Research

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 1102
  • Default Image
    Item
    ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความคาดหวังและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) กันตยา เพิ่มผล
    การวิจัย เรื่องปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความคาดหวังและความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคาดหวังในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2) ศึกษาระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองด่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ด่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง จํานวน 625 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับตามวิธีการของครอนบาค เท่ากับ 0.9640 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการหาค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, และดําเนินการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ โดยวิธี Stepwise ผลการวิจัยพบว่า 1. ความคาดหวังในการปฏิบัติงาน พบว่า เจ้าหน้าที่กลุ่มตัวอย่างมีความคาดหวังโดยรวมในระดับมาก โดยมีความคาดหวังอันดับแรกในด้านสถานที่/สภาพแวดล้อมในการทํางาน และด้านเพื่อนร่วมงาน รองลงมา ได้แก่ ด้านลักษณะงาน ด้านประชาชนผู้ใช้บริการ ด้านคุณภาพชีวิตในการทํางาน ด้านผู้บังคับบัญชา และด้านระบบบริหารจัดการองค์กร 2. ความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน พบว่า เจ้าหน้าที่กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจโดยรวมในระดับปานกลาง และมีความพึงพอใจในทุกด้านในระดับปานกลาง ยกเว้นด้านระบบการบริหารจัดการองค์กรที่มีความพึงพอใจในระดับน้อย สําหรับความพึงพอใจอันดับแรก ได้แก่ ด้านเพื่อนร่วมงาน รองลงมา ได้แก่ ด้านลักษณะงาน ด้านประชาชนผู้ใช้บริการ ด้านคุณภาพชีวิตในการทํางาน ด้านสถานที่/สภาพแวดล้อมในการทํางาน และด้านระบบการบริหารจัดการองค์กร 3. การเปรียบเทียบระดับความคาดหวังกับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฯ พบว่า เจ้าหน้าที่มีความคาดหวังสูงกว่าความพึงพอใจทั้งในภาพรวมและในทุกด้านที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. การเปรียบเทียบระดับความคาดหวังกับเป้าหมาย (Benchmark) (ที่ระดับร้อยละ 75) ของเจ้าหน้าที่ฯ ในภาพรวม พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน และหากพิจารณาในแต่ละด้าน พบว่า ในด้านระบบการบริหารจัดการองค์กร และด้านผู้บังคับบัญชามีความคาดหวังต่ำกว่าเป้าหมาย (Benchmark) ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยในด้านอื่นๆ พบว่า ระดับความคาดหวังไม่มีความแตกต่างกับเป้าหมาย (Benchmark) 5. การทดสอบเปรียบเทียบระดับความพึงพอใจกับเป้าหมาย (Benchmark) (ที่ระดับร้อยละ 75) ของเจ้าหน้าที่ฯ ทั้งในภาพรวมและในด้านต่างๆ พบว่า มีระดับความพึงพอใจต่ำกว่าเป้าหมาย (Benchmark) ที่ระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในทุกด้าน 6. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ได้แก่ 1) ประชาชนมีมิตรไมตรีที่ดี 2) สภาพการทํางานที่คํานึงถึงความปลอดภัยและสุขภาพ 3) ผู้บังคับบัญชาให้คําเสนอแนะในการแก้ปัญหา 4) ปริมาณเครื่องมือ/อุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานมีเพียงพอ 5) ประชาชนมีทักษะการสื่อสารเข้าใจชัดเจน 6) ความเหมาะสมของค่าตอบแทนและสวัสดิการ 7) ความสามัคคีระหว่างเพื่อนร่วมงาน และ 8) ผู้บังคับบัญชายอมรับความสามารถในการปฏิบัติงาน โดยมีความเชื่อมั่นในการพยากรณ์ร้อยละ 65.6 แสดงเป็นสมการได้ดังนี้ ความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน = {0.189 (ประชาชนมีมิตรไมตรีที่ดี)} + {0.139 (การทํางานที่คํานึงถึงความปลอดภัย/สุขภาพ) } + {0.086 (ผู้บังคับบัญชา ให้คําเสนอแนะในการแก้ปัญหา)} + {0.126 (ปริมาณ เครื่องมือ/อุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติงานมีเพียงพอ)} + {0.179 (ประชาชนมีทักษะการสื่อสารเข้าใจชัดเจน)} + {0.089 (ความเหมาะสมของค่าตอบแทนและสวัสดิการ)} + {0.086 (ความสามัคคีระหว่างเพื่อนร่วมงาน)} + {0.097 (ผู้บังคับบัญชายอมรับความสามารถในการปฏิบัติงาน)}
  • Default Image
    Item
    การศึกษาวิจัยเพื่อประเมินสภาพสิ่งแวดล้อมจากกิจการโรงสีข้าวสวนดุสิต และชุมชนใกล้เคียง ต.ดงขี้เหล็ก อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) จิติวัฒน์ ยวงเกตุ; กันต์ ปานประยูร; จิตรี โพธิมามกะ; แทนทัศน์ เพียกขุนทด; ปฏิญญา สุขวงศ์; สุรชาติ สินวรณ์; ยุวรัตน์ ปรมีศนาภรณ์; อาภาพรรณ สัตยาวิบูล; ชนกร วัชรปาน
    การศึกษาวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมของโรงสีข้าวสวนดุสิต และชุมชนโดยรอบใกล้เคียง เพื่อสร้างความเชื่อมันให้กับชุมชน และเพื่อใช้เป็นข้อมูลสําหรับการรับรอง ระบบการจัดการมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อม ISO 14001 โดยทําการสํารวจ และตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมด้านต่างๆ ได้แก่ การใช้ประโยชน์ของที่ดิน การศึกษาคุณภาพน้ำ อากาศ เสียง ความเข้มของแสงสว่าง ภายในโรงสีข้าว การใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรภายในท้องถิ่น และการจัดทําระบบ สารสนเทศทางสิ่งแวดล้อม จากการศึกษาพบว่า ลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดินของตําบลดงขี้เหล็กนั้นมีการขยายตัวของเมืองไปตามแนวถนนหลวงแผ่นดินเป็นแบบส่วนเสียว โดยที่อยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรมแยกอยู่ปะปนกัน โดยไม่มีการกําหนดการใช้ที่ดินที่ชัดเจน ส่วนคุณภาพแหล่งน้ำผิวดิน โดยรอบโรงสีข้าวมีคุณภาพน้ำเป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพแหล่งน้ำผิวดินในประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2537) ส่วนฝุ่นละอองน้ำไม่พบว่ากิจกรรมของโรงสีส่งผลต่อปริมาณฝุ่นละอองในชุมชนใกล้เคียง ส่วนผลกระทบจากเสียงน้ำมีสาเหตุจากการจราจร ส่วนความเข้มแสงของภายในบริเวณโรงสี ข้าวเวลา 14.00 น. พบว่า ค่าความส่องสว่างในทุกส่วนงานผ่านเกณฑ์ยกเว้นส่วนในของโรงงานมีค่าความ ส่องสว่างค่อนข้างน้อย การตรวจวัด เวลา 21.00 น. พบว่าห้องควบคุมคุณภาพ โรงคัดแยกข้าวเปลือก โรงบรรจุข้าวสาร และโรงงาน วัดค่าความส่องสว่างได้ต่ำกว่ามาตรฐานส่วนวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรใน จังหวัดปราจีนบุรี พบว่า เศษวัสดุจากกล้วย มีความเหมาะสมในการนํามาจัดทําเป็นเชื้อเพลิงสดอัดแท่งมากที่สุด เนื่องจากมีปริมาณคาร์บอน ความชื้น ให้ค่าความร้อนสูง สารระเหย ปริมาณเถ้าต่ำปริมาณ กํามะถันในระดับปานกลาง จากข้อมูลทางสิ่งแวดล้อมทั้งหมดสามารถนําข้อมูลที่ได้มาจัดทําฐานข้อมูล เพื่อการติดตามตรวจสอบคุณภาพทางสิ่งแวดล้อม โดยระบบสามารถบันทึกข้อมูล, แก้ไขข้อมูล, สืบค้นข้อมูล, จัดทํารายงาน โดยการบันทึกคุณภาพทางสิ่งแวดล้อมของดัชนีต่างๆ สามารถทําได้โดยการเลือก พื้นที่หรือตําแหน่งที่ได้มีการบันทึกข้อมูลไว้แล้วหรือสามารถกําหนดจุดหรือตําแหน่งที่ต้องการเพิ่มเติม ได้ใหม่ตามแต่ความต้องการของผู้ใช้งาน
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาระบบฐานข้อมูลของสวนดุสิตโพลเพื่อการสืบค้นสารสนเทศผ่านทางอินเทอร์เน็ต
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ปริศนา มัชฌิมา
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลของสวนดุสิตโพลให้สามารถสืบค้นสารสนเทศผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดเก็บผลการสำรวจ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 จนถึงปัจจุบัน ไว้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต โดยใช้โปรแกรม MySQL ในการจัดการฐานข้อมูล และใช้ภาษา PHP ในการเชื่อมต่อฐานข้อมูลกับระบบเครือข่าย โดยอาศัย phpMyAdmin เป็นเครื่องมือสำหรับบริหารฐานข้อมูลบนเว็บไซต์ และใช้โปรแกรม Macromedia Dreamweaver สำหรับออกแบบเว็บไซต์และส่วนติดต่อกับผู้ใช้ โดยได้นำเสนอระบบที่ได้รับการพัฒนาไว้ที่เว็บไซต์ http://dusitpoll.dusit.ac.th/dusitpoll/index.php ซึ่งมีคุณสมบัติในการจัดการข้อมูลได้ตรงตามความต้องการของเจ้าหน้าที่สวนดุสิตโพล ส่วนผู้ที่ต้องการค้นหาผลโพลสามารถ สืบค้นข้อมูลได้จากคำค้นที่อยู่ในชื่อโพล และ ปี พ.ศ. ที่จัดทำโพลโดยผู้ใช้ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจกับการใช้งานระบบการสืบค้นสารสนเทศ ทั้งด้านกายภาพ ด้านการใช้งาน และด้านเนื้อหาในระดับมาก ซึ่งได้เสนอแนะเพิ่มเติมให้มีการเน้นคำค้นที่ใช้เพื่อการค้นหาในผลการสืบค้น และหากสามารถค้นหา ผลโพลได้จากคำค้นที่อยู่ในเนื้อหาด้วย จะทำให้ระบบการสืบค้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • Default Image
    Item
    ความคาดหวังและความพึงพอใจต่อการมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์พงษ์สวัสดิ์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) อรวรรณ ชมชัยยา; สุธีร์ อินทโชติ; สมเกียรติ จิระวงศ์เสถียร
    การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา และเพื่อเปรียบเทียบความคาดหวังและความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์พงษ์สวัสดิ์ จําแนกตาม ภูมิหลังของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาจํานวน 142 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Division) การวิเคราะห์ค่า t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) และเปรียบเทียบรายคู่โดยวิธีของเชฟเฟ่ ผลการวิจัยพบว่า 1. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 62.0 โปรแกรมที่ศึกษาการจัดการทั่วไป คิดเป็นร้อยละ 45.1 ส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่กับบิดามารดา คิดเป็นร้อยละ 52.1 2. ความคาดหวังของนักศึกษาต่อการมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านทุกด้านพบว่า มีความคาดหวังอยู่ในระดับมาก เรียงตามลําดับ ดังนี้ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านสังคมกลุ่มเพื่อน ด้านกิจกรรมนักศึกษา และด้านอาคารสถานที่ 3. ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านทุกด้านพบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก เรียงตามลําดับดังนี้ ด้านสังคมกลุ่มเพื่อน ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านกิจกรรมนักศึกษา และด้านอาคารสถานที่ 4. ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า นักศึกษาที่มีเพศต่างกัน ศึกษาในโปรแกรมวิชาต่างกัน มีสถานที่พักอาศัยต่างกัน มีความคาดหวังและความพึงพอใจต่อการมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์พงษ์สวัสดิ์ ไม่แตกต่างกันทั้งในภาพรวม และรายด้าน 5. ผลการเปรียบเทียบความคาดหวังของนักศึกษาก่อนเข้ามาศึกษาและความพึงพอใจหลัง เข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์พงษ์สวัสดิ์ พบว่า ความคาดหวังก่อนเข้ามาศึกษา และความพึงพอใจของนักศึกษาหลังเข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์พงษ์สวัสดิ์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  • Default Image
    Item
    การใช้พืชสมุนไพรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการหมักมูลฝอย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ชนกร วัชรปาณ
    งานวิจัยนี้ทําการศึกษาการทําปุ๋ยหมักโดยการใช้มูลฝอยตลาดสด ในกรณีที่มีการเติมน้ำสมุนไพรบางชนิด โดยกําหนดให้มีการเติมน้ำสมุนไพรดังนี้ คือ น้ำสัปปะรด น้ำมะละกอ น้ำใบฝรั่ง น้ำสะระแหน่ น้ำสกัดชีวภาพ และน้ำเปล่าร่วมกับดินแดง เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพ ปุ๋ยหมัก ประสิทธิภาพการหมักมูลฝอย และคุณภาพน้ำชะมูลฝอย จากผลการทดลองพบว่า คุณภาพ น้ำชะมูลฝอยมีดังนี้ ปริมาณไนโตรเจน มีค่าระหว่าง 2,146 - 260 มิลลิกรัมต่อลิตร ปริมาณ ฟอสฟอรัส มีค่าระหว่าง 123 - 29 มิลลิกรัมต่อลิตร ปริมาณโพแทสเซียม มีค่าระหว่าง 8,518 - 2,828 มิลลิกรัมต่อลิตร คุณภาพของปุ๋ยหมักมูลฝอยมีปริมาณธาตุอาหารหลักของพืช ปริมาณไนโตรเจน ทั้งหมด ร้อยละ 4.26 - 1.04 ปริมาณฟอสฟอรัส ร้อยละ 0.1 - 0.013 ปริมาณโพแทสเซียม ร้อยละ 0.63 - 0.13 ปริมาณความชื้นเท่ากับร้อยละ 70.00 - 27.00 โดยน้ำหนัก ปริมาณสารที่ระเหยได้ เท่ากับร้อยละ 12.98 - 5.44 โดยน้ำหนัก อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน เท่ากับ 3.18 - 1.96 การเติมน้ำสมุนไพร ผลต่อประสิทธิภาพการหมักมูลฝอยโดย น้ำสะระแหน่มีประสิทธิภาพในการหมักดีที่สุด รองลงมา คือ น้ำใบฝรั่ง น้ำสกัดชีวภาพ น้ำสัปปะรด น้ำมะละกอ และดินแดงรดด้วยน้ำเปล่า ตามลําดับ
  • Default Image
    Item
    ความคาดหวังและความพึงพอใจต่อการมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หนองคาย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ธวัชชัย เพ็งพินิจ; สุดาวรรณ ประชุมแดง; เสน่ห์ โสดาวิชิต
    การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงความคาดหวังต่อการเข้ามาศึกษาและความพึงพอใจเมื่อมารับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หนองคาย และเปรียบเทียบความคาดหวังและความพึงพอใจของนักศึกษาก่อนและหลังเข้ามาศึกษา ทําการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 และนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หนองคาย ปีการศึกษา 2549 จํานวน 67 ตัวอย่าง นําข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมทั้งทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติ Analysis of variance (ANOVA), t-test ผลการวิจัย พบว่า จากกลุ่มตัวอย่างจํานวน 67 คน เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 65.67 และเพศชายคิดเป็นร้อยละ 34.33 นักศึกษาทั้งหมดศึกษาในศูนย์หนองคายและเรียนในภาคปกติ ส่วนใหญ่ศึกษาคณะวิทยาการจัดการ คิดเป็นร้อยละ 86.57 ศึกษาโปรแกรมการจัดการทั่วไปคิดเป็นร้อยละ 70.15 เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 53.73 และเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 46.27 และนักศึกษาส่วนใหญ่พักบ้านตนอง (บิดา/มารดา) คิดเป็นร้อยละ 58.21 ความคาดหวังของนักศึกษาต่อการมาศึกษาที่มหาวิยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์หนองคาย ในสภาพแวดล้อมด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านอาคารสถานที่ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านกิจกรรมนักศึกษา และด้านสังคมกลุ่มเพื่อน โดยภาพรวมนักศึกษามีความคาดหวังต่อการเข้ามาศึกษาอยู่ในระดับมาก ส่วนภาพรวมของความพึงพอใจเมื่อเข้ารับการศึกษาของนักศึกษาอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านอาคารสถานที่ ด้านการจัดการ เรียนการสอน ด้านกิจกรรมนักศึกษา และด้านสังคมกลุ่มเพื่อน เพศที่แตกต่างกัน นักศึกษามีความคาดหวังต่อการเข้ามาศึกษาและความพึงพอใจเมื่อเข้ารับการศึกษาในทุกด้านไม่แตกต่างกัน คณะที่แตกต่างกัน นักศึกษามีความคาดหวังต่อการเข้ามาศึกษาและความพึงพอใจเมื่อเข้ารับการศึกษาในทุกด้านไม่แตกต่างกัน สถานที่พักอาศัยที่แตกต่างกัน นักศึกษามีความคาดหวังต่อการเข้ามาศึกษาและความพึงพอใจเมื่อเข้ารับการศึกษาในทุกด้านไม่แตกต่างกัน เมื่อเปรียบเทียบความคาดหวังต่อการเข้ามาศึกษาและความพึงพอใจเมื่อเข้ารับการศึกษา พบว่า จากสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้แก่ ด้านอาคารสถานที่ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านกิจกรรมนักศึกษา และด้านสังคมกลุ่มเพื่อน นักศึกษาได้รับความพึงพอใจหลังเข้ารับการศึกษา มากกว่าความดาดหวังก่อนเข้ามาศึกษาในทุกด้าน
  • Default Image
    Item
    ความคาดหวังและความพึงพอใจต่อการมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ชลบุรี
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ทิพย์ ขําอยู่; ภาวิณีย์ มาตแม้น; ปรีดาพร อารักษ์สมบูรณ์
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคาดหวังและความพึงพอใจของนักศึกษาต่อ การมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ชลบุรี และเปรียบเทียบความคาดหวังและความ พึงพอใจของนักศึกษาก่อนและหลังเข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ชลบุรี ในสภาพแวดล้อม 4 ด้าน ได้แก่ ด้านอาคารสถานที่ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านกิจกรรม นักศึกษา และด้านสังคมกลุ่มเพื่อน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 และ 2 ที่กําลังศึกษาที่ศูนย์การศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ชลบุรี จํานวน 100 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา วิเคราะห์หาค่าสถิติพื้นฐาน และสถิติ อ้างอิงได้แก่ สถิติ Analysis of Variance (Anova) และ T-test ตามลักษณะตัวแปรอิสระเพื่อ ทดสอบสมมติฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1. ความคาดหวังของนักศึกษาก่อนเข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ชลบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความคาดหวังก่อนเข้ามาศึกษาอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านแรก คือ ด้านการจัดการเรียนการสอน รองลงมา คือ ด้านสังคมกลุ่มเพื่อน ด้านกิจกรรมนักศึกษา และด้านอาคารสถานที่ ตามลําดับ 2. ความพึงพอใจของนักศึกษาหลังเข้ามาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศูนย์ชลบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความพึงพอใจหลังเข้ามาศึกษาอยู่ใน ระดับมากทุกด้าน โดยด้านแรก คือ ด้านสังคมกลุ่มเพื่อน รองลงมา คือ ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านกิจกรรมนักศึกษา และด้านอาคารสถานที่ ตามลําดับ 3. การเปรียบเทียบความคาดหวัง และความพึงพอใจ ในภาพรวม พบว่า จําแนกตามเพศ ชั้นปีที่ศึกษา และสถานที่พักอาศัยขณะศึกษาโดยรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ขณะที่นักศึกษาที่มีเพศแตกต่างกัน ศึกษาในชั้นปีที่แตกต่างกัน และพักอาศัยในสถานที่แตกต่างกันไม่มีผลต่อระดับความคาดหวังก่อนเข้าศึกษา และความพึงพอใจหลังเข้ารับการศึกษาของนักศึกษา
  • Default Image
    Item
    การดูดซับตะกั่วในน้ำเสียจากโรงงานน้ำตาลโดยใช้เถ้าลอยชานอ้อย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) สิรวัลภ์ เรืองช่วย; อรพิณ โกมุติบาล; เสรีย์ ตู้ประกาย; ณัฐกฤตา สุวรรณทีป; จิราภรณ์ พงษ์โสภา
    งานวิจัยนี้ เป็นการศึกษาวิธีการกําจัดตะกั่วในน้ำเสียจากห้องปฏิบัติการของโรงงานผลิตน้ำตาล โดยใช้เถ้าจากชานอ้อยซึ่งเป็นของเหลือทิ้งจากโรงงานแห่งเดียวกัน ด้วยวิธีการดูดซับแบบแบตซ์ โดยทําการศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการดูดซับ คือ เวลาสัมผัส ค่าพีเอช บัพเฟอร์ ปริมาณสารดูดซับ และไอโซเทอมของการดูดซับ จากการศึกษาพบว่า ความเข้มข้น ของตะกั่วในน้ำเสียอยู่ในช่วง 9,000 ถึง 11,000 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีพีเอชเท่ากับ 4.8 และจากการทดลองพบว่า เมื่อเวลาสัมผัสพีเอช และปริมาณสารดูดซับเพิ่มขึ้น ร้อยละการกําจัดตะกั่วจะ เพิ่มขึ้น ส่วนบัพเฟอร์ไม่มีผลต่อการกําจัดตะกั่ว และประสิทธิภาพในการกําจัดตะกั่วสูงสุด เท่ากับร้อยละ 32.68 ที่เวลาสัมผัสเท่ากับ 9 นาที่ค่าพีเอชเท่ากับ 6 ส่วนผลการศึกษาไอโซเทอมโดยใช้เถ้าลอยชานอ้อยพบว่า ความสามารถในการกําจัดตะกั่วมีความสัมพันธ์กับไอโซเทอมการดูดซับแบบฟรุนดลิช
  • Default Image
    Item
    ทัศนคติของนักศึกษาต่อการประกอบอาชีพเมื่อสําเร็จการศึกษา
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) สิรินาถ แพทยังกุล; ปัญญเดช พันธุวัฒน์; ณัฐพล แย้มฉิม
    การวิจัยเรื่องทัศนคติของนักศึกษาต่อการประกอบอาชีพเมื่อสําเร็จการศึกษาครั้งนี้ ใช้วิธีการวิจัยแบบสํารวจ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และศูนย์การศึกษาของมหาวิทยาลัย จํานวนกลุ่ม ตัวอย่างทั้งสิ้น 3,512 คน เพื่อศึกษาทัศนคติของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอน ทัศนคติของนักศึกษาต่อการประกอบอาชีพ ทิศทางในการประกอบอาชีพของนักศึกษา และเปรียบเทียบทัศนคติของนักศึกษาต่อการประกอบอาชีพโดยจําแนกตามเพศ คณะที่ศึกษา สถานที่ศึกษา เกรดเฉลี่ย ชั้นปีที่ศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นของ ด้านการจัดการศึกษา และด้านการประกอบอาชีพ เท่ากับ .8821 และ.8577 ตามลําดับ สถิติที่ใช้ในการทดสมมติฐานการวิจัยคือ t-test และ F-test ผลของการศึกษาวิจัยพบว่า ทิศทางในการประกอบอาชีพ นักศึกษามีทัศนคติที่ต้องการหางานทําทันทีหลังจบการศึกษา โดยต้องการประกอบอาชีพอยู่ในบริษัท หรือธุรกิจเอกชนเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นอาชีพรับราชการ ประกอบอาชีพส่วนตัว และเลือกที่จะประกอบอาชีพอยู่ในกรุงเทพมหานครมากกว่าประกอบอาชีพในภูมิลําเนาที่เกิด และต้องการทํางานที่ตรงกับสาขาวิชาชีพที่เรียน หรือสาขาที่เกี่ยวข้องกับที่เรียน ในเรื่องคุณลักษณะของการประกอบอาชีพ นักศึกษา ต้องการอาชีพที่มีความมั่นคง ก้าวหน้า อัตราเงินเดือนสูง และมีทัศนคติว่าสามารถเรียกอัตรา เงินเดือนได้ เมื่อเปรียบเทียบถึงความแตกต่างของทัศนคติพบว่า นักศึกษาที่มีชั้นปี คณะ และศึกษาในสถานที่ที่แตกต่างกัน มีทัศนคติต่อการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย และการประกอบ อาชีพ ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  • Default Image
    Item
    การเปรียบเทียบสภาวะการผลิตพิวเร่แก้วมังกรต่ออายุการเก็บ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ณัชนก นุกิจ
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะการผลิตพิวเร่แก้วมังกรที่เหมาะสมต่ออายุการเก็บรักษา โดยศึกษาคุณภาพทางด้านกายภาพและเคมีของแก้วมังกรผลสดพบว่า ค่าสี L* a* และ b* มีค่าเท่ากับ 24.22 -1.41 และ 0.40 ตามลําดับ ปริมาณของแข็งที่ละลายได้มีค่าเท่ากับ 13.44 องศาบริกซ์ ปริมาณกรดซิตริกมีค่าร้อยละ 0.27 ความเป็นกรด-เบสมีค่าเท่ากับ 4.77 ปริมาณ วิตามินซีมีค่าเท่ากับ 10.42 มิลลิกรัม และปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์ มีค่าร้อยละ 4.1 จากนั้นทําการศึกษากระบวนการผลิตที่มีผลต่อพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุงพอลีเอธิลีนพบว่า ค่าสี L* ปริมาณของแข็งที่ละลายได้ ปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์ ปริมาณกรด และค่าความเป็นกรด-เบส ของพิวเร่แก้วมังกรมีค่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p>0.05) แต่พบความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p<0.05) ของปริมาณวิตามินซี ในวันที่ 12 ซึ่งพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุง พอลีเอธิลีนก่อนพาสเจอร์ไรซ์มีปริมาณวิตามินซีมากกว่าพิวเร่แก้วมังกรที่พาสเจอร์ไรซ์ก่อนบรรจุ ถุงพอลีเอธิลีน โดยที่ค่าสี L * ปริมาณวิตามินซี และปริมาณกรด มีค่าลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วน ปริมาณของแข็งที่ละลายได้ ปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์ และ ค่าความเป็นกรด-เบสมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการศึกษาการเปรียบเทียบการประเมินคุณภาพทางด้านประสาทสัมผัสเชิงพรรณนา ของพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุงพอลีเอธิลีนพบว่ามีผลการทดลองเช่นเดียวกับพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุง อลูมิเนียมฟอยด์ จากการศึกษากระบวนการผลิตที่มีผลต่อพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุงอลูมิเนียมฟอยด์พบว่า ค่าสี L* ปริมาณของแข็งที่ละลายได้ ปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์ วิตามินซี ปริมาณกรด และค่าความเป็น กรด-เบสของพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุงอลูมิเนียมฟอยด์ก่อนพาสเจอร์ไรซ์และพิวเร่แก้วมังกรที่พาส- เจอร์ไรซ์ก่อนบรรจุถุงอลูมิเนียมฟอยด์ มีค่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p>0.05) จาก การเปรียบเทียบบรรจุภัณฑ์ที่มีผลต่อพิวเร่แก้วมังกรพบว่า ค่าสี L*และปริมาณวิตามินซี ของพิวเร่ แก้วมังกรที่บรรจุถุงอลูมิเนียมฟอยด์ก่อนพาสเจอร์ไรซ์มีค่าความสว่างและปริมาณวิตามินซีมาก ที่สุดโดยที่ค่าความสว่างและปริมาณวิตามินซีมีค่าลดลงตลอดช่วงอายุการเก็บรักษาส่วนปริมาณ ของแข็งที่ละลายได้และค่าความเป็นกรด-เบสพบว่าพิวเร่แก้วมังกรที่พาสเจอร์ไรซ์ก่อนบรรจุถุงอูมิ- เนียมฟอยด์มีค่าปริมาณของแข็งที่ละลายได้และค่าความเป็นกรด-เบสมากที่สุดโดยที่ปริมาณ ของแข็งที่ละลายได้และค่าความเป็นกรด-ด่างมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์ พบว่าพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุงอลูมิเนียมฟอยด์ก่อนพาสเจอร์ไรซ์มีปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์มากที่สุด โดยที่ปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สําหรับปริมาณกรดพบว่าพิวเร่แก้วมังกร ที่พาสเจอร์ไรซ์ก่อนบรรจุถุงอลูมิเนียมฟอยด์มีปริมาณกรดมากที่สุด โดยที่ปริมาณกรดมีค่าลดลง เล็กน้อยซึ่งสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ค่าความเป็นกรด-เบสที่เพิ่มขึ้น จากการทดสอบคุณภาพ ทางด้านจุลินทรีย์ โดยวิเคราะห์ปริมาณยีสต์ รา และ แบคทีเรียทั้งหมดในพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุง พอลีเอธิลีนและถุงอลูมิเนียมฟอยด์ พบว่าไม่สามารถคํานวณปริมาณเชื้อยีสต์ รา และ แบคทีเรีย ทั้งหมดได้ เนื่องจากปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดที่ตรวจนับได้มีน้อยกว่า 30 โคโลนี จากการศึกษาการเปรียบเทียบกระบวนการผลิตที่มีผลต่อแยมที่ผลิตจากพิวเร่แก้วมังกร พบว่า ค่าสี L* ของแยมที่ผลิตจากพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุงอลูมิเนียมฟอยด์ก่อนพาสเจอร์ไรซ์มีค่า ความสว่างมากที่สุดโดยที่ค่าความสว่างมีค่าลดลงตลอดช่วงอายุการเก็บรักษา ส่วนปริมาณ ของแข็งที่ละลายได้และค่าความเป็นกรด-เบสพบว่าแยมที่ผลิตจากพิวเร่แก้วมังกรที่พาสเจอร์ไรซ์ ก่อนบรรจุถุงอูมิเนียมฟอยด์มีค่าปริมาณของแข็งที่ละลายได้และค่าความเป็นกรด-เบสมากที่สุด โดยที่ปริมาณของแข็งที่ละลายได้และค่าความเป็นกรด-เบสมีค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนปริมาณ น้ำตาลอินเวิร์ทพบว่าแยมที่ผลิตจากพิวเร่แก้วมังกรที่บรรจุถุงอลูมิเนียมฟอยด์ก่อนพาสเจอร์ไรซ์มี ปริมาณน้ำตาลอินเวิร์ทมากที่สุดโดยที่ปริมาณน้ำตาลอินเวิร์ทมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สําหรับปริมาณกรดพบว่าแยมที่ผลิตจากพิวเร่แก้วมังกรที่พาสเจอร์ไรซ์ก่อนบรรจุถุงอูมิเนียมฟอยด์ มีปริมาณกรดมากที่สุด โดยที่ปริมาณกรดมีค่าลดลงเล็กน้อยซึ่งสอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ค่า ความเป็นกรด-เบสที่เพิ่มขึ้น
  • Default Image
    Item
    การศึกษาคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของวัสดุปลูกพืชชนิดเผา
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) พรพัสนันท์ เดชประสิทธิโชค; ขวัญจิต อิสระสุข; ศิววิทย์ บัวสุวรรณ
    ไฮโดรตอนเป็นชนิดหนึ่งของวัสดุปลูกพืชชนิดเผาที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากมีลักษณะเฉพาะที่สำคัญคือ น้ำหนักเบา ความหนาแน่นต่ำ ภายหลังการใช้งานสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ไฮโดรตอนดูดซับน้ำได้น้อย และมีราคาแพง เนื่องจากต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ในงานวิจัยนี้จึงได้ทำการศึกษาหาส่วนผสมที่เหมาะสมในการผลิตวัสดุปลูกพืชจากดินเหนียวขาวและแกลบ ได้แก่ 100:0, 80:20, 60:40, 50:50, 40:60, 20:80 และ 0:100 โดยน้ำหนักต่อน้ำหนัก ขึ้นรูปให้เป็นก้อนกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร และเผาในบรรยากาศ ออกซิเดชันที่อุณหภูมิต่าง ๆ ได้แก่ 900, 1000 และ 1100 องศาเซลเซียส ผลจากการศึกษาพบว่า วัสดุปลูกพืชที่ได้เป็นวัสดุก้อนกลมสีขาว วัสดุปลูกพืชสูตรที่มีความเหมาะสมที่สุดสำหรับใช้เป็นวัสดุปลูกพืช ได้แก่ วัสดุปลูกพืชสูตรที่ 2 ซึ่งประกอบด้วยดินเหนียวขาวร้อยละ 80 และแกลบ ร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก โดยวัสดุปลูกพืชดังกล่าวมีคุณสมบัติไม่ยุ่ยตัวเมื่อแช่ในน้ำเป็นเวลา 120 วัน เนื่องจากมีองค์ประกอบหลักทางเคมีและทางแร่เป็นแร่ซิลิกา มีค่าพีเอชเป็นกรดเล็กน้อย (6.00) และมีความสามารถในการดูดซับน้ำดี (ร้อยละ 46.19)
  • Default Image
    Item
    การศึกษาการใช้มะนาวผงแทนกรดซิตริกในผลิตภัณฑ์แยมแก้วมังกร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ณัชนก นุกิจ
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้มะนาวผงแทนกรดซิตริกในผลิตภัณฑ์แยมแก้วมังกร โดยจากการศึกษาสูตรมาตรฐาน พบว่า มีค่าสี L* a* และ b * เท่ากับ 28.56 , 24.11 และ 13.98 ตามลําดับ มีปริมาณ ของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด 65.80 องศาบริกซ์ ค่าความเป็นกรด – เบส 3.26 ปริมาณกรดซิตริกร้อยละ 2.79 ปริมาณน้ำตาลอินเวิร์ทร้อยละ 30.87 จากการทดสอบทางประสาทสัมผัส พบว่า ผู้ทดสอบให้คะแนนความชอบเฉลี่ยของลักษณะปรากฎสี การกระจายตัวของเมล็ดแก้วมังกร ลักษณะเนื้อสัมผัส รสเปรี้ยว รสหวาน และความชอบโดยรวมอยู่ที่ระดับชอบปานกลาง ส่วนลักษณะคุณภาพอื่นผู้ทดสอบให้คะแนนความชอบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับชอบเล็กน้อย จากการศึกษาอัตราส่วนระหว่างแก้วมังกรพันธุ์สีแดงต่อแก้วมังกรพันธุ์สีขาวที่เหมาะสมในการผลิตแยมแก้วมังกร พบว่าระดับของแก้วมังกรพันธุ์สีแดงที่สามารถทดแทนได้คือระดับร้อยละ 25 โดยแยมแก้วมังกรสูตรดังกล่าว มีค่าสี L*, a* และ b* เท่ากับ 21.11, 6.67 และ1.21 ตามลําดับ มีค่าความแข็งแรงของ เจล ความเป็นกรด-ด่าง ปริมาณของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด ปริมาณกรดซิตริกและปริมาณน้ำตาลอินเวิร์ท เท่ากับ 129.07, 3.15, 67.13, 3.63 และ 43.49 ตามลําดับ ซึ่งแยมแก้วมังกรสูตรนี้ยังมีลักษณะปรากฎใน คุณลักษณะด้านสีที่ดีคือมีสีแดงอ่อนกว่าสูตรอื่น ๆ ที่มีสีเข้มจนเกินไปไม่น่ารับประทาน ส่วนการทดสอบทาง ประสาทสัมผัส พบว่ามีค่าลักษณะปรากฏ สี ความคงตัวของเจล กลิ่น ลักษณะเนื้อสัมผัส และความชอบรวม มีคะแนนความชอบเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ชอบเล็กน้อยถึงปานกลาง จากการศึกษาอัตราส่วนศึกษาอัตราส่วน ระหว่างมะนาวผงและสารละลายกรดซิตริกที่เหมาะสมในการผลิตแยมแก้วมังกร พบว่าระดับของมะนาวผงที่สามารถทดแทนได้คือระดับ ร้อยละ 50 โดยแยมแก้วมังกรสูตรดังกล่าว มีค่าสี L*, a* และ b* เท่ากับ 14.36, 7.48 และ2.46 ตามลําดับ มีค่าความแข็งแรงของเจล ความเป็นกรด-เบส ปริมาณของแข็งที่ละลายได้ทั้งหมด ปริมาณกรดซิตริกและปริมาณน้ำตาลอินเวิร์ท เท่ากับ 177.09, 3.33, 67.10, 2.49 และ 36.55 ตามลําดับ ส่วน การทดสอบทางประสาทสัมผัส พบว่ามีค่าค่าคะแนนความชอบในทุกคุณลักษณะอยู่ในเกณฑ์ชอบปานกลาง การศึกษาการยอมรับของกลุ่มผู้บริโภค พบว่าผู้บริโภคให้คะแนนความชอบในคุณลักษณะด้านสี ความคงตัว ของเจล การกระจายตัวบนแผ่นขนมปัง รสเปรี้ยว รสหวาน และความชอบรวมอยู่ในระดับชอบปานกลางส่วน คุณลักษณะอื่น ๆ อยู่ในระดับชอบเล็กน้อย และผู้บริโภคส่วนใหญ่คิดว่าซื้อแน่นอน คิดเป็นร้อยละ 45 และ รองลงมาคือ ไม่แน่ใจว่าจะซื้อหรือไม่ คิดเป็นร้อยละ 42
  • Default Image
    Item
    การศึกษารูปแบบการจัดการธุรกิจชุมชน: กรณีศึกษาหมู่บ้านโฮมสเตย์ และหมู่บ้านประมงน้ำจืด จังหวัดหนองคาย
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ธวัชชัย เพ็งพินิจ
    การวิจัยในครั้งนี้ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาธุรกิจชุมชนหมู่บ้านโฮมสเตย์และหมู่บ้านประมงน้ำจืด จังหวัดหนองคาย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจชุมชน 2) ศึกษารูปแบบการจัดการธุรกิจชุมชน และ 3) นําเสนอแนวทางการพัฒนาธุรกิจชุมชน จากการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจชุมชนหมู่บ้านโฮมสเตย์บ้านจอมแจ้ง หมู่ที่ 1 ตําบลสีกาย อําเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ประกอบด้วย 1) ทุนทางธรรมชาติ 2) ทุนทางสังคม และวัฒนธรรม 3) ผู้นําทางการและกึ่งทางการในชุมชน 4) การมีส่วนร่วมและเรียนรู้ด้วยกันของสมาชิกในชุมชน 5) การสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐ 6) การสร้างเครือข่าย 7) การสร้างข้อตกลงร่วมกัน 8) การกระจายรายได้ 9) ความโปร่งใส และ 10) มีกิจกรรมต่อเนื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อความสําเร็จในการดําเนินธุรกิจชุมชนหมู่บ้านประมงน้ำจืด ประกอบด้วย 1) ทุนทางธรรมชาติ 2) ผู้นําทางการในชุมชน 3) การแลกเปลี่ยนความรู้ 4) ความต่อเนื่องของการ ผลิต 5) การกระจายรายได้ และ 6) การสนับสนุนจากหน่วยงานราชการ รูปแบบการจัดการธุรกิจชุมชนหมู่บ้านโฮมสเตย์และหมู่บ้านประมงน้ำจืด ประกอบด้วย 1) พัฒนาทุนทางธรรมชาติ 2) ใช้ผู้นําทางการ 3) สร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน 4) ให้หน่วยงาน ภาครัฐสนับสนุน 5) กระจายรายได้ และ 6) สร้างความต่อเนื่องของกิจกรรม แนวทางการพัฒนาธุรกิจชุมชน ควรเน้นการพัฒนาตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยดําเนินการในทางสายกลางและการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน ภายใต้ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว บนพื้นฐานของ ความรู้และคุณธรรม เพื่อการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้ง ด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาผลิตภัณฑ์โจ๊กข้าวแดงอังคั๊กผสมวุ้นสวรรค์
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) มณชัย เดชสังกรานนท์; อมรรัตน์ สีสุกอง; ภัทราทิพย์ รอดสําราญ
    การพัฒนาผลิตภัณฑ์โจ๊กข้าวแดงอังคั๊กผสมวุ้นสวรรค์กึ่งสําเร็จรูป ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ประกอบด้วย ข้าวกึ่งสําเร็จรูป 58.3 % ข้าวแดงอังคั๊กกึ่งสําเร็จรูป 3.3 % แป้งข้าวเจ้า 3.3 % เกลือ 6.5 % ซีอิ๊วผง 3.7 % เนื้อหมูบดอบแห้ง 4.6 % ใบหอมอบแห้ง 0.9 % สารปรุงแต่งกลิ่นรส 12 % และวุ้นสวรรค์อบแห้ง 7.4 % ผลการประเมินคุณภาพทางประสาทสัมผัส โดย วิธีการให้คะแนนความชอบ ระดับคะแนน 1-9 คะแนน พบว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพัฒนาแล้วมีคะแนนคุณภาพด้านลักษณะปรากฏเท่ากับ 7.18 ความหนืดเท่ากับ 6.98 กลิ่นรสผลิตภัณฑ์ เท่ากับ 6.75 ความเค็มเท่ากับ 7.05 และความชอบรวมเท่ากับ 7.23 เมื่อวิเคราะห์คุณภาพ ผลิตภัณฑ์โจ๊กข้าวแดงอังคั๊กผสมวุ้นสวรรค์กึ่งสําเร็จรูป พบว่า ค่าสี L* (37.52) a* (6.95) b* (4.05) ค่า aw เท่ากับ 0.17 อัตราการดูดน้ำกลับเท่ากับ 2.79 เท่า อัตราการขยายปริมาตร เท่ากับ 2.41 เท่า ระยะเวลาในการคืนตัวเท่ากับ 3.33 นาที ปริมาณโปรตีนเท่ากับ 5.71 % ปริมาณไขมันเท่ากับ 3.40 % ปริมาณเถ้าเท่ากับ 12.75 % ปริมาณความชื้นเท่ากับ 3.40 % ปริมาณเส้นใยหยาบเท่ากับ 2.79 % ปริมาณคาร์โบไฮเดรตเท่ากับ 72.75 % มีแคลเซียม และ ฟอสฟอรัสเท่ากับ 293.97 และ 839.88 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตามลําดับ และมีวิตามินบี 1 และ วิตามินบี 2 เท่ากับ 0.27 และ 0.25 มิลลิกรัม/100 กรัม ตามลําดับ โดยมีปริมาณจุลินทรีย์ ทั้งหมดเท่ากับ 2.35 × 103 CFU/g ไม่ตรวจพบยีสต์และรา E. coli, Salmonella, Clostridium perfringens และ Staphylococcus aureus
  • Default Image
    Item
    การอบแห้งบีทรูทและการประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) อมรรัตน์ สีสุกอง; ต่อพงศ์ บุญธรรม; ธีรภัทร เข็มประดับ
    งานวิจัยนี้เพื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการอบแห้งบีทรูท โดยในช่วงแรกได้ศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการลวกก่อนการอบแห้ง เพื่อยับยั้งเอนไซม์เพอร์ออกซิเดส โดยเปรียบเทียบสภาวะการลวก 3 สภาวะ ได้แก่ การลวกด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส การลวกด้วยน้ำร้อนร่วมกับโพแทสเซียมเมตตาไบซัลไฟต์ (KMS) 500 ส่วนในล้านส่วนที่อุณหภูมิ 95 องศาเซลเซียส และการลวก ด้วยไอน้ำที่อุณหภูมิ 105 องศาเซลเซียส โดยใช้เวลาในการลวก นาน 0.5, 1.0, 2.0 และ 3.0 นาที พบว่า การลวกด้วยไอน้ำ นาน 3.0 นาที ให้ประสิทธิภาพในการยับยั้งเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสดีที่สุด และเมื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการอบแห้งบีทรูทด้วยตู้อบลมร้อนแบบถาด โดยใช้อุณหภูมิในการอบแห้ง 3 สภาวะที่ 50, 60 และ 70 องศาเซลเซียส พบว่าเวลาที่ใช้ในการอบแห้งทั้ง 3 สภาวะเป็น 20, 15 และ 11 ชั่วโมง ตามลําดับ โดยการอบแห้งบีทรูทด้วยลมร้อนที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสมีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีปริมาณความชื้นของผลิตภัณฑ์สุดท้ายต่ำที่สุดเท่ากับร้อยละ 6.33 โดยมีค่าสี L, a และ b เท่ากับ 15.90, 29.15 และ 2.77 ตามลําดับ นอกจากนี้ การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีของบีท รูทอบแห้ง พบว่ามีปริมาณ โปรตีน ความชื้น เถ้า ไขมัน เส้นใย และคาร์โบไฮเดรต คิดเป็นร้อยละ 2.65, 6.56, 7.13, 1.59, 8.97 และ 73.1 ตามลําดับ การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมด ยีสต์ และราในขณะเก็บรักษา โดยใช้อุณหภูมิการเก็บรักษาที่ 4 องศาเซลเซียส และที่อุณหภูมิห้องเป็น เวลา 4 สัปดาห์ พบว่าการเก็บรักษาทั้งสองอุณหภูมิไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (P>0.05) โดยปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมด ยีสต์และรามีปริมาณน้อยกว่า 30 โคโลนีต่อกรัม จากนั้นศึกษา การนําบีทรูทอบแห้งไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ วุ้นผสมบีทรูท ขนมปุยฝ้ายผสมบีทรูท โจ๊ก กึ่งสําเร็จรูปผสมบีทรูท และซุปกึ่งสําเร็จรูปผสมบีทรูท โดยศึกษาคุณภาพทางประสาทสัมผัส พบว่า ผลิตภัณฑ์วุ้นผสมบีทรูท ได้คะแนนความชอบรวมอยู่ในเกณฑ์ชอบปานกลาง ผลิตภัณฑ์ขนมปุยฝ้ายผสม บีทรูทได้คะแนนความชอบรวมอยู่ในเกณฑ์ชอบมาก ผลิตภัณฑ์โจ๊กสําเร็จรูปผสมบีทรูท ได้คะแนนความชอบรวมอยู่ในเกณฑ์ชอบปานกลาง และ ผลิตภัณฑ์ซุปกึ่งสําเร็จรูปผสมบีทรูท ความชอบรวม ได้คะแนนอยู่ในเกณฑ์ชอบปานกลาง
  • Default Image
    Item
    โครงการ “การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในเขตพื้นที่ภาคกลางตอนบน”
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ฐิติยา เนตรวงษ์; รัชฎาพร ธิราวรรณ
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทําฐานข้อมูลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเขตพื้นที่ภาคกลาง ตอนบน โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ และเพื่อวิเคราะห์และเสนอแนวทางการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเขตพื้นที่ภาคกลางตอนบน โดยมีขอบเขตการศึกษาตัวแทนกลุ่มจังหวัดพื้นที่ภาคกลางตอนบนคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดลพบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นผู้บริหาร เขตด้านการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจํานวน 3 ท่าน และผู้เข้าใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ทางออนไลน์ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 – 29 กุมภาพันธ์ 2551 จํานวนทั้งสิ้น 157 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์ เว็บไซต์ฐานข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ และแบบสอบถามออนไลน์ ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา การคํานวณหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ซึ่งผลการศึกษาพบว่า 1) จากการพัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ผู้เข้าใช้ระบบมีความพึงพอใจต่อการใช้เว็บไซต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีความพึงพอใจในเรื่อง ได้รับความรู้และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ใช้ประกอบการตัดสินใจในการท่องเที่ยว และชื่อเว็บไซต์ทําให้จดจําได้ง่าย ส่วนความคิดเห็นต่อการพัฒนาเว็บไซต์ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เป็นเว็บไซต์ที่ผู้ใช้จะกลับมาใช้งาน อีกต้องปรับปรุงความสวยงามเพื่อให้เว็บไซต์น่าสนใจมากขึ้น และมีควรมีการพัฒนาเว็บไซต์ให้มีทั้ง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษต่อไปในอนาคต 2) แนวทางการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดลพบุรีเน้น ให้ชุมชนมีส่วนร่วม มีการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อจัดทํา e-market, e-commerce และการเข้าถึง ข้อมูลท่องเที่ยวได้ง่ายทางเว็บไซต์
  • Default Image
    Item
    การศึกษาแรงจูงใจและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) วิสาขา เทียมลม
    การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจ ความสนใจ การมีส่วนร่วม และปัจจัย ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ได้แก่ ลักษณะทางประชากรศาสตร์ แรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรม ความสนใจการเข้าร่วมกิจกรรมแต่ละประเภท และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในการวิจัยเชิงปริมาณผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงสํารวจ (Survey Research) แบบ (One-Shot Descriptive) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก นักศึกษาระดับปริญญาตรี ภาคปกติ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ชั้นปีที่ 1 – 4 จํานวน 4 คณะ 18 ศูนย์การศึกษา จํานวน 4,736 คน ในการหาความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ใช้ค่าสัมประสิทธิ์ อัลฟาของครอนบาค ได้ค่าเท่ากับ 0.922 การวิเคราะห์ใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างด้วยค่าสถิติ t-test และ F-test และ Pearson Product Correlation Coefficient และการวิจัยเชิงคุณภาพผู้วิจัยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (Dept Interview) แบบกึ่งโครงสร้าง ในรูปแบบอิสระ (Semi-structured interview in a free format) จากนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จํานวน 10 คน ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า 1. กลุ่มตัวอย่างมีระดับแรงจูงใจในการร่วมกิจกรรมของนักศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย = 3.61, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.53) ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย = 3.43, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 0.63) และมีส่วนร่วมกิจกรรมในระดับน้อย (0 – 8 กิจกรรม) จํานวน 2,156 คน คิดเป็นร้อยละ 45.5 2. นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ที่มีลักษณะทางประชากรศาสตร์ คือ เพศ ชั้นปีที่ ศึกษา สัมฤทธิ์ผลทางการเรียน ศูนย์การศึกษา และคณะที่ศึกษา แตกต่างกัน จะมีระดับแรงจูงใจ 3. ระดับแรงจูงใจในการเข้าร่วมกิจกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตมี ความสัมพันธ์เชิงบวกกับความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมแต่ละประเภทที่ระดับ 0.649 (p-value < 0.05) 4. ความสนใจในการเข้าร่วมกิจกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตมี ความสัมพันธ์เชิงบวกกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ระดับ 0.181 (p-value < 0.05) เมื่อขจัดอิทธิพล ของแรงจูงใจในการเข้ากิจกรรม โดยพบว่าแรงจูงใจไม่มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมใน กิจกรรมเมื่อขจัดอิทธิพลของความสนใจในการเข้าร่วมกิจกรรม ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า 1. นักศึกษาโดยส่วนใหญ่ต้องการให้มีการจัดกิจกรรมนักศึกษาขึ้นทั้งปี 2. แรงจูงใจที่ทําให้อยากเข้าร่วมกิจกรรม ได้แก่ ผลตอบแทน (ด้านสังคม และ ประสบการณ์ชีวิต) ความน่าสนใจของกิจกรรม และการให้การสนับสนุนจากองค์กร 3. นักศึกษาส่วนใหญ่ มีความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมนักศึกษา โดยมีเหตุผลในการเข้าร่วม คือ ได้ประสบการณ์และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ 4. การเข้าร่วมกิจกรรมนักศึกษาโดยเฉลี่ย 2-7 ครั้ง /ปี กิจกรรมที่เข้าร่วมคือ เฟรชชี่เดย์ เลือกตั้งองค์กรนักศึกษา เป็นต้น 5. นักศึกษาอยากให้มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตจัดกิจกรรมที่มีรูปแบบหลากหลายตาม ความต้องการของนักศึกษา กิจกรรมแสดงความสามารถ กิจกรรมช่วยเหลือสังคม และมีชมรมที่เกี่ยวกับการศึกษาในแต่ละคณะ
  • Default Image
    Item
    การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากพืชในการควบคุมหนอนแมลงวันบ้าน
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ยุวรัตน์ ปรมีศนาภรณ์
    การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากสะเดา รากดาวเรืองน้อย และลําต้น ใบ สาบเสือ ด้วยวิธีการสกัดด้วยตัวทําละลายเฮกเซน ไดคลอโรมีเทน เมทธิลแอลกอฮอล์ และน้ำ ใน การควบคุมและกําจัดหนอนแมลงวันบ้าน ระยะที่ 2 สายพันธุ์ที่ไม่ต้านทานสารเคมี ด้วยวิธีทดสอบ แบบ Feeding method โดยแสดงความเป็นพิษในรูปมัธยฐาน ที่ระดับความเข้มข้นของสารสกัดที่ ทําให้หนอนแมลงวันบ้านตาย ภายในเวลา 48 ถึง 72 ชั่วโมง พบว่า สารสกัดจากสะเดามี ประสิทธิภาพในการควบคุมหนอนแมลงวันบ้านสูงสุด โดยสารสกัดสะเดาแบบเข้มข้น สารสกัด สะเดาอย่างหยาบ หรือสกัดด้วยเมทธิลแอลกอฮอล์ และน้ำมันสะเดา มีประสิทธิภาพในการ ควบคุมและกําจัดหนอนแมลงวันบ้าน มีค่า LC 50 ที่ 48 ชั่วโมง เท่ากับ 5.05, 4.80 และ 20.12 มิลลิกรัมต่อลิตรตามลําดับ มีค่า LC 50 ที่ 72 ชั่วโมง เท่ากับ 4.81, 4.63 และ 19.12 มิลลิกรัมต่อ ลิตรตามลําดับ ประสิทธิภาพของสารสกัดจากรากดาวเรืองน้อย ที่สกัดด้วยเมทธิลแอลกอฮอล์มี ประสิทธิภาพในการควบคุมและกําจัดหนอนแมลงวันบ้าน มีค่า LC 50 ที่ 48 ชั่วโมง และที่ 72 ชั่วโมง เท่ากับ 194.56 และ 200.75 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลําดับ ส่วนสารสกัดจากลําต้น ใบ สาบเสือ ที่สกัดด้วยเมทธิลแอลกอฮอล์ และน้ำ ที่ระดับความเข้มข้นของสารร้อยละ 20, 40, 60, 80 และ100 มิลลิกรัมต่อลิตร ไม่มีผลในการควบคุมหนอนแมลงวันบ้าน โดยหนอนที่ทดสอบสามารถ เจริญเติบโตเข้าสู่ระยะดักแด้ต่อไป
  • Default Image
    Item
    การจัดการความรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) พูลสุข สังข์รุ่ง; สุชาดา นิภานันท์; มนัส นามวงศ์; ณัฏฐดา ศรีมุข; โสภา อิ่มวิทยา; พีระพงศ์ ภักคีรี; นงลักษณ์ โพธิ์ไพจิตร; กล้าหาญ ณ น่าน
    การวิจัยเรื่อง การจัดการความรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) ศึกษาการจัดการความรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต 2) เปรียบเทียบการจัดการความรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จําแนกตามชั้นปีที่ศึกษาและคณะที่ศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยสนับสนุนการจัดการความรู้กับการจัดการความรู้ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต 4) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดการความรู้ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จํานวน 1,330 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธี LSD และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต มีพฤติกรรมการใช้ปัจจัยสนับสนุนการจัดการความรู้โดยรวมและทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงตามลําดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยดังนี้ แหล่งการเรียนรู้ การใช้ทักษะการเรียนรู้ และเทคโนโลยี 1.1 ด้านแหล่งการเรียนรู้ นักศึกษามีพฤติกรรมการใช้แหล่งการเรียนรู้จากมหาวิทยาลัย มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ การพบปะพูดคุยกับกลุ่มเพื่อน การสนทนากับบุคคลทั่วไปที่มีความรู้ และห้องสมุดเสมือนจริงที่ให้บริการค้นคว้าทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามลําดับ ส่วนที่มีค่าเฉลี่ย น้อยที่สุด คือ สถาบันสอนเสริมความสามารถพิเศษ 1.2 ด้านทักษะการเรียนรู้ นักศึกษามีพฤติกรรมการใช้ทักษะการเรียนรู้โดยใช้ทักษะการฟังอย่างเดียว มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ เปิดโอกาสให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นทุกครั้งที่เขียน และเปิดโอกาสให้ผู้อื่นซักถามได้ทุกครั้งที่พูด ตามลําดับ ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ การพูดอย่างเดียว 1.3 ด้านเทคโนโลยี นักศึกษามีพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต มีค่าเฉลี่ยมาก ที่สุด รองลงมาคือ โทรทัศน์ และโทรศัพท์มือถือ ตามลําดับ ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ โทรสาร 2. นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต มีพฤติกรรมการจัดการความรู้โดยรวมในระดับมาก โดยมีการสร้างความรู้และการจัดระบบความรู้อยู่ในระดับมาก ส่วนการกระจายความรู้อยู่ใน ระดับปานกลาง 2.1 ด้านการสร้างความรู้ นักศึกษามีพฤติกรรมการสร้างความรู้โดยการหาความรู้จาก สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ (เช่น อินเทอร์เน็ต, e-mail) มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ เพื่อนช่วยเพื่อน และการสนทนากับกลุ่มเพื่อน ตามลําดับ ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และธุรกิจ 2.2 ด้านการจัดระบบความรู้ นักศึกษามีพฤติกรรมการจัดระบบความรู้โดยจัดเก็บความรู้ต่าง ๆ ไว้ในเอกสาร มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ จัดเก็บความรู้ต่าง ๆ ไว้ในคอมพิวเตอร์ และสื่อจัดเก็บอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น แผ่นบันทึกข้อมูล ซีดี เครื่องเล่น MP3 MP4) และมีการสืบค้นข้อมูลจาก ฐานข้อมูลด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น การใช้ search engine เป็นต้น) ตามลําดับ ส่วนที่มีค่าเฉลี่ย น้อยที่สุดคือ จัดทําดัชนีและคู่มือการจัดเก็บเพื่อให้ง่ายต่อการสืบค้น 2.3 ด้านการกระจายความรู้ นักศึกษามีพฤติกรรมการกระจายความรู้โดยการสนทนากับผู้อื่น มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกลุ่มเพื่อน และการถ่ายทอดความรู้ผ่านการทํางานร่วมกัน ตามลําดับ ส่วนที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ การเขียนบทความ เผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ผลการทดสอบสมมติฐาน มีดังนี้ 1. นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตที่มีชั้นปีที่ศึกษาแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการ จัดการความรู้โดยรวม และในทุกด้าน (การสร้างความรู้ การจัดระบบความรู้ และการกระจาย ความรู้) แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนักศึกษาชั้นปีที่ 1, 2 และ 3 มีค่าเฉลี่ย การจัดการความรู้โดยรวมสูงกว่านักศึกษาชั้นปีที่ 4 2. นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตที่มีคณะที่ศึกษาแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการ จัดการความรู้โดยรวม ด้านการสร้างความรู้ และด้านการจัดระบบความรู้ แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยการจัดการ ความรู้โดยรวมต่ํากว่านักศึกษาคณะวิทยาการจัดการ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ และนักศึกษาคณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ปัจจัยด้านทักษะการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์กับการจัดการความรู้ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งการจัดการความรู้โดยรวม และในแต่ละด้านของการจัดการความรู้ โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับปานกลาง (ค่าความสัมพันธ์เท่ากับ .553) 4. ปัจจัยด้านแหล่งการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์กับการจัดการความรู้ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งการจัดการความรู้โดยรวม และในแต่ละด้านของการจัดการความรู้ โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับปานกลาง (ค่าความสัมพันธ์เท่ากับ .680) 5. ปัจจัยด้านเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับการจัดการความรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัย ราชภัฏสวนดุสิต อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งการจัดการความรู้โดยรวมและในแต่ละ ด้านของการจัดการความรู้ โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับปานกลาง (ค่าความสัมพันธ์เท่ากับ .654) ปัญหาหรืออุปสรรคในการจัดการความรู้นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต มีดังนี้ 1) การไม่มีสมาธิและปัญหาด้านความจําทําให้ได้รับความรู้ไม่เต็มที่ 2) การไม่เข้าใจในความรู้ที่ ได้รับมา 3) สิ่งอํานวยความสะดวกที่เอื้อต่อการเรียนรู้มีน้อยและไม่ทันสมัย เช่น สื่อ คอมพิวเตอร์ หนังสือ เทคโนโลยี 4) ไม่มีเวลาในการจัดการความรู้ และ 5) ความเกียจคร้าน
  • Default Image
    Item
    การพัฒนาประสิทธิภาพปลั๊กลดเสียงจากยางธรรมชาติ
    (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) สุรชาติ สินวรณ์; ณัฐบดี วิริยาวัฒน์
    การพัฒนาประสิทธิภาพปลั๊กลดเสียงจากยางธรรมชาติ ซึ่งเป็นการศึกษาเพื่อหาประสิทธิภาพปลั๊กลดเสียงที่ผลิตขึ้นจากยางธรรมชาติและหาความสัมพันธ์ของการลดเสียง ระหว่างปลั๊กลดเสียงจากยางธรรมชาติต้นแบบกับชนิดที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งวิธีการคือการใช้ยางพาราธรรมชาติมาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก โดยการปรับปรุงกระบวนการลดปริมาณดิสเพิสชั่น 50% ของกํามะถันลง 50% จากสูตรการผลิตฟองน้ำ แล้วนํามาทดสอบประสิทธิภาพในการลดเสียงด้วย เครื่องตรวจวัดระดับการได้ยิน (Audiometer) ที่ความถี่ ทั้ง 9 ระดับ ซึ่งได้แก่ 125 250 500 1000 2000 3000 4000 6000และ 8000 เฮิร์ซ (Hertz, Hz) โดยการเลือกตัวอย่างจํานวน 64 คน ช่วงอายุ 19 – 22 ปี มาทําการตรวจวัดระดับการได้ยินด้วยเสียงบริสุทธิ์ (Pure tone) โดยทําการซ้ำการทดลองละ 3 ซ้ำ เพื่อคํานวณหาค่าการลดเสียงในแต่ละความถี่จากผลของระดับการได้ยินเมื่อใส่และไม่ใส่ปลั๊กลดเสียง พบว่า ปลั๊กลดเสียงต้นแบบมีค่าการลดเสียงได้มากกว่า 15 เดซิเบล (decibel,dB) ที่ทุกความถี่ ด้วยระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 90 (P-value < 0.10) ซึ่งไม่มีความแตกต่างกันในด้านประสิทธิภาพการลดเสียงเมื่อเปรียบเทียบกับชนิดที่สั่งซื้อจากต่างประเทศ โดยมีความสัมพันธ์ของการลดเสียงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (0.260-0.771) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 90 สําหรับการหาค่าอัตราการลดเสียงของอุปกรณ์ป้องกันเสียงตามวิธีของหน่วยงานป้องกันสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (Environmental Protection Agency, EPA) นั้น พบว่า ปลั๊กลดเสียงต้นแบบและปลั๊กลดเสียงจากต่างประเทศมีค่าอัตราการลดเสียงเมื่อสัมผัสกับเสียงความถี่สูง “NRR” (Noise Reduction Rate) เท่ากับ 18.9 dB และ 25.6 dB และมีค่าอัตราการลดเสียงเมื่อสัมผัสกับเสียงที่ความถี่ต่ำ “NRR” (Noise Reduction Rate) เท่ากับ 18.7 dB และ 25.5 dB ตามลําดับ ซึ่งค่ามาตรฐานการได้รับฟังเสียงดังไม่เกิน 96.1 dB ตลอดระยะเวลาการทํางานต่อเนื่อง 8 ชั่วโมงนั้น ปลั๊กลดเสียงต้นแบบสามารถ ป้องกันเสียงดังได้ดีปานกลาง