Research
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing Research by Title
Now showing 1 - 20 of 1102
Results Per Page
Sort Options
Item Using Mobile Phone Learning Activities to Motivate English Language Learning of the Third Year English Major Students at Suan Dusit UniversityKwanhathai ChoedchooUsing Mobile phone learning activities to motivate English language learning of the third year English Major students at Suan Dusit University was studied. It was found that these students were highly motivated towards Mobile phone assisted language learning; learning the L2 on social media (FB) highly correlated with their classroom achievements in English courses. However, their high motivation was helpful in their English courses and for promoting language learning in and outside the classroom. It could be said that the students in this study were slightly instrumentally motivated toward the use of mobile phone as a supplementary tools in the English language classroom L2 motivation on mobile assisted language learning affected on teaching and learning.Item กระดานยางพาราวาดภาพนูนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) เกยูร วงศ์ก้อม; ณัฐกฤตา สุวรรณทีปการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมยางพาราแผ่นสำหรับการทำกระดาน ยางพาราวาดภาพนูน และศึกษาประสิทธิภาพกระดานยางพาราวาดภาพนูนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น รวมทั้งศึกษาความคิดเห็นของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นและครูต่อการใช้กระดานยางพาราวาดภาพนูน กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นระดับประถมศึกษาปีที่ 5 - 6 และครูผู้สอนในโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ จำนวน 31 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ ผลการวิจัย พบว่า สามารถเตรียมยางพาราแผ่นสำหรับการทำกระดานวาดภาพนูนที่มีคุณลักษณะทางกายภาพเทียบเคียงได้กับแผ่นยางพอลิเมอร์ทางการค้า เมื่อนำแผ่นยางพาราไปประกอบเป็นชุดกระดาน ยางพาราวาดภาพนูนไปทดสอบประสิทธิภาพพบว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ผลการศึกษาความคิดเห็นของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นและครูต่อการใช้กระดานยางพาราวาดภาพนูนพบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดทั้งในรายบุคคลและภาพรวม สรุปได้ว่ากระดาน ยางพาราวาดภาพนูนมีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การใช้วาดภาพนูน สามารถช่วยส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นอันจะส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นItem กระบวนการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต : กรณีศึกษาตำบลโคกโคเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีนุจิรา รัศมีไพบูลย์ | เรณุมาศ กุละศิริมา | เปรมฤทัย แย้มบรรจงการวิจัยเรื่องกระบวนการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต : กรณีศึกษา ตำบลโคกโคเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) ศึกษาปัญหาและแนวทางการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ทักษะการดำรงชีวิตประจำวัน ทักษะเฉพาะบุคคลและทักษะทางสังคมและทักษะการประกอบอาชีพ และ 2) หาแนวทางการจัดการความรู้ของครอบครัวในการพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมประชากรเป็นประชาชนที่มีครัวเรือนอยู่ในตำบลโคกโคเฒ่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญมุ่งเน้นไปที่ครอบครัว ได้แก่ ผู้นำชุมชน และตัวแทนของครัวเรือนในหมู่บ้านต่าง ๆ ทั้งหมด ใช้วิธีสุ่มแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็นโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 12 คน ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาองค์ความรู้ด้านทักษะชีวิตที่ครอบครัวในชุมชนโคกโคเฒ่ายังมีจุดอ่อนและมีความต้องการให้มีการจัดการความรู้และได้รับการพัฒนามากที่สุดสำหรับทักษะในแต่ละด้าน มีดังนี้ 1) ทักษะการดำรงชีวิตประจำวัน คือ ความสามารถในการบริหารจัดการระบบการเงิน ทักษะเฉพาะบุคคลและทักษะทางสังคม คือ การสร้างความมั่นใจในตนเอง และทักษะการประกอบอาชีพ คือ ความสามารถในการประกอบอาชีพ ส่วนปัญหาหลักในการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ การจัดความรู้ให้เป็นระบบการเข้าถึงความรู้ และการถ่ายทอดและแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ส่วนแนวทางการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตในตำบลโคกโคเฒ่า พบว่า ควรเน้นให้มีการจัดความรู้ให้เป็นระบบวิธีการเข้าถึงความรู้ และกระบวนการถ่ายทอดและแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ภายในครอบครัว ส่วนแนวทางการเสริมสร้างการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อการพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีเครื่องมือการจัดการความรู้ คือ การพาไปศึกษาดูงานชุมชนต้นแบบ แม่น้ำท่าจีน-ดอนหวาย พบว่า มีผลสะท้อนกลับทางบวกต่อกระบวนการคิดและวิเคราะห์ รวมทั้งความคิดเห็นของกลุ่มผู้เรียนรู้ที่มีต่อการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านต่างๆ ได้อย่างชัดเจน โดยกลุ่มผู้เรียนรู้ได้มองเห็นความสำคัญและความจำเป็นของทักษะชีวิตในแต่ละด้านพร้อมทั้งมีความเข้าใจว่า ทักษะชีวิตในแต่ละด้านมีผลอย่างไรในการดำรงชีวิตประจำวันและการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งกลุ่มผู้เรียนรู้ได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ มีการคิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์ถึงปัญหาการพัฒนาทักษะชีวิตในแต่ละด้านที่เกิดขึ้นจากกระบวนการจัดการความรู้ที่ไม่ดีของครอบครัวซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคตในแง่ของการบริหารจัดการภายในครอบครัว การอยู่ร่วมกันในสังคมและชุมชน และการประกอบอาชีพ จากการประเมินผลการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม พบว่า ผู้ร่วมกิจกรรมมีความคิดเห็นต่อกิจกรรมการอบรมในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีความพึงพอใจเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ เรียนรู้ในการเข้าร่วมกิจกรรมวิจัยและคาดว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวที่เข้ากิจกรรมการจัดการความรู้ให้สมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้านได้รับรู้มากเป็นอันดับแรก ส่วนผลการประเมินการจัดกิจกรรม การศึกษาดูงาน พบว่า ผู้ร่วมกิจกรรมมีความพึงพอใจต่อการศึกษาดูงานโดยรวมอยู่ในระดับดี โดยมีความพึงพอใจต่อสิ่งที่ได้เรียนรู้ในการเข้าร่วมกิจกรรมศึกษาดูงานและคาดว่าจะเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และชุมชนมากเป็นอันดับแรกItem กระบวนการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) จันทร์แรม เรือนแป้น; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; เขมภัทท์ เย็นเปี่ยม; สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์; ยุทธภูมิ ภู่ไพบูลย์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ตรวจสอบและเสนอแนวทางพัฒนานิเวศวิจัยของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต และ 2) พัฒนารูปแบบและแนวทางจัดการเรียนรู้ด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติวิธีการดำเนินงาน ประกอบด้วย การวิจัยเอกสารมหาวิทยาลัยต่างประเทศ 5 แห่ง การสัมภาษณ์เชิงลึกมหาวิทยาลัยในประเทศ 5 แห่ง การสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนานิเวศวิจัย 49 คน และการจัดสนทนากลุ่มอาจารย์ผู้สอน 9 คน เครื่องมือวิจัย คือ ประเด็นการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสาร แนวสัมภาษณ์เชิงลึก และแนวการสนทนากลุ่ม วิธีวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์เนื้อหา และการเปรียบเทียบข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบของนิเวศวิจัยที่ต้องตรวจสอบและพัฒนามี 3 ด้าน คือ ด้านนโยบายและการบริหารจัดการด้านเครือข่ายความร่วมมือ และด้านการจัดการสภาพแวดล้อมและสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ โดยแนวทางในการพัฒนา คือ 1.1) ใช้ระบบวิทยานิพนธ์อิเล็คทรอนิกส์ในการบริหารจัดการการทำวิทยานิพนธ์ทั้งกระบวนการ 1.2) ใช้ระบบการประชุมออนไลน์ในการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์ 1.3) จัดทำเอกสารตำราอิเล็กทรอนิกส์ที่ตรงกับสาขาวิชาที่เปิดสอน 1.4) ตรวจสอบการใช้งานฐานข้อมูลออนไลน์ทุกฐานที่มีและบริหารจัดการให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.5) สร้าง/ขยาย/พัฒนาความสัมพันธ์กับเครือข่ายเพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน 1.6) พัฒนาสมรรถนะบุคลากรห้องสมุด 1.7) กำหนดผู้รับผิดชอบและช่องทางการขอรับบริการที่ชัดเจน การพัฒนารูปแบบและแนวทางจัดการเรียนรู้ด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติ มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของวิธีสอนแบบเดิมที่เน้นทฤษฎี ขาดการปฏิบัติจริง ขาดการอภิปรายและการแบ่งปันประสบการณ์ การใช้หลักการสำคัญของการเรียนรู้จากการปฏิบัติเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ จะให้รายละเอียดใน 4 เรื่อง คือ 2.1) หลักการและแนวคิดของรูปแบบ 2.2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 2.3) กระบวนการเรียนรู้ของรูปแบบ 2.4) ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบItem กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมด้านการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สำหรับนักศึกษารายวิชาเทคโนโลยีข้าว(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) อานง ใจแน่นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษากระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตในการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน (2) เพื่อศึกษาผลการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ คณะโรงเรียนการเรือน ศูนย์การศึกษาลำปาง มหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาเทคโนโลยีข้าว ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 19 คน เครื่องมือวิจัย คือ (1) แบบสังเกตสังเกตการทำกิจกรรมและ (2) แบบประเมินความพึงพอใจกิจกรรมสาธิตการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนตามกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรูแบบมีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตใน การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่นักศึกษาสามารถปฏิบัติได้ ตามที่ผู้สอนสาธิต ทั้งในด้านการเตรียมวัตถุดิบ การปรุงประกอบ ตลอดจนลงมือปฏิบัติให้ได้เมนูขนมที่ถูกต้องบรรลุตามเป้าหมายการเรียนรู้ และผลการศึกษาความพึงพอใจในการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากที่สุด (คาเฉลี่ยเทากับ 4.62)Item กระบวนการยกระดับคุณภาพการบริการของแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สฤษดิ์ ศรีโยธิน; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; จิรัฐ ชวนชม; อัมพร ศรีประเสริฐสุข; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; พรเพ็ญ ไตรพงษการวิจัยนี้มุ่งศึกษา ดังนี้ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบระดับความคาดหวังในการบริการกับระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้ เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริการสำหรับผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3) เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร ได้แก่ ผู้ให้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร หน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ และนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการวิจัย พบว่า 1) นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีผลรวมความคาดหวังในการบริการที่มีต่อแหล่งเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก (คิดเป็นร้อยละ 80.71 จากคะแนนเต็ม 7) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า นักท่องเที่ยว ประเมินความพร้อมในการบริการที่ได้รับจากที่อื่นสูงกว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวได้รับจากการบริการที่ได้รับจากแหล่งเรียนรู้ในจังหวัดสุพรรณบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ด้านความสุภาพ อย่างคงเส้นคงวาไม่พบความแตกต่าง ผลการศึกษาระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการ และวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ พบว่า อยู่ในระดับมากเกิน 5.60 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 7) ยกเว้นคุณภาพการบริการด้านการเห็นอกเห็นใจ (ค่าเฉลี่ย = 5.56) และด้านสิ่งที่สัมผัสได้ (ค่าเฉลี่ย = 5.41) 2) ผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีการพัฒนาคุณภาพบริการแหล่งเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการ (ค่าเฉลี่ย = 4.03) ซึ่งเป็นเพียงด้านเดียว ที่มีค่าเฉลี่ยเกิน 4.00 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 5) ส่วนในด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยไม่ถึงเกณฑ์ 3) กระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การสำรวจความคาดหวังและการรับรู้คุณภาพการบริการ (2) ปรับปรุงแก้ไขปัญหาคุณภาพ การบริการในด้านต่าง ๆ (3) พัฒนาวิทยากร/นักสื่อความหมายให้มีคุณภาพ และ (4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้คุณภาพการบริการItem กระบวนการยกระดับสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2023) จิรัฐ ชวนชม; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พรเพ็ญ ไตรพงษ์; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; สฤษดิ์ ศรีโยธิน; ขจีนุช เชาวนปรีชา; นงลักษณ์ โพธิ์ไพจิตร; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศินงานวิจัย เรื่อง กระบวนการยกระดับสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี วัตถุประสงค์ของ การวิจัยเพื่อศึกษาความคาดหวังและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของนวัตกรรมการบริการการท่องเที่ยว ความสามารถการบูรณาการทางเทคโนโลยี ความร่วมมือในการจัดการการท่องเที่ยว ความเข้มแข็งของชุมชน การประเมินโอกาสทางการตลาดการท่องเที่ยว การประเมินสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ การประเมินสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวและสร้างกระบวนการการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยวิธีการแบบเจาะจง รวมผู้ให้ข้อมูลสำคัญรวมทั้งสิ้นจำนวน 50 คน การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับเกษตรกรในพื้นที่ จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ คะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ผลการวิจัยมีดังนี้ ความคาดหวังในการรับบริการต่อนวัตกรรมการบริการการท่องเที่ยว เชิงนิเวศเกษตรในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.19, S.D. = .69) ส่วนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.36, S.D. = .75) ความคาดหวังในการรับบริการต่อความสามารถการบูรณาการทางเทคโนโลยีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.14, S.D. = .70) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.34, S.D. = .74) ความคาดหวังในการรับบริการต่อความร่วมมือในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศใน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .71) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.39, S.D. = .75) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .71) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.39, S.D. = .75) ความคาดหวังในการรับบริการต่อความเข้มแข็งของชุมชนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .69) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .69) ความคาดหวังในการรับบริการต่อประเมินโอกาสทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศใน ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅ = 4.21, S.D. = .72) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อประเมินโอกาสทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.35, S.D. = .73) ความคาดหวังในการรับบริการต่อประเมินสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X̅ = 4.21, S.D. = .70) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 3.43, S.D. = .75) การประเมินสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.02, S.D. = .50) สำหรับกระบวนการการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อ เพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การดำเนินการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง โดยการดำเนินการเกษตรแบบครัวเรือนในการพึ่งพาตนเองและการรวมกลุ่มของเกษตรกรในพื้นที่เพื่อการพึ่งพาตนเอง ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรร่วมกับมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน ในการนำความรู้มาช่วยเหลือเกษตรในพื้นที่ในการพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และ ขั้นตอนที่ 3 การยกระดับเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม นำแนวคิดทางการบริหารมาปรับใช้ในการเกษตร ประกอบการตลาดดิจิทัลและนวัตกรรมการผลิตItem กระบวนการสร้างคุณค่าจากทุนทางสังคมวัฒนธรรมสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน ตำบลผาปัง อำเภอแม่พริก จังหวัด ลำาปาง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ขวัญนภา สุขคร; เสาวธาร สมานิตย์; ฐิติวรฎา ใยสำลี; สิทธา พงษ์ศักดิ์; สิรณัฐเศรษฐ สุภาจันทรสุข; ไผทเทพ ตุทานนท์; พัชพร วิภาศรีนิมิตการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อถอดบทเรียนการจัดการชุมชนบนฐานการพัฒนาตามศักยภาพและบริบทของชุมชน 2) เพื่อสังเคราะห์และนำเสนอกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน และ 3) เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลผาปัง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง ผลจากการวิจัยจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ เช่น ด้านวิชาการเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ (Paradigm shift) ของกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของ ชุมชน ด้านนโยบายได้ต้นแบบกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็ง และยั่งยืนของชุมชนที่สามารถประยุกต์ใช้ในพัฒนาชุมชนในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศได้ ด้านเศรษฐกิจการพัฒนาเกิดกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชน และเป็นกระบวนการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับทุกมิติของชุมชน พัฒนาจากฐานความรู้และสร้างมูลค่าเพิ่มจากทุนทางสังคมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ นำไปสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืนเศรษฐกิจชุมชน และภาพรวมของประเทศ และด้านสังคมและชุมชน เกิดกระบวนการในเชิงคุณค่านำไปสู่การพัฒนาชุมชนในมิติอย่างสมดุล ในการวิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR = Participatory Action Research) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ถูกต้อง และมีความน่าเชื่อถือจึง ได้กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจะมีความหลากหลายรูปแบบในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลตามประเภทของข้อมูลที่รวบรวมจากแหล่งต่าง ๆ ประกอบด้วย การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดเวทีประชาคม เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประชุมเชิงปฏิบัติการ สนทนากลุ่ม (Focus Group) การสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลทุติภูมิ โดยการรวบรวมมาจากหนังสือ ตำรา บทความ และงานวิจัยต่าง ๆ นั้นแล้วนำข้อมูลทั้ง 2 ประเภท มาตีความ จัดหมวดหมู่ สังเคราะห์ และวิเคราะห์ตามประเด็นที่กำหนด และมีการนำเครื่องมือมาตรวจสอบหาค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งมีค่า IOC ที่หาได้คือ 1.00 ผลของการวิจัยได้มาซึ่งกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็ง และยั่งยืนของชุมชนในรูปแบบ PHAPANG Model ประกอบด้วย กระบวนการที่ 1: ศักยภาพและทุนชุมชน มีการพัฒนาอย่างสมดุลและครอบคลุมทุก มิติ (P: Potential and community capital with balanced development and covering all dimensions) กระบวนการที่ 2: กระบวนการพัฒนาทุนมนุษย์ บนฐานองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างกระบวนการเชิงคุณค่าของชุมชน (H: Human capital development process on the basis of knowledge and innovation to create a value process for the community) กระบวนการที่ 3: การจัดการและการสร้างนวัตกรรมเพื่อการจัดการชุมชนด้วย กระบวนการจัดการความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ (A: Administration and innovation for community management with creative conflict management processes) กระบวนการที่ 4: การมีส่วนร่วมและเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมที่ยึดโยงฐานวัฒนธรรม วิถี ความเชื่อ อัตลักษณ์ และตัวตนของคนในชุมชน (P: Participation and strengthen the participation process that adheres to the cultural base, the way of belief, community identity and identity of people in the community) กระบวนการที่ 5: อัตลักษณ์ท้องถิ่นและการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ชุมชนต้นแบบ ความสุข สร้างสรรค์ ยั่งยืน (A: Authentic Local Identity and Creating Community’s Identity Brands for sustainable creative happiness) กระบวนการที่ 6: ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ (N: Notable local identity products) กระบวนการที่ 7: คุณค่าที่แท้จริงและกระบวนการสร้างคุณค่าและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยใช้ฐานภูมิปัญญาของชุมชน (G: Genuine value creation and the process of value creation and utilization of natural resources and the environment by adapting the local wisdom base) จากการวิเคราะห์บริบทชุมชน ศักยภาพความพร้อมของชุมชน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายในและภายนอกชุมชน โดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นำไปสู่การกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชุมชนร่วมกัน โดยได้ข้อสรุปภาพอนาคตและทิศทางการพัฒนาโดยนำเสนอใน 2 ประเด็นดังนี้ ประเด็นที่ 1 วิสัยทัศน์ในการพัฒนาชุมชน (วิสัยทัศน์: ชุมชนต้นแบบการจัดการชุมชนเชิงคุณค่า (ความสุข สร้างสรรค์ ยั่งยืน) ประเด็นที่ 2 ยุทธศาสตร์การพัฒนา โดยกำหนดแนวทางและ ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมโดยนำเสนอยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชุมชน ตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมใน 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) การจัดการองค์ความรู้ชุมชนและการบูรณาการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนโดยใช้กระบวนการเชิงคุณค่าเป็นฐานในการพัฒนา 2) เสริมสร้างศักยภาพการจัดการชุมชนเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมวิถีอัตลักษณ์ 3) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยใช้ฐานภูมิปัญญาของชุมชน และ 4) เสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาชุมชนในทุกมิติอย่างสมดุล โดยใช้ฐานภูมิปัญญาและนวัตกรรมItem กระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพ ในตําบลโคกโคเฒ่า อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีเอกชัย พุมดวง | ยุสนีย์ โสมทัศน์การวิจัยเรื่องกระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพ ในตำบลโคกโคเฒ่า อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ 1) เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มอาชีพในชุมชนตำบลโคกโคเฒ่า และ 2) เพื่อพัฒนาศักยภาพของสมาชิกกลุ่มอาชีพให้มีความสามารถในการบริหารจัดการกลุ่มตามแนวคิดเศรษฐกิจชุมชน โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และใช้กระบวนการจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือในการสืบค้นและสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน ผลจากการวิจัยเป็นดังนี้ 1) การสร้างกระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มอาชีพในชุมชน พบว่า มีกลุ่มอาชีพของชุมชน จํานวน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มจักสานกระเป๋า กลุ่มทำขนมไทย และกลุ่มทําปุ๋ยอินทรีย์ในการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ โดยใช้การจัดการความรู้ (KM) เป็นเครื่องมือซึ่งพบว่า ประกอบกลุ่มอาชีพในชุมชนได้ใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ การสร้างความรู้ การถ่ายทอดความรู้ และการใช้ความรู้ แต่ยังขาดการจัดเก็บและการสืบค้นความรู้ นอกจากนี้ กลุ่มอาชีพมีการวิเคราะห์ศักยภาพของกลุ่มการวิเคราะห์ปัญหา และการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน การศึกษาดูงานจากแหล่งเรียนรู้ต้นแบบ โดยมีการกำหนดโจทย์ในการศึกษาดูงานของชุมชนต้นแบบ ณ แหล่งเรียนรู้ดอนหวาย-ท่าจีน เพื่อศึกษาเรียนรู้แนวทางในการบริหารจัดการและการดำเนินงานของกลุ่มอาชีพ การประกอบธุรกิจชุมชน ผลิตภัณฑ์ชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น 2) การพัฒนาศักยภาพของสมาชิกกลุ่มอาชีพให้มีความสามารถในการบริหารจัดการกลุ่มตามแนวคิดเศรษฐกิจชุมชนด้วยการถอดบทเรียนจากการศึกษาดูงานของชุมชนต้นแบบ การนำมาพัฒนากลยุทธ์ของกลุ่มอาชีพตำบลโคกโคเฒ่าให้มีความสามารถในการบริหารจัดการกลุ่มตามแนวคิดเศรษฐกิจชุมชน ออกได้เป็น 3 กลยุทธ์ คือ 1) พัฒนาผผลิต ผู้ประกอบการ และการตลาด ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพกลุ่มผผลิต และการส่งเสริมช่องทางการตลาด 2) พัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนด้วยองค์ความรู้ ด้วยการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ และการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ และ 3) การสร้างกระบวนการเรียนรู้และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยการสืบค้น รวบรวม และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นItem กลยุทธ์การจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน กรณีศึกษาตำบลโคกโคเฒ่า อําเภอเมือง จังหวดสุพรรณบุรีเรณุมาศ กุละศิริมา | นุจิรา รัศมีไพบูลย์ | เอกชัย พุมดวง | เปรมฤทัย แย้มบรรจงการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบรบทของชุมชนโคกโคเฒ่าในการจัดการความรู้ สร้างกระบวนการจัดการความรู้ของครอบครัว เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของประชาชนในชุมชนโคกโคเฒ่า หาแนวทางในการจัดการความรู้โดยใช้เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ชุมชน สร้างกระบวนการเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพในตำบลโคกโคเฒ่า และหาแนวทางในการสร้างกลยุทธ์การจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชนในตำบลโคกโคเฒ่า อําเภอเมือง จังหวดสพรรณบุรี เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตประชากรประกอบด้วยประชาชนในตำบลโคกโคเฒ่า ผู้บริหารทองถิ่นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาชุมชน กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มจากประชากรที่กําหนดโดยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จํานวน 10 คน เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการสัมภาษณ์เชิงลึก ดําเนินการวิจัยแบบผสมผสานด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสมภาษณ์ และแบบประเมินวิเคราะห์เนื้อหาและวิเคราะห์ SWOT สถิติที่ใช้ในการประเมินผลความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของกลยุทธ์เป็นค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของประชาชนในชุมชนโคกโคเฒ่า พบว่า ในการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตใน 3 ด้าน ชุมชนมีจุดอ่อนและต้องการให้มีการจัดการความรู้และพัฒนามากที่สุดของแต่ละทักษะดังนี้ 1) ทักษะการดารงชีวิตประจาวัน คือ ด้านความสามารถในการบริหารจัดการระบบการเงิน 2) ทักษะเฉพาะบุคคลและทักษะทางสังคม คือ ด้านการสร้างความมั่นใจในตนเอง 3) ทักษะการประกอบอาชีพ คือ ด้านความสามารถในการประกอบอาชีพในการแก้ไขปัญหาในกระบวนการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตในแตละด้านควรใช้แนวทางในการจัดการความรู้ให้เป็นระบบการเข้าถึงความรู้ควรมีการติดต่อผ่านผู้นําหรือบุคคลที่สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ หรือใช้วิธีติดต่อผ่านเครือข่ายกลุ่มผู้ร่วมอาชีพ และในการถ่ายทอดและแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ควรมีการสร้างกลุ่มเรียนรู้เฉพาะขึ้นมา เพื่อให้มีการถ่ายทอดและแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ที่ตรงกับความต้องการของสมาชิกในกลุ่ม 2. การจัดการความรู้โดยใช้เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ชุมชน ตําบลโคกโคเฒ่า พบว่า องค์ประกอบของการจัดการความรู้ชุมชน 3 ประการ คือ คน เทคโนโลยี และกระบวนการ สําหรับชุมชนโคกโคเฒ่าส่วนใหญ่ประชาชนมีการศึกษาระดับพื้นฐาน มีผู้บริหารท้องถิ่นและกลุ่มผู้นําชุมชนมีประสบการณ์ มีศักยภาพในการบริหารจัดการภายในกลุ่มของชุมชน มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีการสืบทอดความรู้จากครูภูมิปัญญาท้องถิ่น/ปราชญ์ชาวบ้าน ชุมชนมทรัพยากรบุคคลจากโรงเรียน/มหาวิทยาลัย และองค์กรท้องถิ่นที่มีความรู้ความสามารถเป็นผู้อํานวยให้เกิดกระบวนการจัดการความรู้ชุมชน วัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนในชุมชนส่วนใหญ่มีการเรียนรู้เพื่อการประกอบอาชีพ ไม่มีการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกจัดเก็บและสืบค้นข้อมูลองค์ความรู้ที่ชุมชนต้องการเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และในกระบวนการจัดการความรู้ของชุมชน มีการแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และถ่ายทอดความรู้ให้แก่สมาชิกในกลุ่มโดยผู้นําชุมชน ไม่มีการจัดตั้งเครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ กระบวนการจัดการความรู้ชุมชนยังไมเป็นระบบ การดำเนินงานให้เกิดผลอย่างจริงจังเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เนื่องจากไม่มีหน่วยงาน/กลุ่มทีมงานที่จะจัดการความรู้ของชุมชน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ของชุมชนมีน้อย 3. การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพ ในตำบลโคกโคเฒ่า พบว่ามี 3 กลุ่มดังนี้ 1) กลุ่มจักสานกระเป๋า โดยกลุ่มสูตรแม่บ้าน บ้านสามหน่อ หมู่ที่รวมกลุ่มกันเพื่อสร้างอาชีพเสริมด้านการจักสานจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายทอดจากครูภูมิปัญญาท้องถิ่น 2) กลุ่มขนมไทย โดยกลุ่มสูตรแม่บ้านตำบลโคกโคเฒ่า และผู้นําหมู่บ้านเป็นแกนนำในการจัดตั้งกลุ่มทํางานในรูปกระบวนการกลุ่มช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเชี่ยวชาญในการทำขนมไทย มีการรวมกลุ่มกันทำขนมไทยเป็นอาชีพเสริมในช่วงเวลาว่างงาน และกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านสามหน่อ ได้รวมกลุ่มกันทำขนมกระยาสารท เพื่อจำหน่ายในเทศการทำบุญ 3) กลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ โดยมีคณะกรรมการเข้าร่วม 15 คน มีความเชี่ยวชาญในการทำปุ๋ยอินทรีย์ จดทะเบียนเป็นกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ขึ้นในปี 2551 ได้ผลิตสำหรับใช้ในชุมชนและชุมชนใกล้เคียงเพื่อลดต้นทุนการผลิต และมีการพัฒนาเป็นการผลิตปุ๋ยเม็ด มีตราผลิตภัณฑ์ “เพชร พานทอง” บรรจุถุงจัดจำหน่ายทั้งภายในและภายนอกชุมชน 4. กลยุทธ์การจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชนโคกโคเฒ่ามี 3 กลยุทธ์ ดังนี้ 1) กลยุทธ์ในการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของประชาชนในตําบลโคกโคเฒ่า ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ คือ การพัฒนาทักษะการดำรงชีวิตประจำวัน การพัฒนาทักษะเฉพาะบุคคลและทักษะทางสังคม และการพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพ 2) กลยุทธ์การจัดการความรู้โดยใช้เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ชุมชนโคกโคเฒ่า ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ คือ การพัฒนาทีมงานเครือข่ายการจัดการความรู้ชุมชน การพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ในชุมชนให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาระบบการจัดการความรู้ และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ 3) กลยุทธ์การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพในตำบลโคกโคเฒ่า ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ คือ การพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ของกลุ่มอาชีพ การสร้างและการพัฒนาองค์ความรู้ การพัฒนาระบบการจัดเก็บและการสืบค้นความรู้ และการสร้างและพัฒนาภาคเครือข่ายการจัดการความรู้Item กลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์สำหรับมหาวิทยาลัยใหม่ : กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตดนัย เทียนพุฒ | สุริยะ เจียมประชานรากร | จิรัสย์ ศิรศิริรัศม์ | ราเชนทร์ บุญลอยสงการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยแห่งความสำเร็จด้านการจัดการทุนมนุษย์ที่กำหนดทิศทาง และบริบทของมหาวิทยาลัยใหม่ และสร้างกลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์ ใน 2 ระดับ ทั้งระดับมหาวิทยาลัย และระดับปฏิบัติการ พร้อมจัดทำข้อเสนอในการกำหนดโครงสร้าง และระบบการจัดการทรัพยากรบุคคลที่รองรับกลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์สำหรับมหาวิทยาลัยใหม่: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต การวิจัยครั้งนี้เป็นวิธีการวิจัยแบบผสม (Mixed Methodology) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ มีกระบวนการจัดทำวิจัย 4 ขั้นตอน คือ 1) การวิจัยเอกสาร (Documentary Research) เพื่อจัดทำร่างต้นแบบกลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์สำหรับมหาวิทยาลัยใหม่ 2) การสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญของมหาวิทยาลัยจำนวน 17 คน เพื่อพัฒนาต้นแบบกลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์สำหรับมหาวิทยาลัยใหม่ 3) การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาคมสวนดุสิตต่อต้นแบบกลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์สำหรับมหาวิทยาลัยใหม่ จากประชากร จำนวน 1,870 คน และทำการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบได้จำนวน 330 คน ใช้แบบสอบถามความคิดเห็นกับกลุ่มตัวอย่าง โดยได้รับกลับคืนมา จำนวน 275 คน คิดเป็นร้อยละ 83.33 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์เนื้อหา 4) การยืนยันความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของกลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์สำหรับมหาวิทยาลัยใหม่ ด้วยการจัดทำกลุ่มสนทนากับผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 14 คน และนำเสนอให้กับผู้บริหารระดับสูงและผู้รับผิดชอบด้านการบริหาร HR ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ซึ่งได้รับคำแนะนำให้เพิ่มเติมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practices) ด้านการบริหาร HR ที่ผ่านมาผลการวิจัย พบว่า 1. ปัจจัยแห่งความสำเร็จ (Key Success Factors : KSFs) ด้านการจัดการทุนมนุษย์ที่กำหนดทิศทางและบริบทของมหาวิทยาลัยใหม่ภายใต้การกำกับของรัฐที่สามารถรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี พ.ศ. 2558 (AEC 2015) มี 4 ปัจจัยแห่งความสำเร็จ คือ การกำหนด ตำแหน่ง สมรรถภาพคนเก่ง การประสานกลมกลืน และการปรับเปลี่ยนองค์กร ทั้งนี้ได้รับแรงขับเคลื่อนจากต้นแบบความเป็นผู้นำทางการศึกษาของอธิการบดี (ในวาระของรองศาสตราจารย์ ดร. ศิโรจน์ ผลพันธิน) และวิธีคิดอย่างเป็นระบบของความเป็นผู้นำ (Leadership System Thinking) 2. การสร้างกลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์สำหรับมหาวิทยาลัยใหม่: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต มี 2 ระดับ ระดับมหาวิทยาลัย ได้แก่ วิสัยทัศน์ พันธกิจ นโยบายกลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์ และระดับปฏิบัติการ ได้แก่ กระบวนการและการปฏิบัติด้านการบริหาร HR พบว่า 2.1 การคิดและวางแผนกลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์ ประกอบด้วย (1) กลยุทธ์การจัดการทุนมนุษย์ (Strategic Human Capital Management: SHCM) มี 3 องค์ประกอบ คือ การคิดและการวางแผนกลยุทธ์ การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติและการวัดความสำเร็จซึ่งต้องวัดอย่างครบวงจร (2) การกำหนดนโยบายด้านการจัดการทุนมนุษย์ จัดทำโดยคณะกรรมการนโยบายด้าน HR ระดับมหาวิทยาลัย ต้องมีการประสานกลมกลืนระหว่างสภามหาวิทยาลัย คณะกรรมการนโยบายด้าน HR และสำนักบริหารกลยุทธ์ในการจัดทำ SHCM ส่วนกองบริหารงานบุคคลรับผิดชอบในด้านปฏิบัติการโดยคณะกรรมการนโยบายด้าน HR ควรมีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกด้าน HR มืออาชีพ ด้านการตลาด และการสื่อสาร รวมถึงกรรมการที่เป็นคนรุ่นใหม่ 2.2 การนำ SHCM ไปสู่การปฏิบัติโดยใช้รูปแบบโครงสร้างการบริหาร HR มีหน่วยงานระดับ มหาวิทยาลัยกำหนดกลยุทธ์ และหน่วยงานระดับปฏิบัติการ ได้แก่ คณะ โรงเรียนหรือสำนักกิจการพิเศษ ดูแลรับผิดชอบการบริหาร HR ในหน่วยงานของตนเองได้อย่างอิสระ และสำหรับกลยุทธ์การพัฒนาทุนมนุษย์ประกอบด้วยรูปแบบการพัฒนาตนเอง และการพัฒนาผู้อื่นให้มีความเชี่ยวชาญตามอัตลักษณ์ รวมถึงการวางแผนสืบทอดตำแหน่งผู้บริหาร และการสร้างความเป็นสวนดุสิต 2.3 การวัดความสำเร็จ SHCM มี (1) การวัดภาพรวมของมหาวิทยาลัยโดยการบูรณาการด้านการวัดที่กำหนดโดยหน่วยงานระดับนโยบายด้านการศึกษาและวัดจากการจัดอันดับ มหาวิทยาลัยระดับสากลและนวัตกรรมที่มหาวิทยาลัยจะใช้ในการแข่งขัน (2) การวัด SHCM ใช้การวัดผลปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่ และการวัดความสำเร็จจากภายนอกในศักยภาพของบุคลากรกับความมีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย 3. การจัดทำข้อเสนอในการกำหนดโครงสร้างและระบบบริหาร HR สำหรับรองรับ SHCM 3.1 แนวคิดการจัดการทุนมนุษย์ต้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ มสด. ปี 2557-2560 โดย มสด. นำปรัชญาสมรรถนะ และความเป็นสวนดุสิต หล่อหลอมเป็นค่านิยมหลัก (Core Values) ของ มสด. และวิสัยทัศน์ พันธกิจ ของกองบริหารงานบุคคล ต้องพัฒนาความเชี่ยวชาญเพื่อการสนับสนุน มสด. สู่ความสำเร็จตามปรัชญาและวิสัยทัศน์ 3.2 การปฏิบัติที่ผ่านมาสู่ความเป็นเลิศของ มสด. โดยการริเริ่มของ อธิการบดี รองศาสตราจารย์ ดร.ศิโรจน์ ผลพันธิน ในการบริหารงานบุคคล ประกอบด้วย 1) การสรรหา 2) หลักการว่าจ้าง 3) การประเมินสรรถนะของแต่ละบุคคล 4) การมอบหมายงาน 5) การพัฒนาพร้อมทั้งมีวิธีการเตรียมผู้บริหาร การสร้างผลงานที่มุ่งสู่ความเป็นเลิศการสื่อสาร และการปฏิบัติงาน ที่มุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่รอดได้อย่างยั่งยืน 3.3 ข้อเสนอการขับเคลื่อน SHCM ประกอบด้วย (1) คิดและวางแผน SHCM ใน 3 ขอบเขต คือ 1) โอกาสเพื่อการสร้างสรรค์ 2) การจูงใจและทุ่มเท และ 3) การออกแบบระบบงาน HR ใหม่ พร้อมการปรับเปลี่ยนด้านการปฏิบัติของ HR ด้วยการจัดวาง การบูรณาการ และนวัตกรรม (2) การนำ SHCM ไปสู่การปฏิบัติใน 4 ด้านหลักที่สำคัญ คือ 1) คนเก่ง 2) ผลงาน 3) สารสนเทศ) และ 4) งานของ HR พร้อมการปรับเปลี่ยนในการปฏิบัติของ HR ด้วยการจัดวางการบูรณาการ และนวัตกรรม เช่นเดียวกันItem กลยุทธ์การตลาดการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน : กรณีศึกษาเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนากมลกนก เกียรติศักดิ์ชัย; ศริญา ประเสริฐสุด; ภัฏฆ์ชนิศา ชัยสุขสุวรรณการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคาดหวังและความพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา เพื่อศึกษากลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (7 P’s) ที่มีผลต่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา และเพื่อศึกษาหาแนวทางในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (7 P’s) ในการจัดการการท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่เขตอารยธรรมล้านนา คือจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ จำนวน 468 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified Sampling) ส่วนกลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ คือ กลุ่มผู้นำชุมชนผู้ประกอบการภาคองค์กรเอกชนด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย และกลุ่มสนับสนุนเชิงนโยบาย จากการวิเคราะห์ กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (7 Ps) ในเขตพื้นที่พัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนานั้น พบว่า ผู้ประกอบการ ชุมชนท้องถิ่น รวมไปถึงหน่วยงานของภาครัฐ ได้ปรับตัวเพื่อให้เท่าทันความต้องการและจำนวนนักท่องเที่ยวจีนซึ่งส่งผลดีทางเศรษฐกิจทั้งในระดับชุมชน และประเทศ อย่างไรก็ตามเพื่อมุ่งสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ข้อเสนอแนะสำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนในระยะยาว ส่วนประสมทางการตลาดควรครอบคลุมการดูแล รับผิดชอบทางสังคม และสิ่งแวดล้อม แนวทางการใช้กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนจึงควรประกอบด้วย กลยุทธ์การตลาดการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน: กรณีศึกษาเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา 13 ประการ (13 Ps) ดังนี้ 1. กลยุทธ์ด้านการวางแผน (Planning) เป็นการปรับตัวของทุกภาภส่วนตั้งแต่การออกแบบพื้นที่ การดูแลทางกายภาพ ทางพฤติกรรมและทัศนคติทางการท่องเที่ยวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีน 2. กลยุทธ์ด้านบุคลากรทางการท่องเที่ยวและการบริการ (People) บุคลากร ผู้ประกอบการ เจ้าของชุมชน และลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวต้องได้รับการศึกษา และฝึกฝนให้เข้าใจบทบาทของตนเองเพื่อการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ยั่งยืน 3. กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ (Product) สามารถออกแบบผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเพื่อตอบสนองความต้องการและสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวได้ 4. กลยุทธ์ด้านการวางตำแหน่งทางการตลาด (Positioning) การเลือกจุดยืนนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ และลักษณะตัวตนที่แท้จริงเพื่อรับรองนักท่องเที่ยวจีน 5. กลยุทธ์ด้านการตั้งราคา (Price) ตั้งราคาที่สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ล้านนา 6. กลยุทธ์ด้านกระบวนการทางการท่องเที่ยวและการบริการ (Process) มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการให้บริการที่เหมาะสมกับชุมชน สร้างมาตรฐานและขั้นตอนจนเกิดเป็นระบบของชุมชนในเขตอารยธรรมล้านนา 7. กลยุทธ์ด้านการนำเสนอและการบรรจุผลิตภัณฑ์ (Presentation / Packaging) มีการออกแบบและนำเสนอสินค้าและบริการที่สะท้อนเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของชุมชน โดยมีมาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ และมีความปลอดภัย 8. กลยุทธ์ด้านสถานที่ (Place) ทุกจุดสัมผัสในการขายสินค้าและการให้บริการต้องทำให้นักท่องเที่ยวสามารถรับรู้ได้ถึงประสบการณ์การท่องเที่ยวในเขตอารยธรรมล้านนาและสร้างความสะดวกสบายในการให้และรับบริการ 9. กลยุทธ์ด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) ต้องเคลื่อนไหวให้ทันเวลาเพื่อสร้างกระแสสังคมในรูปแบบที่ยังคงความเป็นตนเองของอารยธรรมล้านนาที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของท้องถิ่น 10. กลยุทธ์ด้านการให้ความมั่นสัญญา (Promise) ต้องสามารถให้คำมั่นสัญญา และปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวทั้งก่อนและหลังการเพื่อสร้างความจงรักภักดี (Loyalty) เพื่อกลับมาเยือนเขตอารยธรรมล้านนาอีก 11. กลยุทธ์ด้านการรับรู้ (Perception) สร้างความเข้าใจและสร้างจุดยืนที่เหมาะสมของชุมชนเขตอารยธรรมล้านนาเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดวัฒนธรรมล้านนาที่ถูกต้อง 12. กลยุทธ์ด้านการพิสูจน์ / ความน่าเชื่อถือ (Prove) ให้ความเชื่อมั่นและสามารถพิสูจน์ได้ว่าการมาท่องเที่ยวในแต่ละครั้ง สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ ส่งผลต่อการบอกต่อความประทับใจในศักยภาพทางการท่องเที่ยวและการบริการของชุมชนล้านนาที่มีต่อนักท่องเที่ยวจีน 13. กลยุทธ์ด้านการตอบแทน / สิ่งที่ได้รับกลับคืน (Payday) ผลที่ได้หลังจากส่วนประสมการตลาดทุกตัวก่อให้เกิดการสืบต่อทางด้านสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตที่มีคุณค่า ภูมิปัญญาและเอกลักษณ์ของอารยธรรมล้านนา ซึ่งส่งผลต่อความยั่งยืนในการท่องเที่ยวในเขตอารยธรรมล้านนาItem กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรองรับสังคมสูงวัย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) กรวินท์ เขมะพันธุ์มนัส; กนกวรรณ ไทยประดิษฐการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุ 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคสูงอายุที่มีต่อร้านอาหารออนไลน์ และ 3) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรับสังคมสูงวัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นประชากรเป็นผู้สูงอายุในจังหวัดตรัง ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยในขั้นตอนแรกใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ จํานวน 10 คน แล้วนําไปสรุป เพื่อจัดทําแบบสอบถาม และเก็บข้อมูลในขั้นตอนที่สอง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในจังหวัดตรัง จํานวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจง ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความต้องการ้านอาหารออนไลน์ ของผู้บริโภคสูงอายุ ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสํารวจ แบบ Principal component analysis และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับการยอมรับด้วยการวิเคราะห์ด้วยสถิติกําลังสองน้อยที่สุดบางส่วน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุ ผู้สูงอายุมีระดับการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีความสนใจที่จะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์ และมีแนวโน้มจะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์ด้วยตนเองในระดับมาก และจะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์อย่างต่อเนื่องในระดับปานกลาง โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้สูงอายุ มีจํานวน 4 ปัจจัย เรียงลําดับความสําคัญ คือ ความเคยชิน สภาพสิ่งอํานวยความสะดวกในการใช้งานแรงจูงใจด้านความบันเทิง และอิทธิพล ของสังคม 2. พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคสูงอายุที่มีต่อร้านอาหารออนไลน์ ผู้สูงอายุมีความคิดจะสั่งอาหารออนไลน์จากอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ เดือนละ 1 - 3 ครั้ง ผ่านแอปพลิเคชันของร้านค้า และเลือกสั่งอาหารเพื่อสุขภาพ โดยจะจ่ายเงินสั่งอาหารออนไลน์ 100 299 บาทต่อครั้ง และจะจ่ายเงินค่าบริการจัดส่งอาหารจากร้านออนไลน์ 30 - 40 บาทต่อครั้ง โดยใหความสําคัญต่อบรรจุภัณฑ์ที่เก็บอาหารได้อย่างมิดชิด ถูกหลักอนามัย จัดส่งอาหารอย่างรวดเร็ว มีบริการจัดส่งอาหารถึงบ้าน และอาหารต้องปรุงสดใหม่ 3. กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรองรับสังคมสูงวัย (กลยุทธ์ 5Cs) Cleanliness (ความปลอดภัย) เกี่ยวข้องกับคุณภาพของอาหาร คุณค่าทางโภชนาการ วัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหาร และภาชนะบรรจุอาหารที่สะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารที่เป็นอันตราย เหมาะสมกับราคา และผลิตจากร้านค้าที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ Confident (ความมั่นใจ) เกี่ยวข้องกับการเชื่อถือในตัวร้านอาหารออนไลน์ โดยได้รับข้อมูล แนะนําจากบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือจากสื่อต่างๆ รวมทั้ง มีร้านอาหารที่เป็นตัวอาคาร (Brick and mortar) ที่ก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้บริโภคสูงอายุ Conveyance (กระบวนการจัดส่ง) เกี่ยวข้องกับกระบวนการสั่งอาหาร มีช่องทางการสั่งอาหารที่สะดวก มีภาพอาหารให้เลือก จัดส่งอาหารถึงที่พัก และการรับชําระค่าอาหารปลายทาง Character (คุณลักษณะ) เกี่ยวกับภาพลักษณ์ของอาหารสวยงามน่ารับประทาน ลักษณะของอาหารปรุงสดใหม่ สามารถเก็บรักษาได้นาน และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน Convenience (ความสะดวก) ที่ช่วยให้การดําเนินชีวิตของผู้สูงอายุมีความสะดวกยิ่งขึ้น ได้แก่ จัดส่งอาหารอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องประกอบอาหารเอง ทําให้ประหยัดเวลาการปรุงอาหารหรือ การออกไปรับประทานนอกบ้านItem กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรองรับสังคมสูงวัย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) กรวินท์ เขมะพันธุ์มนัส; กนกวรรณ ไทยประดิษฐการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุ 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคสูงอายุที่มีต่อร้านอาหารออนไลน์ และ 3) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรับสังคมสูงวัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นประชากรเป็นผู้สูงอายุในจังหวัดตรัง ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย การวิจัยคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยในขั้นตอนแรกใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ จํานวน 10 คน แล้วนําไปสรุป เพื่อจัดทําแบบสอบถาม และเก็บข้อมูลในขั้นตอนที่สอง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ผู้สูงอายุที่พักอาศัยอยู่ในจังหวัดตรัง จํานวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจง ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความต้องการร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุ ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสํารวจ แบบ Principal component analysis และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับการยอมรับด้วยการวิเคราะห์ด้วยสถิติกําลังสองน้อยที่สุดบางส่วน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้บริโภคสูงอายุผู้สูงอายุมีระดับการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีความสนใจที่จะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์ และมีแนวโน้มจะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์ด้วยตนเองในระดับมาก และจะสั่งอาหารจากร้านอาหารออนไลน์อย่างต่อเนื่องในระดับปานกลาง โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับร้านอาหารออนไลน์ของผู้สูงอายุ มีจํานวน 4 ปัจจัย เรียงลําดับความสําคัญ คือ ความเคยชิน สภาพสิ่งอํานวยความสะดวกในการใช้งาน แรงจูงใจด้านความบันเทิง และอิทธิพลของสังคม 2. พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคสูงอายุที่มีต่อร้านอาหารออนไลน์ ผู้สูงอายุมีความคิดจะสั่งอาหารออนไลน์จากอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ เดือนละ 1 - 3 ครั้ง ผ่านแอปพลิเคชันของร้านค้า และเลือกสั่งอาหารเพื่อสุขภาพ โดยจะจ่ายเงินสั่งอาหารออนไลน์ 100-299 บาทต่อครั้ง และจะจ่ายเงินค่าบริการจัดส่งอาหารจากร้านออนไลน์ 30 - 40 บาทต่อครั้ง โดยให้ความสําคัญต่อบรรจุภัณฑ์ที่เก็บอาหารได้อย่างมิดชิด ถูกหลักอนามัย จัดส่งอาหารอย่างรวดเร็ว มีบริการจัดส่งอาหารถึงบ้าน และอาหารต้องปรุงสดใหม่ 3. กลยุทธ์การตลาดร้านอาหารออนไลน์เพื่อรองรับสังคมสูงวัย (กลยุทธ์ 5Cs) Cleanliness (ความปลอดภัย) เกี่ยวข้องกับคุณภาพของอาหาร คุณค่าทางโภชนาการ วัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหาร และภาชนะบรรจุอาหาร ที่สะอาด ปลอดภัย ปราศจากสารที่เป็นอันตราย เหมาะสมกับราคา และผลิตจากร้านที่ค่าที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ Confident (ความมั่นใจ) เกี่ยวข้องกับการเชื่อถือในตัวร้านอาหารออนไลน์ โดยได้รับข้อมูล แนะนําจากบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือจากสื่อต่าง ๆ รวมทั้ง มีร้านอาหารที่เป็นตัวอาคาร (Brick and mortar) ที่ก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้บริโภคสูงอายุ Conveyance (กระบวนการจัดส่ง) เกี่ยวข้องกับกระบวนการสั่งอาหาร มีช่องทางการสั่ง อาหารที่สะดวก มีภาพอาหารให้เลือก จัดส่งอาหารถึงที่พัก และการรับชําระค่าอาหารปลายทาง Character (คุณลักษณะ) เกี่ยวกับภาพลักษณะของอาหารสวยงามน่ารับประทาน ลักษณะ ของอาหารปรุงสดใหม่ สามารถเก็บรักษาได้นาน และใช้บรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน Convenience (ความสะดวก) ที่ช่วยให้การดําเนินชีวิตของผู้สูงอายุมีความสะดวกยิ่งขึ้น ได้แก่ จัดส่งอาหารอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องประกอบอาหารเอง ทําให้ประหยัดเวลาการปรุงอาหาร หรือการออกไปรับประทานนอกบ้านItem กลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อขยายตลาดการท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวจีนอย่างมีประสิทธิผล: กรณีศึกษาเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนาณัฐพล แย้มฉิม; ศริญา ประเสริฐสุด; กมลกนก เกียรติศักดิ์ชัย; รุ่งนภา เลิศพัชรพงศ์; สุติมา อ่อนแก้ว; วรัตน์ชนก นิภาวรรณ; ดุจตะวัน กันไทยราษฎร์; ภัฏฆ์ชนิศา ชัยสุขสุวรรณ; พิมพ์ชนก สีหาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อขยายตลาดการท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวจีนอย่างมีประสิทธิผล : กรณีศึกษาเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากโครงการย่อย คือ การพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจเชิงวัฒนธรรมและกฎระเบียบทางสังคมในบริบทของอารยธรรมล้านนาให้แก่นักท่องเที่ยวจีน : กรณีศึกษาเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา (เชียงใหม่ – เชียงราย) แนวทางพัฒนาศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยว เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนอย่างมีประสิทธิผล : กรณีศึกษาเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา (เชียงใหม่ – เชียงราย) และกลยุทธ์การตลาดการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน : กรณีศึกษาเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา (เชียงใหม่ – เชียงราย) กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ นักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่เขตอารยธรรมล้านนา คือจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ จำนวน 1,402 คน โดยวิธีการสุ่มแบบสองขั้นตอน (Two-Stage Random Sampling) ส่วนกลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ คือ กลุ่มผู้นำชุมชนผู้ประกอบการภาคองค์กรเอกชนด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย และกลุ่มสนับสนุนเชิงนโยบาย จากการสังเคราะห์ข้อมูลของโครงการวิจัยย่อย และการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและศักยภาพ (SWOT analysis) การพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อขยายตลาดการท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวจีนอย่างมีประสิทธิผล โดยนำเอากลไกธรรมชาติที่ว่าทุกอย่างต้องมีสองด้านเสมอ หรือยึดหลักของ Edward De Bano ที่ระบุว่าการพิจารณาสิ่งใดให้มองด้านตรงกันข้ามด้วยทำสามารถเปลี่ยน W " S และ T " O ทำเหลือแต่ SO ที่สามารถจัดทำ “กลยุทธ์นาทีทอง” และในการทำกลยุทธ์ใดๆ เป็นที่ทราบทั่วกันว่ากลยุทธ์คือการมองไปข้างหน้าไกลกว่าบุคคลทั่วไป (Step beyond) ซึ่งหมายถึง กลยุทธ์ต้องบ่งบอกวิสัยทัศน์ (Vision = V) ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้น (Value creation) จึงนำไปสู่กลยุทธ์การพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อขยายตลาดการท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวจีนอย่างมีประสิทธิผล ที่เรียกว่า HOST " การเป็นเจ้าบ้านที่ดี โดยมีรายละเอียดดังนี้ H – Hospitality การให้บริการอย่างประทับใจ หมายถึง สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวจีนด้วยการให้บริการด้วยใจบริการ “เขาไม่รู้ ทำอย่างไรให้เขารู้” O - Old Culture การรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิม หมายถึง การคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมล้านนา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ทั้งวัฒนธรรมด้านสถานที่ อาหาร ความเป็นอยู่ การสร้างความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวจีน ให้ได้รู้และเข้าใจวัฒนธรรมอันเก่าแก่ และบอกต่อถึงวัฒนธรรม S – Sustainable การสร้างความยั่งยืน หมายถึง มีกิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย โดยมีชุมชนเป็นผู้ขับเคลื่อน ชุมชนสามารถมีรายได้จากนักท่องเที่ยว ทั้งจากการแสดง ของที่ระลึก สามารถสร้างวัฒนธรรมขายได้ ให้เกิดขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน T – Teammate การทำงานเป็นทีม หมายถึง ความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน สถานศึกษา และคนในชุมชน รวมถึงความร่วมมือของนักท่องเที่ยวจีนที่เที่ยวแบบสร้างสรรค์ไม่ทำลายวัฒนธรรมเดิม เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนItem กลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรอุตสาหกรรมการบริการที่พักเพื่อให้ได้มาตรฐานวิชาชีพ(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) วริษฐา แก่นสานสันติ; รุ่งนภา เลิศพัชรพงศ์; บุญญลักษม์ ตำนานจิตรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพของบุคลากรอุตสาหกรรมด้านที่พัก 2) เพื่อศึกษาความต้องการพัฒนาทักษะวิชาชีพอุตสาหกรรมด้านที่พัก 3) เพื่อประเมินการอบรมการพัฒนาทักษะวิชาชีพอุตสาหกรรมด้านที่พัก และ 4) เพื่อพัฒนาคู่มือการปฏิบัติงานบุคลากรอุตสาหกรรมด้านที่พัก วิธีการดำเนินการวิจัยแบบผสม (Mixed Method Research) ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานโรงแรม ในสถานที่พักในเขตอารยธรรมล้านนา ได้แก่ จังหวัดลำปาง เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูนและน่าน จำนวน 403 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในงานวิจัยใช้จำนวนร้อยละ (Percent) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างประกอบไปด้วย ผู้บริหารโรงแรม นักวิชาการ บุคลากรภาครัฐ และผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว สมาคมการท่องเที่ยว และพนักงานที่พัก โดยการสัมภาษณ์บุคลากรทั้ง 4 กลุ่มละ 5 คน รวม 20 คน โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) โดยอาศัยหลัก/ทฤษฎีการนำเสนอจะใช้วิธีการนำเสนอโดยการเขียนบรรยายเชิงพรรณนา (Descriptive Approach) ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 403 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 21-30 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ทำงานอยู่ในแผนก/ฝ่ายต้อนรับส่วนหน้า มีประสบการณ์การทำงาน ด้านโรงแรม 1-5 ปี มีรายได้รวมทั้งหมด 7,001-10,000 บาท ด้านศักยภาพของบุคลากรอุตสาหกรรมด้านที่พัก พบว่า ภาพรวมกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ มีศักยภาพด้านที่พักในระดับมาก ขณะที่ทักษะด้านภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับน้อยที่สุด ผลการวิเคราะห์ความต้องการในการพัฒนาวิชาชีพอุตสาหกรรมด้านที่พัก พบว่า มีความต้องการพัฒนาตนเองในระดับมาก และหลักสูตรพัฒนาทักษะวิชาชีพที่ต้องการเพิ่มศักยภาพการทำงาน ได้แก่ หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในโรงแรมมากที่สุด และผลจากการสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงแรม พบว่า ต้องการให้พนักงานพัฒนาตนเองด้านจิตวิทยาการบริการและทักษะภาษาอังกฤษ ร้อมที่จะสนับสนุนพนักงานไปอบรมพัฒนาทักษะวิชาชีพตามความเหมาะสม หลังจากที่ได้ทำการอบรมเรียบร้อยแล้ว จึงได้พัฒนาคู่มือการปฏิบัติงานบุคลากรอุตสาหกรรมด้านที่พักให้กับบุคลากรด้านที่พักเพื่อให้ได้ทบทวนและศึกษาซ้ำ และให้บุคลากรที่ไม่ได้เข้าอบรมได้รับความรู้และพัฒนาตนเองได้จากคู่มือเช่นกันItem กลยุทธ์การพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; ภิสุดา แสงซื่อ; นพมาศ กลัดแก้วงานวิจัยเรื่องกลยุทธ์การพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาบริบทของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยว ศักยภาพสูง 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง และ 3) เสนอกลยุทธ์การพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง การศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยแบบผสม ในส่วนของวิธีวิจัยเชิงปริมาณนั้นใช้การแจกแบบสอบถาม จำนวน 826 ชุด แก่นักท่องเที่ยวศักยภาพสูง โดยแบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จำนวน 426 ชุด และนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 400 ชุดในพื้นที่ท่องเที่ยวหลักของประเทศ 3 พื้นที่ ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี และสุราษฏร์ธานี ในส่วนของการวิจัยเชิงคุณภาพนั้น ได้ใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการด้านบริการการท่องเที่ยวและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวหรูหรา จำนวน 20 คน บริบทในภาพรวมของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ของจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเพราะมีสิ่งดึงดูดใจด้านการท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและแบบที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมไปถึงลักษณะวิถีความเป็นอยู่ และอัธยาศัยใจคอของคนไทย ล้วนแล้วแต่เอื้อต่อการท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่งในส่วนของอุปทานด้านการท่องเที่ยวในส่วนของการพัฒนาการท่องเที่ยวหรูหรานั้น พบว่า ประเทศไทยมีที่พักแรมระดับห้าดาวขึ้นไปเพียงพอ มียานพาหนะที่หรูหรา มีร้านอาหารที่หรูหราใช้วัตถุดิบดี มีบุคลากรที่ได้รับการศึกษาและการอบรม เพื่อสร้างคุณภาพการบริการที่เป็นเลิศ ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถเป็น ‘Luxury leisure destination’ ได้อย่างไรก็ตามทุกจุดของประเทศไทยไม่สามารถเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวแบบหรูหรา มีเพียงเฉพาะบางจุดเท่านั้น เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพไม่สูง และมีภาพลักษณ์ของการเป็นประเทศที่ Value for Money ดังนั้น ภาพลักษณ์ของการเป็น Luxury leisure destination จึงยังไม่ชัดเจนนักในสายตานักท่องเที่ยวทั้งทั้งที่ประเทศไทยมีศักยภาพ ดังนั้นต้องเริ่มต้นจากการจัด Segment หรือการแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้ชัด มีการแบ่งโซน บริการทางการท่องเที่ยวให้ชัด ณ.วันนี้ ประเทศไทยพยายามจับกลุ่มเป้าหมายด้านการท่องเที่ยวหรูหราแบบเฉพาะกลุ่ม โดยวางตำแหน่งทางการตลาดให้ประเทศไทยเป็น Luxury wedding and honeymoon destination, Luxury MICE destination, Luxury yacht destination, Luxury medical and wellness destination, Luxury sport tourism destination โดยจุดเน้นหลักของการท่องเที่ยวหรูหราในประเทศไทย คือ การดูแลเอาใจใส่อย่างเต็มที่การได้รับประสบการณ์จากสถานที่ที่ไปไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่หรูหรา หรือประสบการณ์ที่ได้สัมผัสถึงความจริงแท้ ความเป็นธรรมชาติและความเป็นท้องถิ่นของพื้นที่นั้น ๆ พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติศักยภาพ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรป เป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง มีช่วงอายุ 21-30 ปี มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพด้านบริการ และส่วนมากจะเป็น เจ้าของธุรกิจแต่มีรายได้ 25,001-30,000 $ ส่วนในด้านประสบการณ์และพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงของประเทศไทย พบว่า ในรอบ 5 ปี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงานต่างประเทศ จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางเพื่อพักผ่อนต่างประเทศ จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงาน/พักผ่อนในสถานที่ ท่องเที่ยวต่างประเทศแห่งหนึ่งนานมากกว่า 7 วัน จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงาน/ พักผ่อนในสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศแห่งหนึ่งนานมากกว่า 7 วัน จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อธุรกิจหรือการงานเป็นเดินทางมาครั้งแรก และในประเด็นเคยเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อพักผ่อนนั้น นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทย 2-5 ครั้งผ่านการรับรู้ข้อมูลการท่องเที่ยวของจังหวัดนี้ผ่านช่องทางสื่อใหม่ (เว็บไซต์/ Blog/ เครือข่ายออนไลน์ เป็นต้น) ใช้ระยะเวลา น้อยกว่า 7 วัน ในการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดนี้ล่วงหน้าเป็นระยะเวลา โดยวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดที่เดินทางมาคือ ต้องการพักผ่อน และส่วนใหญ่จะจัดการการเดินทางด้วยตนเอง โดยเลือกประเภทของที่พักแรมเป็นโรงแรม และร่วมเดินทางมากับเพื่อนน้อยกว่า 3 คน ใช้ระยะเวลาตลอกทั้งทริปน้อยกว่า 7 วัน ใช้งบประมาณทั้งหมดประมาณ 10,001-30,000 $ พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยศักยภาพสูง พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันตก จำนวน 127 คน คิดเป็นร้อยละ 31.67 เป็นเพศชายน้อยกว่าเพศหญิง จำนวน 236 คน คิดเป็นร้อยละ 58.85 มีช่วงอายุอยู่ระหว่าง 21-30 ปี จำนวน 199 คน ร้อยละ 49.63 มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี จำนวน 245 คน คิดเป็นร้อยละ 61.10 ประกอบอาชีพ ด้านบริการ จำนวน 119 คน คิดเป็นร้อยละ 29.68 และส่วนมากเป็นพนักงานระดับผู้ปฎิบัติการ จำนวน 150 คน คิดเป็นร้อยละ 37.41 โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ประมาณรายได้ รายได้ต่ำกว่า 300,000 บาท จำนวน 273 คน คิดเป็นร้อยละ 68.08 ไทย ด้านการท่องเที่ยวแบบหรูหราสำหรับนักท่องเที่ยวศักยภาพสูงของประเทศไทย พบว่า ในรอบ 5 ปี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงานต่างประเทศเป็นครั้งแรก เดินทางเพื่อพักผ่อนต่างประเทศ จำนวน 2-5 ครั้ง เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงาน/พักผ่อนในสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศแห่งหนึ่งนานมากกว่า 7 วัน เป็นครั้งแรก เดินทางเพื่อธุรกิจหรือการงาน/พักผ่อนในสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศแห่งหนึ่งนาน มากกว่า 7 วัน และเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อธุรกิจหรือการงาน จำนวน 2-5 ครั้ง และในประเด็นเคยเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อพักผ่อนนั้น นักท่องเที่ยวเดินทางมายังประเทศไทยเป็น 2-5 ครั้ง ผ่านการรับรู้ข้อมูลการท่องเที่ยวของจังหวัดนี้ผ่านช่องทางสื่อใหม่ (เว็บไซต์/ Blog/ เครือข่ายออนไลน์ เป็นต้น)Item กลยุทธ์การพัฒนาแบบองค์รวมเพื่อยกระดับคุณภาพอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการประกอบธุรกิจร้านอาหาร/ภัตตาคารและการท่องเที่ยวอยางยั่งยืนในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรีเรณุมาศ กุละศิริมา; เปรมฤทัย แย้มบรรจง; นุจิรา รัศมีไพบูลย์; สุวรรณา พิชัยยงค์วงศ์ดีการวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนำเสนอกลยุทธ์การพัฒนาแบบองค์รวมเพื่อยกระดับคุณภาพอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการประกอบธุรกิจร้านอาหาร/ภัตตาคารและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในเขตพัทยา ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวน ทดสอบคาเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ่ และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการถดถอย สำหรบข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์จุดแข็ง/จุดอ่อน โอกาส/อุปสรรค (SWOT) การสังเคราะหข้อมูล และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า: 1. กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคญในเรื่องแนวทางในการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอาหารของเมืองพัทยา และแนวทางพัฒนาแบบองค์รวมเพื่อยกระดับคุณภาพอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ร้านอาหารและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่แตกต่างกัน 2. ทุกปัจจัยมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกค่อนข้างสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยความสัมพันธ์ระหว่างแนวทางในการพัฒนาการบรรจุภัณฑ์เพื่อการสร้างตราและเพิ่มมูลค่าอาหารท้องถิ่นกับแนวทางในการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอาหารของเมืองพัทยามีค่าสูงสุด รองลงมาเป็นแนวทางในการพัฒนาแผนการประกอบธุรกิจร้านอาหารกับแนวทางในการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอาหารของเมืองพัทยา และคุณภาพอาหารท้องถิ่นเมืองพัทยากับแนวทางในการพัฒนารายการอาหารท้องถิ่นเชิงสร้างสรรค์ 3. ผลการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นได้ตัวแบบที่มีนัยสำคัญทางสถิติ 3 ตัวแบบ คือ HD = 0.253D1+0.081D2+0.223D3+0.297D4 ; QF = 0.454D1+0.161D2+0.254D3+0.020D4 ; และ QF = 0.685HD โดยที่ HD แทน แนวทางในการพัฒนาแบบองค์รวมเพื่อยกระดับคุณภาพอาหารท้องถิ่นเพื่อ ส่งเสริมการประกอบธุรกิจร้านอาหารและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา D1 แทน แนวทางในการพัฒนารายอาหารท้องถิ่นเชิงสร้างสรรค์ D 2 แทน แนวทางในการพัฒนาแผนการประกอบธุรกิจร้านอาหาร D3 แทน แนวทางในการพัฒนาการบรรจุภัณฑ์เพื่อการสร้างตราและเพิ่มมูลค่าอาหารท้องถิ่น D4 แทน แนวทางในการพัฒนาศักยภาพของผประกอบการโดยใช้กระบวนการจัดการ ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอาหาร และ QF แทน คุณภาพอาหารท้องถิ่นเมืองพัทยา 4. กลยุทธ์การพัฒนาแบบองค์รวมเพื่อยกระดับคุณภาพอาหารท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมการ ประกอบธุรกิจร้านอาหาร/ภัตตาคารและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในเขตพัทยาทเหมาะสมและเป็นได้ ใน 4 มิติ มีดังนี้ 4.1 การพัฒนารายการอาหารเชิงสร้างสรรค์สาหรบนกท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มมูลค่าอาหาร ท้องถิ่นสาหรบร้านอาหาร/ภัตตาคารในพัทยา มี 6 กลยุทธ์ย่อย 1) ควบคมคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการของอาหารท้องถิ่นพัทยา 2) คัดสรรวัตถุดิบท้องถิ่น และเครื่องปรุงที่มีคุณภาพ 3) ยกระดับตำรับมาตรฐานอาหารท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับ 4) ใช้เทคนิคการประกอบอาหารเฉพาะท้องถิ่น 5) ออกแบบ จัดตกแต่งอาหาร และจัดเสิร์ฟตามรูปแบบท้องถิ่น 6) จัดกิจกรรมส่งเสริมการประกอบอาหารท้องถิ่นเชิงสร้างสรรค์ 4.2 การพัฒนาแผนการประกอบธุรกิจร้านอาหาร/ภัตตาคาร เพื่อการท่องเที่ยวในพัทยา มี 4 กลยุทธ์ย่อย 1) จัดทำแผนธุรกิจโดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมอาหารท้องถิ่นโดยเฉพาะ 2) พัฒนาบุคลากรใหม่ความรู้เรื่องอาหารท้องถิ่นพัทยา 3) ส่งเสริมการตลาดเพื่อนำเสนอรายการอาหารท้องถิ่นเป็นรายการพิเศษ 4) ควบคมคุณภาพการผลิตและการบริการให้ได้มาตรฐาน 4.3 การพัฒนาการบรรจุภัณฑ์เพื่อการสร้างตราและเพิ่มมูลค่าอาหารท้องถิ่นพัทยา จังหวัดชลบุรี มี 5 กลยุทธ์ย่อย 1) ออกแบบบรรจุภัณฑ์อาหารท้องถิ่นที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค 2) คัดสรรบรรจุภัณฑ์ทเหมาะสมกับอาหารท้องถิ่นพัทยา 3) เพิ่มมูลค่าอาหารท้องถิ่นโดยใช้บรรจุภัณฑ์จากผลิตภัณฑ์ชุมชน 4) สร้างตราสินค้าเพื่อรับรองคุณภาพอาหารท้องถิ่นพัทยา 4.4 การพัฒนาศักยภาพผประกอบการร้านอาหารในพัทยา โดยกระบวนการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอาหาร มี 5 กลยุทธ์ย่อย 1) พัฒนาทีมงานการจัดการความรู้ภูมิปัญญาด้านอาหารท้องถิ่นเมืองพัทยา 2) พัฒนาฐานข้อมูลและระบบการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอาหาร 3) พัฒนากระบวนการจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอาหารเมืองพัทยา 4) พัฒนาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านอาหารเมืองพัทยา 5) ประชาสัมพันธ์ และส่งเสริมการตลาดในการประกอบธุรกิจอาหารท้องถิ่นเมืองพัทยาItem กลยุทธ์การลงทุนในธุรกิจร้านอาหาร SMEs ย่านเยาวราชณัฏฐดา ศรีมุขการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการลงทุน และวิเคราะห์สภาพแวดล้อม การลงทุนเพื่อนำไปสู่การกำหนดกลยุทธ์การลงทุน โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ได้แก่ การวิจัยเชิงคุณภาพศึกษาการลงทุนในธุรกิจร้านอาหาร SMEs ย่านเยาวราช และวิจัยเชิงปริมาณ จากผลการวิจัย พบว่า ธุรกิจร้านอาหาร SMEs ย่านเยาวราชที่เป็นธุรกิจเจ้าของคนเดียว จำนวน 29 ราย มีการจัดโครงสร้างองค์กรแบบรวมอำนาจหน้าที่ การตัดสินใจอยู่ที่เจ้าของธุรกิจ ธุรกิจมีเงินลงทุน เริ่มแรก 3-10 ล้านบาท มีการระดมเงินทุนจากส่วนตัวโดยไม่มีการจัดหาเงินทุนโดยการกู้ยืมเงินผ่านสถาบันการเงิน รายรับมากกว่ารายจ่ายทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนของธุรกิจร้านอาหารทุกร้าน มีกำไร ด้านประสิทธิภาพการลงทุนโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ด้านการวางแผนการลงทุน การนำแผนไปปฏิบัติ และด้านการติดตามและประเมินผลอยู่ในระดับปานกลางตามลำดับ กลยุทธ์ระดับ องค์กรเป็นเป้าหมายระยะยาวบนพื้นฐานภายใต้สภาวะแวดล้อมภายในภายนอก มีการใช้กลยุทธ์ทั้งเชิงรุกและเชิงรับที่เหมาะสมกับสถานการณ์และสอดคล้องกับบริบทและสภาพแวดล้อมทั่วไป ใช้กลยุทธ์เชิงรุกเพื่อการเจริญเติบโตเพื่อที่จะให้ธุรกิจมีการขยายตัวหรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากขึ้น แต่มีข้อจำกัดด้านสถานที่จึงควรขยายสาขาไปยังแหล่งอื่น กลยุทธ์ระดับธุรกิจมุ่งเน้นมุ่งตอบสนอง ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เขตสัมพันธวงศ์มีโครงการเสน่ห์กรุงเทพฯ ได้เร่งพัฒนา “หาบเร่ เสน่ห์เมือง” ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการบริโภคมากขึ้นโดยดึงลูกค้าช่วงเวลากลางคืนไปได้ ผู้ประกอบการไม่มีการรวมกลุ่มกันทำให้ขาดการร่วมมือกันจึงขาดอำนาจในการต่อรองในหลายๆ ด้าน ดังนั้นจึงกำหนดเป็นกลยุทธ์เชิงรับที่สร้างความแตกต่าง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ระยะสั้นมุ่งเน้นเฉพาะกลุ่มหรือสินค้าเฉพาะอย่าง โดยลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความแตกต่าง ส่วนกลยุทธ์ระดับสายงานมีการนำกลยุทธ์มาใช้ในระดับปฏิบัติการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร ดังนั้นในการส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจร้านอาหาร SMEs ย่านเยาวราช การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรวมทั้งกรุงเทพมหานคร ชุมชนและภาคส่วนต่างๆ ควรมีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจร้านอาหารSMEs ย่านเยาวราชให้ยั่งยืนต่อไปItem กลยุทธ์การสร้างสรรค์นวัตกรรมมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวเชิงธรรมะ เชิงแสวงบุญ และการตลาดเชิงกิจกรรมจากการปฏิบัติการร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในแหล่งท่องเที่ยววัดของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจิระวัฒน์ อนุวิชชานนท์; ศิริวรรณ เสรีรัตน์; สุพาดา สิริกุตตา; วิชชพร เทียบจัตุรัสแผนงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ (1) เพื่อสร้างกลยุทธ์การสร้างสรรค์นวัตกรรมมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวเชิงธรรมะ เชิงแสวงบุญ และการตลาดเชิงกิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยววัดของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (2) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ศีล สมาธิ ปัญญา โดยใช้โครงการ “ใบโพธิ์แห่งความดี โพธิ์เงิน (ชั่วให้ตัด) โพธิ์ทอง (ดีให้ต่อ) และโพธิ์แก้ว (การทำจิตใจให้ผ่องใส)” (3) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ธรรมด้วยเพลงธรรม และ (4) เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมการเรียนรู้ธรรมและเสริมสร้างทัศนคติโดยใช้สื่อดิจิทัลและสื่อสิ่งพิมพ์ โครงการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ และปริมาณ โดยการวิจัยทั้งเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์นวัตกรรมมูลค่าเพิ่ม ส่วนเครื่องมือในการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในโครงการวิจัยนี้ ประกอบด้วย ผู้ตอบแบบสอบถาม 200 คนสำหรับโครงการใบโพธิ์แห่งความดี 95 คนสำหรับโครงการการเรียนรู้ธรรมด้วยเพลงธรรม และ 275 คนสำหรับโครงการสื่อดิจิทัลและสื่อสิ่งพิมพ์ ตามลำดับ การสุ่มตัวอย่างแบบสะดวกถูกใช้ในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา เพื่ออธิบายข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของกลุ่มตัวอย่างซึ่งประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน เพื่อทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ความตั้งใจปฏิบัติละเว้นสิ่งที่ไม่ดีในอนาคต (โพธิ์เงิน) ด้านมโนกรรม ด้านวจีกรรม และด้านกายกรรม มีผลต่อความตั้งใจปฏิบัติในอนาคต การกระทำความดี (โพธิ์ทอง) ด้านการปฏิบัติธรรม และด้านการทำบุญ/ทำทาน - ความตั้งใจปฏิบัติการทำความดีในอนาคต (โพธิ์ทอง) ด้านการปฏิบัติธรรม การทำบุญทำทาน การฝึกสติ มีผลต่อความตั้งใจปฏิบัติแผ่เมตตาในอนาคต (โพธิ์แก้ว) - ความรู้ความเข้าใจใน (1) เพลงธรรม/บทสวด (2) หนังสือรู้ตัวทั่วพร้อมฯ (3) หนังสือคติธรรมฯ (4) แผนที่ประกอบความจริงเสริม (5) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (6) หนังสือมัลติมีเดีย มีผลต่อความพึงพอใจโดยรวม - ความพึงพอใจโดยรวมต่อ (1) เพลงธรรม/บทสวด (2) หนังสือรู้ตัวทั่วพร้อมฯ (3) หนังสือคติธรรมฯ (4) แผนที่ประกอบความจริงเสริม (5) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (6) หนังสือมัลติมีเดีย มีผลต่อการยอมรับโดยรวมของเพลงธรรม/บทสวดในการนำไปปฏิบัติ จากผลการวิจัยเชิงคุณภาพและปริมาณมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมมูลค่าเพิ่มให้กับการท่องเที่ยวเชิงธรรม เชิงแสวงบุญ และการตลาดเชิงกิจกรรมจากการปฏิบัติการร่วมกับ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในแหล่งท่องเที่ยววัดของจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้น จะมุ่งเน้นการดำเนินการโครงการ (1) “ใบโพธิ์แห่งความดี” (2) เพลงธรรม/บทสวด (3) หนังสือรู้ตัวทั่วพร้อมฯ (4) หนังสือคติธรรมฯ (5) แผนที่ประกอบความจริงเสริม (6) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (7) หนังสือมัลติมีเดีย โดยนวัตกรรมดังกล่าวมุ่งหวังที่จะปลูกฝังหลักศีล สมาธิ ปัญญา พร้อมทั้งหลักคำสอน อื่น ๆ ทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักธรรมในการปฏิบัติธรรมให้กับนักท่องเที่ยว ยิ่งไปกว่านั้น สื่อดิจิทัล สื่อมัลติมีเดีย และแอพพลิเคชั่นผ่านมือถือ ยังถูกใช้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยววัดการท่องเที่ยวเชิงธรรมะ เชิงแสวงบุญ และการตลาดเชิงกิจกรรมในแหล่งท่องเที่ยววัดของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
