสารผ่านบทเพลง ที่กล่าวถึง นามบุคคล ผู้วิจัยใช้วิธีค้นคว้าข้อมูลเบื้องต้นจากเอกสาร สิ่งพิมพ์ ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์ผู้ประพันธ์เพลง โดยมีเพลง ที่กล่าวถึงนามบุคคล จำนวน 20 เพลง เป็นเครื่องมือในการวิจัย ผู้วิจัยได้ข้อสรุปจากการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด นำมาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่สมบูรณ์ตามวิธีการข้างต้น ได้ผลดังนี้ ผู้ประพันธ์ (ยืนยง โอภากุล) เลือกใช้โวหารต่าง ๆ ในการประพันธ์ จำนวน 11 โวหาร คือ ๑. โวหารเลียนแบบ ผู้ประพันธ์ใช้เพื่ออ้างถึงบุคคลหรือเหตุการณ์หรือพฤติกรรมหรือข้อความมาเปรียบเทียบกับหรือพฤติกรรมของบุคคลที่ผู้ประพันธ์กล่าวถึง พบจำนวน 22 ครั้ง ๒. โวหารถามชวนคิด ผู้ประพันธ์ใช้การตั้งประโยคคำถาม แต่ไม่ต้องการคำตอบ เพื่อเรียกร้องความสนใจหรือกระตุ้นให้ผู้ฟังเพลงคิดตาม นำไปสู่การค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างรอบด้าน พบจำนวน 11 ครั้ง ๓. อุทธาหรณ์ ผู้ประพันธ์ใช้เพื่อการเปรียบเรื่องราว เหตุการณ์ โดยการยกข้อความที่ง่ายต่อการเข้าใจเทียบกับสิ่งที่ผู้ประพันธ์ต้องการเสนอ โดยเลือกใช้สุภาษิต คำพังเพย พบจำนวน 11 ครั้ง ๔. บุคลาธิษฐาน ผู้ประพันธ์ใช้เป็นโวหาร เพื่อนำสรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตให้มีความรู้สึกนึกคิดและแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ ให้ได้เหมือนคน เป็นการประพันธ์ที่มุ่งให้กระทบอารมณ์และเกิดความสะเทือนใจ พบจำนวน 11 ครั้ง ๕. คำซ้ำ ผู้ประพันธ์ใช้เพื่อย้ำคำหรือข้อความ ที่เป็นสาระสำคัญของการเล่าเรื่อง พบจำนวน 10 ครั้ง ๖. อุปมา ผู้ประพันธ์ใช้เพื่อเปรียบของสองสิ่งว่าคล้ายกัน คำที่ผู้ประพันธ์ใช้ ได้แก่ ปาน ราว ดัง เหมือน ดุจ พบจำนวน 10 ครั้ง ๗. โวหารเปรียบเทียบ ผู้ประพันธ์ใช้เปรียบเทียบของสองสิ่งว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือเท่ากันทุกประการ พบจำนวน 9 ครั้ง ๘. โวหารกล่าวเกินจริง ผู้ประพันธ์ใช้เพื่อเน้นความรู้สึกในการประพันธ์ เป็นกลวิธีของผู้ใช้ภาษาที่จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าถึงจินตนาการ หรืออารมณ์ของผู้ประพันธ์ พบจำนวน 7 ครั้ง ๙. นามนัย ผู้ประพันธ์ใช้เพื่อการกล่าวถึงเรื่องหนึ่งแต่ต้องการให้เข้าใจความหมายเป็นอย่างอื่น พบจำนวน 5 ครั้ง ๑๐. สมพจนัย ผู้ประพันธ์กล่าวถึงเรื่องราวเพียงส่วนหนึ่งแต่มีความหมายครอบคลุมหมดทุกส่วน พบจำนวน 4 ครั้ง ๑๑. อาวัตพากย์ ผู้ประพันธ์เรียกผลของสัมผัสที่ผิดไปจากธรรมดา พบจำนวน 2 ครั้ง ข้อสรุปเรื่องแนวความคิด ทัศนะส่วนตัว จินตนาการและอารมณ์ของ ผู้ประพันธ์ที่สื่อสารผ่านบทเพลงที่กล่าวถึงบุคคล พบว่า ผู้ประพันธ์เลือกบุคคลที่จะนำมากล่าวถึงในบทเพลงโดยเกิดจากแรงบันดาลใจ 3 ส่วน คือ 1. จากการอ่านหนังสือ 2. จากประสบการณ์ที่ได้พบ ได้พูดคุย หรือรับรู้เรื่องราวของบุคคลทั้งโดยตรงและผ่านการบอกเล่าจากบุคคลอื่น 3. ผู้ประพันธ์ศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมของบุคคลนั้น เพื่อนำมาแสดงทัศนะส่วนตัวในการประพันธ์เพลง ผู้ประพันธ์สอดแทรกอารมณ์และทัศนะส่วนตัว 2 ประการ คือ ชื่นชมและตำหนิตัวบุคคล ที่กล่าวถึงในการประพันธ์ นอกเหนือจากนี้ ผู้วิจัยยังพบว่า ผู้ประพันธ์มีจุดมุ่งหมายในการใช้ ดนตรีเป็นเครื่องมือในการจุดประกายและปลดปล่อยภาระบางประการของสังคมไทย ผ่านตัวบุคคลที่ผู้ประพันธ์กล่าวถึงด้วยคนต้นแบบที่มีความหลากหลาย แต่มีความโดดเด่น มีพฤติกรรมที่สามารถนำเป็นแบบอย่างให้กับบุคคลรุ่นต่อไป บุคคลส่วนใหญ่ผู้ประพันธ์กล่าวถึงด้วยทัศนคติเชิงบวก ผู้ประพันธ์เพลงใช้ การเล่าเรื่องคล้ายคลึงกับการเขียนสารคดีชีวประวัติ ซึ่งเนื้อหาจะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ผสมผสานกับความงดงามทางภาษาแบบร้อยกรอง สร้างรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อให้คนฟังเพลงแล้วรู้สึกกระจ่างในทันที เมื่อนำมาใส่จังหวะดนตรี เพื่อเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบในการ ขับเคลื่อน บอกเล่าเนื้อหาผู้ประพันธ์ใช้จังหวะของดนตรีแยกได้ 8 จังหวะ โดยมีจังหวะ Rock ใช้มากที่สุด จำนวน 7 เพลง
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาทักษะการพูดและการรู้คำศัพท์ของเด็กปฐมวัยในสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ที่สังกัดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยใช้กิจกรรมร้องเพลงและสื่อทวิภาษา
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) นุชฤดี รุ่ยใหม่; สุทิตา จุลกนิษฐ์
    การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียวและวัดซ้ำ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสร้างสื่อทวิภาษาและการจัดกิจกรรมร้องเพลง และ (2) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบพัฒนาการทางภาษาด้านทักษะการพูดและการรู้คำศัพท์ภาษาไทยของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมร้องเพลงและสื่อทวิภาษา ประชากรคือ เด็กเล็กสังกัดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นที่มีนักศึกษาในโครงการความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 17,810 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จากศูนย์ที่มีคุณสมบัติครบ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย หนังสือเสริมประสบการณ์ เพลงส่งเสริมการออกเสียงและการรู้คำศัพท์ บัตรภาพทวิภาษา แผนการจัดประสบการณ์ และแบบทดสอบการรู้คำศัพท์ และการออกเสียงภาษาไทย ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังกิจกรรมร้องเพลงและสื่อทวิภาษา สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้ค่า t (t-test) ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลจากการวิจัย พบว่า (1) การใช้สื่อเพลง 2 ภาษา เด็กปฐมวัยส่วนใหญ่ มีความเต็มใจในการร่วมกิจกรรม มีความชื่นชอบกับการใช้เพลง 2 ภาษา และผลจากการสังเกตการใช้บัตรภาพทวิภาษาประกอบการสอนพบว่า เด็กสนใจที่จะเรียนรู้มากขึ้น นอกจากนั้นยังพบว่าเด็กส่วนใหญ่รู้จักคำศัพท์ดังกล่าวเป็นภาษามลายูท้องถิ่นเกือบทั้งหมด แต่รู้จักเป็นคำศัพท์ภาษาไทยเฉพาะบางคา และพบว่าเด็กเรียนรู้คำศัพท์ได้ง่าย รู้จักคำศัพท์ และจาคำศัพท์ได้เพิ่มขึ้น และเด็กสนุกสนานที่จะเรียกชื่อผลไม้ สิ่งของ หรือคำศัพท์ที่คุณครูสอนด้วยการออกเสียงสลับกันทั้ง 2 ภาษา (2) การรู้คำศัพท์ของเด็กปฐมวัยหลังกิจกรรมร้องเพลงและสื่อทวิภาษาสูงขึ้น และทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยหลังกิจกรรมร้องเพลงและสื่อทวิภาษาสูงขึ้น อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01
  • Default Image
    Item
    ความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ต่อวิชากฎหมายลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) อิษวัต สุจิมนัสกุล; พรเพ็ญ ไตรพงษ์; สุภาภรณ์ เกลี้ยงทอง
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ต่อวิชากฎหมายลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ โดยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1. เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ต่อวิชากฎหมายลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ในด้านเนื้อหาวิชา ด้านผู้สอน ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านปัจจัยส่งเสริมการเรียนการสอน และด้านการประเมินผลการเรียนการสอน 2. เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ต่อวิชากฎหมายลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ในด้านเนื้อหาวิชา ด้านผู้สอน ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านปัจจัยส่งเสริมการเรียนการสอน และด้านการประเมินผลการเรียนการสอน โดยจำแนกตามระดับคะแนนเฉลี่ย และจำแนกตามความถี่ในการเข้าห้องเรียน 3. เพื่อนาข้อมูลไปปรับปรุงการเรียนการสอนวิชากฎหมายลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ให้สาเร็จลุล่วงต่อไป โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ (Mixed-method) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 หลักสูตรนิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จำนวน 150 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามความสะดวก (Convenience sampling) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากนักศึกษา และการสัมภาษณ์อาจารย์ประจาหลักสูตรนิติศาสตร์ จำนวน 10 คน โดยวิธีเจาะจง ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้ใช้แบบสอบถามและสัมภาษณ์ความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ต่อวิชากฎหมายลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ ซึ่งเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นเอง เพื่อใช้สารวจความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนการสอนวิชากฎหมายลักษณะละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวน (Analysis of Variance: ANOVA ) ผลการวิจัยที่สาคัญมี 1. นักศึกษามีความพึงพอใจในด้านเนื้อหาวิชาเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่เรียนมีประโยชน์ต่อการประกอบวิชาชีพ และเนื้อหาวิชาสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้จึงควรนาผลการวิจัยในครั้งนี้เสนอต่อหลักสูตร เพื่อให้หลักสูตรพิจารณารายละเอียดของรายวิชานี้ว่าควรให้นักศึกษาได้ความรู้และสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการประกอบวิชาชีพได้ตรงกับสาขาของตนเองต่อไป 2. ผลการทดสอบความแตกต่างของระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนของนักศึกษาหลักสูตรนิติศาสตร์ต่อวิชากฎหมายลักษณะละเมิดจัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ทุกด้าน พบว่า ระดับคะแนนเฉลี่ยต่างกัน มีระดับความพึงพอใจแตกต่างกัน