Research
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing Research by Issue Date
Now showing 1 - 20 of 1047
Results Per Page
Sort Options
Item รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; จิรัฐ ชวนชม; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; สฤษดิ์ ศรีโยธิน; ขจีนุช เชาวนปรีชา; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; พรเพ็ญ ไตรพงษงานวิจัยเรื่องรูปแบบการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีวัตถุประสงค์ 5 ประเด็น คือ (1) เพื่อวิเคราะห์กระบวนการยกระดับสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี (2) เพื่อวิเคราะห์แนวทางการพัฒนามาตรการด้านกฎหมายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี (3) เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการตลาด การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี (4) เพื่อวิเคราะห์กระบวนการยกระดับคุณภาพการบริการของแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี และ (5) เพื่อจัดทำรูปแบบการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ต้องประกอบด้วย 5 ด้าน ดังต่อไปนี้ 1. กระบวนการยกระดับสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ต้องประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ (1) ผู้ประกอบการควรมีการดำเนินการจัดการการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง (2) ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรควรได้รับการพัฒนาเพิ่มมูลค่าโดยการร่วมมือกับมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน และ (3) เกษตรกรควรได้รับการยกระดับเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ (Smart Farmer) 2. แนวทางการพัฒนามาตรการด้านกฎหมายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษต ในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ควรมีการพัฒนามาตรการทางกฎหมายให้สอดคล้องกับท้องถิ่น หรือแยกเป็นกฎหมายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเพื่อสร้างแรงจูงใจในการท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงควรมีเกณฑ์การประเมินและการรับรอง คุณภาพแหล่งท่องเที่ยวและการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อให้นักท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร มีความไว้วางใจและเชื่อมั่นในการท่องเที่ยวในแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรี 3. รูปแบบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ควรมีรูปแบบการตลาดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวนิเวศเกษตร ที่มีส่วนประกอบของส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) ทั้ง 7 ด้าน คือ (1) ด้านผลิตภัณฑ์ (Product) เน้นในด้านกิจกรรมและตัวสินค้าที่สามารถสะท้อนวิถีชีวิตของชุมชน (2) ด้านราคา (Price) กำหนดราคาแบบเป็นแพ็กเกจที่ดูคุ้มค่าและรู้ล่วงหน้าว่าจะได้รับอะไร โดยได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ (3) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (Place) ที่เข้าถึงลูกค้าได้มากที่สุด คือ ช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) หรือสื่อสังคมออนไลน์ (Online) (4) ด้านการส่งเสริมการตลาด (Promotion) ควรประชาสัมพันธ์ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย มีการจัดการการท่องเที่ยวในฤดูกาลต่าง ๆ ที่แตกต่างกันผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย (5) ด้านกระบวนการ (Process) มีการวางระบบการให้บริการ โดยชุมชนใช้บุคลากรแค่คนเดียวทำหน้าที่ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ โดยมีหัวหน้ากลุ่มเป็นวิทยากรบรรยาย นำเสนอ เรื่องราวของชุมชน (6) ด้านลักษณะทางกายภาพ (Physical Presence) ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตามพี้นที่มีผลผลิตที่แตกต่างจากที่อื่น และ (7) ด้านบุคลากร (People) ให้บริการด้วยความเป็นมิตร จริงใจ และเต็มใจให้บริการ เป็นนักสื่อความหมายที่เก่ง 4. กระบวนการยกระดับคุณภาพการบริการของแหล่งเรียนรู้ท้องถิ่นในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ (1) การปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่สัมผัสได้ในการบริการ ได้แก่ ความทันสมัยและความพร้อมของอุปกรณ์ที่ เกี่ยวข้องกับบริการความประณีตของวิทยากร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีเสน่ห์ของแหล่งเรียนรู้ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร (2) การพัฒนานักสื่อความหมายหรือวิทยากรในแหล่งเรียนรู้ ทำการสื่อสารเพื่อถ่ายทอดข้อมูลชุมชนให้กับนักท่องเที่ยว และเป็นผู้ขับเคลื่อนการต้อนรับนักท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เกษตรในด้านต่าง ๆ ภายในชุมชน และ (3) กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ (KM) เรื่องการติดตามผลการให้บริการ การจัดการข้อร้องเรียน นำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพการบริการ 5. รูปแบบการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ต้องจัดทำโดยประกอบด้วยเนื้อหาใน 2 ประเด็น คือ (1) แนวทางการพัฒนารูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี โดยผู้ประกอบการต้องใช้ทรัพยากรที่มีค่าของท้องถิ่นในการสร้างรูปแบบการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร ด้วยการสร้างเส้นทางการท่องเที่ยวให้ชัดเจน เน้นอัตลักษณ์แหล่งเรียนรู้เฉพาะแหล่งแบบมีส่วนร่วมมีแนวทางการเสริมสร้างความรู้ในแนวทางเกษตรอินทรีย์ที่เน้นความสำคัญของสุขภาพ มีรูปแบบการพัฒนาที่สอดคล้องกับ PDG และ (2) การจัดทำแผนพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ในด้านต่าง ๆ 6 ด้าน คือ (1) ด้านการทำการตลาด ที่เน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์จุดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในจังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีเรื่องราว มีกิจกรรมที่น่าสนใจ (2) ด้านการสร้างคุณภาพสินค้าเกษตรให้เป็นเกษตรอินทรีย์ที่ตรงตามความต้องการในตลาดปัจจุบัน (3) ด้านการพัฒนาทักษะการสื่อสารของกลุ่มเกษตรกร เช่น การเป็นมัคคุเทศก์ วิทยากรบรรยายที่มีประสิทธิภาพ สามารถตอบคำถามของนักท่องเที่ยวได้ (4) ด้านการพัฒนาพื้นที่เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ให้มีการท่องเที่ยวชุมชนอย่างครบถ้วน (5) ด้านการส่งเสริมนโยบายการท่องเที่ยวเกษตรให้ยั่งยืน โดยอิงกับแผนเกษตรยั่งยืน การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศการเกษตรแบบครบวงจร และ (6) ด้านการสร้างแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายและมีการพัฒนาในการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรItem การพัฒนารูปแบบการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนานักศึกษาครุศาสตร์ระหว่างคณะครุศาสตร์และโรงเรียนสาธิตละอออุทิศโดยใช้สถานศึกษาเป็นฐาน(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ทิพย์ ขำอยู่; สุทธิพรรณ ธีรพงศ์; ประภาวรรณ สมุทรเผ่าจินดา; ปนรรฐพร คำหาญสุนทรการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการทำงานร่วมกันโดยใช้สถานศึกษาเป็นฐานของคณะครุศาสตร์และโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างคณะครุศาสตร์และโรงเรียนสาธิตละอออุทิศโดยใช้สถานศึกษาเป็นฐาน และ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบทำงานร่วมกันสำหรับพัฒนานักศึกษาครุศาสตร์โดยใช้สถานศึกษาเป็นฐาน โดยใช้เทคนิคเดลฟาย ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้บริหารโรงเรียนสาธิตลอออุทิศ ครูโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ และอาจารย์คณะครุศาสตร์ จำนวน 19 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสัมภาษณ์ และ 2) แบบสอบถามตรวจสอบรูปแบบ การวิเคราะห์เนื้อหา ใช้การวิเคราะห์ทางสถิติด้วยค่ามัธยฐาน และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการทำงานร่วมกันมีองค์ประกอบสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบเกิดจากความร่วมมือของผู้บริหาร ครู อาจารย์ผู้สอน 2) ด้านการมีส่วนร่วมในการวางแผนและการตัดสินใจ 3) ด้านการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติฝึกประสบการณ์วิชาชีพ และ 4) ด้านการมีส่วนร่วมในการรับรองคุณภาพบัณฑิต ซึ่งรูปแบบดังกล่าว ผู้บริหารงานวิชาการ นักวิชาการ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานพัฒนาวิชาชีพครูของโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ โรงเรียนเครือข่ายของสถาบันผลิตครู มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ สามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรในอนาคต หรือนำไปประยุกต์ใช้กำหนดบทบาทหน้าที่ของครูหรือบุคลากรทางการศึกษาได้Item นวัตกรรมการฝึกอบรมทุนมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการสำหรับบุคลากรวัยทำงาน (Re-Skill/ Up-Skill) เพื่อให้รองรับมาตรฐานมาตรฐาน MRA บนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) (ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด)(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) จิรานุช โสภา; พรรณี สวนเพลง; ชุติมา จักรจรัส; พิมพ์รวี ทหารแกล้ว; ณัฐปรียา โพธิ์พันธุ์; วริษฐา แก่นสานสันติ; ศริญญา ประเสริฐสุด; ทินกร ชุณหภัทรกุลงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การฝึกอบรมทุนมนุษย์ในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว (Travel service) เพื่อให้รองรับมาตรฐาน MRA บนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) 2) การฝึกอบรมทุนมนุษย์ในธุรกิจการโรงแรม (Hotel service) เพื่อให้รองรับมาตรฐานมาตรฐาน MRA บนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantitative research) โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว จำนวน 30 คน และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action research) ด้วยการจัดการฝึกอบรมให้กับบุคคลาการด้านการท่องเที่ยวและโรงแรม ผลการวิจัยพบว่า 1) การฝึกอบรมทุนมนุษย์ในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว (Travel service) เพื่อให้รองรับมาตรฐาน MRA บนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ด้วยหลักสูตรยุวมัคคุเทศก์นำเที่ยว มาสอนให้กับเยาวชนในท้องถิ่น ใช้เวลาในการฝึกอบรม 2 วัน ภาคทฤษฎี 12 ชั่วโมง และภาคปฏิบัติ 3 ชั่วโมง ผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 105 คน โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ผู้เข้าร่วมอบรมมีความพึงพอใจมากในทีมวิทยากร เนื้อหาการอบรมสามารถนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง และมีคาดหวังให้ทางทีมวิจัยต่อยอดการจัดอบรมในหัวข้ออื่น ๆ 2) การฝึกอบรมทุนมนุษย์ในธุรกิจการโรงแรม (Hotel service) เพื่อให้รองรับมาตรฐานมาตรฐาน MRA บนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 ส่งผลกระทบต่อการจัดการฝึกอบรมทุนมนุษย์ในธุรกิจการโรงแรม (Hotel service) ด้วยการปรับเปลี่ยนการฝึกอบรม 2 รูปแบบ คือ - การฝึกอบรมในพื้นที่ (Onsite) ให้กับการพนักงานแผนกประกอบอาหาร (Food production) สุขาภิบาลและความปลอดภัยของผู้สัมผัสอาหาร จำนวน 310 คน โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี ผู้เข้าร่วมอบรมมีความพึงพอใจมากในทีมวิทยากร เนื้อหาการอบรมสามารถนำเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง และมีคาดหวังให้ทางทีมวิจัยต่อยอดการจัดอบรมในหัวข้ออื่น ๆ - การฝึกอบรมรูปแบบออนไลน์ (Online) ด้วยการนำ 6 หลักสูตร ได้แก่ ยุวมัคคุเทศก์ นำเที่ยว พนักงานแผนกแม่บ้าน พนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า พนักงานแผนกประกอบอาหาร พนักงานแผนกอาหารและเครื่องดื่ม สุขาภิบาลและความปลอดภัยของผู้สัมผัสอาหาร ในแพลตฟอร์มออนไลน์ YouTube : Upskill HCD SDU MOOCs และ SDU MOOCs (ที่ https://mooc.dusit.ac.th/) มีจำนวนคลิปวิดีโอ 200 คลิป ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนได้ทุกเวลาItem การพัฒนาผลิตภัณฑ์พาสตาข้าวกล้องเพื่อสุขภาพเสริมผักใบเขียวแคลเซียมสูง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ปัญญภัสก์ ปิ่นแก้ว; กันต์กนิษฐ์ จงรัตนวิทย์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์พาสตาข้าวกล้องเพื่อสุขภาพเสริมผักใบเขียวแคลเซียมสูงชนิดเส้นสดและชนิดอบแห้ง และพัฒนารูปแบบการบรรจุและบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์พาสตาข้าวกล้องเพื่อสุขภาพเสริมผักใบเขียวแคลเซียมสูงที่สามารถยืดอายุการเก็บรักษาและสามารถวางจำหน่ายในท้องตลาดได้ ผลการวิจัยพบว่าผักใบเขียวที่เลือกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเส้นพาสตาข้าวกล้องเพื่อสุขภาพเสริมผักใบเขียวแคลเซียมสูง ได้แก่ คะน้า กวางตุ้ง และโหระพา ซึ่งนำมาจากเกษตรกรที่ปลูกในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี โดยใบโหระพามีปริมาณแคลเซียมมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p£0.05) รองลงมาคือ ใบกวางตุ้ง และมีปริมาณน้อยที่สุดคือใบคะน้า ตามลำดับ เส้นพาสตาข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสูตรเสริมผักใบเขียวแคลเซียมสูง ได้แก่ คะน้า กวางตุ้ง และโหระพา ชนิดเส้นสดและชนิดอบแห้ง มีปริมาณแคลเซียมของ Thai RDI อยู่ในช่วงร้อยละ 14-18 และร้อยละ 10-11 ของ Thai RDI ตามลำดับ ซึ่งสามารถกล่าวอ้างทางโภชนาการบนฉลากว่า “เสริมแคลเซียม หรือเป็นแหล่งของแคลเซียม หรือมีแคลเซียม” ได้ อายุการเก็บรักษาของเส้นพาสตาข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสูตรเสริมผักใบเขียวแคลเซียมสูง (กวางตุ้ง) ชนิดอบแห้งเป็นระยะเวลา 6 เดือน พบว่าไม่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าสี L* (ค่าความสว่าง) (p>0.05) แต่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าสี a* (ค่าสีเขียว) และค่าสี b* (ค่าสีเหลือง) (p£0.05) ในขณะที่ปริมาณความชื้น และค่าวอเตอร์แอคทีวิตี้ (αw) มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในระหว่างการเก็บรักษา และมีคุณภาพทางจุลชีววิทยาของอาหารอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดตลอดระยะเวลาในการเก็บรักษา การออกแบบบรรจุภัณฑ์และฉลากต้นแบบภายนอกที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์เส้นพาสตาข้าวกล้องเพื่อสุขภาพสูตรเสริมผักใบเขียวแคลเซียมสูง (กวางตุ้ง) ชนิดอบแห้ง ได้เลือกวัสดุที่เป็นกล่องกระดาษพิมพ์ลวดลายสวยงาม ซึ่งมีข้อดี คือ ปลอดภัย และช่วยลดปริมาณขยะItem การพัฒนาผลิตภัณฑ์เบเกอรี่เพื่อสุขภาพแบบคีโต (Ketogenic Diet)(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ณัชฌา พันธุ์วงษ์; พรทวี ธนสัมบัณณ์; มนฤทัย ศรีทองเกิด; บุญญาพร เชื่อมสมพงษ์งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสูตรที่เหมาะสมการพัฒนาผลิตผลิตภัณฑ์เบเกอรี่สุขภาพแบบคีโต โดยการศึกษาการนำแป้งที่มีคุณสมบัติต้านการย่อย (แป้งกล้วยน้ำว้า แป้งถั่วขาวและแป้ง อัลมอลด์) ทดแทนแป้งสาลีและสารให้ความหวานพลังงานต่ำ (น้ำตาลหล่อฮังก๊วยและสารให้ความหวานซูคราโรส) แทนน้ำตาลในผลิตภัณฑ์เอแคลร์และชีสเค้ก โดยออกแบบการทดลองแปรปริมาณการทดแทนแป้งอยู่ในช่วง 10-50% และสารให้ความหวานที่ 100% ในอัตราส่วน 3 ระดับของสารให้ความหวานทั้งสองชนิด ผลการทดลองพบว่าผลิตภัณฑ์เอแคลร์มีค่าคะแนนความชอบทางประสาทสัมผัสด้านรสชาติ ลักษณะ เนื้อสัมผัสและความชอบโดยรวมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยผลิตภัณฑ์เอแคลร์ที่มีการทดแทนแป้งสาลีด้วยแป้งต้านการย่อยที่เท่ากับร้อยละ 70 (แป้งอัลมอนด์ 30% แป้งถั่วขาว 20% และแป้งกล้วยน้ำว้า 20%) และสารให้ความหวานอัตราส่วนน้ำตาลหล่อฮังก๊วย 70% ต่อซูคราโรส 30% เป็นสิ่งทดลองที่เหมาะสมมากที่สุดโดยให้ค่าความชอบโดยรวมผลิตภัณฑ์ต้นแบบคะแนนเท่ากับ 7.63 ผลิตภัณฑ์ชีสเค้กมีค่าคะแนนความชอบทางประสาทสัมผัสด้านกลิ่นรสหวาน ความเข้มรสหวาน และความชอบโดยรวมแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยผลิตภัณฑ์มีชีสเค้กที่มีการทดแทนด้วยแป้งต้านการย่อยที่เท่ากับร้อยละ 60 (แป้งอัลมอนด์ 20% แป้งถั่วขาว 20% และแป้งกล้วยน้ำว้า 20%) และสารให้ความหวานอัตราส่วนน้ำตาลหล่อฮังก๊วย 70% ต่อซูคราโรส 30% เป็นสิ่งทดลองที่เหมาะสมมากที่สุดโดยให้ค่าความชอบโดยรวมผลิตภัณฑ์ต้นแบบคะแนนเท่ากับ 7.25 ผลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์พบว่าปริมาณพลังงานรวมคาร์โบไฮเดรตและไขมันเมื่อเทียบกับตำรับพื้นฐานทั้งผลิตภัณฑ์เอแคลร์และชีสเค้กในระดับที่ลดลง โดยคิดเป็นร้อยละพลังงานโดยรวมลดลงร้อยละ 15.40 (เอแคลร์) และ11.25 (ชีสเค้ก) ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาได้เก็บรักษาที่อุณหภูมิแช่เย็นมีความปลอดภัยสำหรับการบริโภคตลอดการเก็บรักษา 10 วัน ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่เพื่อสุขภาพแบบคีโตที่ผลิตได้เป็นทางเลือกหนึ่งให้กับผู้บริโภคที่ต้องการบริโภคอาหารแนวรูปแบบคีโตItem การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสตามแนวคิดเกมมิฟิเคชันเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบออนไลน์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยสวนดุสิต(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) แว่นแก้ว ลีพึ่งธรรมการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสตามแนวคิดเกมมิฟิเคชันประกอบการจัดการเรียนการสอน 2) เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบออนไลน์ของผู้เรียนก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสตามแนวคิดเกมมิฟิเคชันประกอบการจัดการเรียนการสอน และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนเกี่ยวกับการใช้กิจกรรมการเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสตามแนวคิดเกมมิฟิเคชันประกอบการจัดการเรียนการสอน ผู้วิจัยได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยนี้ คือ นักศึกษาที่เลือกลงทะเบียนเรียนวิชาฝรั่งเศสศึกษา ในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัย ประกอบด้วย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนวัฒนธรรมฝรั่งเศส แบบสอบถามแรงจูงใจใฝ่ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสตามแนวคิดเกมมิฟิเคชันประกอบการจัดการเรียนการสอน และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนเกี่ยวกับการใช้เกมมิฟิเคชันประกอบการจัดการเรียนการสอน สถิติที่ใช้ในงานวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ T-test ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสหลังการใช้กิจกรรมตามแนวคิดเกมมิฟิเคชันประกอบการจัดการเรียนการสอน มีค่าเฉลี่ยโดยรวมที่ระดับร้อยละ 84.66 ซึ่งสูงกว่าค่าระดับที่ผู้วิจัยตั้งไว้ในสมมติฐานการวิจัย คือ ร้อยละ 70 คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสของผู้เรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านการตั้งเป้าหมายและการวางแผนด้านการเรียนเพื่อให้ประสบผลสําเร็จ ด้านความรับผิดชอบต่อการเรียนของตนเอง ด้านความอดทนและความตั้งใจมุ่งมั่นในการเรียนให้ประสบผลสําเร็จ และด้านความทะเยอทะยานให้ผลงานเป็นที่ยอมรับและเกิดความก้าวหน้า หลังการใช้กิจกรรมการเรียนรู้วัฒนธรรมฝรั่งเศสตามแนวคิดเกมมิฟิเคชันประกอบการจัดการเรียนการสอนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน และอยู่ในระดับมาก ซึ่งสูงกว่าระดับที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ในสมมติฐานการวิจัย คือ ระดับปานกลาง 3. ความพึงพอใจของผู้เรียนเกี่ยวกับการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดเกมมิฟิเคชันประกอบการเรียนการสอนในภาพรวมทั้ง 4 ด้าน (ด้านกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านเครื่องมือและสื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ ด้านบรรยากาศในชั้นเรียนขณะปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ และด้านความรู้) อยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสูงกว่าระดับที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ในสมมติฐานการวิจัย คือ ระดับปานกลางItem การจัดการปริมาณและคุณภาพน้ำในโรงเรือนที่เหมาะสมร่วมกับการจัดช่วงคลื่นแสงต่าง ๆ เพื่อยกระดับผลผลิตพืชโรงเรือนในพื้นที่ภาคกลางในภาวะภัยแล้ง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สุรชาติ สินวรณ์; ณัฐบดี วิริยาวัฒน์; ทิพาวรรณ วรรณขัณฑ์; วราภรณ์ เศรษฐพฤกษาการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาคลื่นแสงเสริมที่เหมาะสมกับการเติบโต และผลผลิตมะเขือเทศในโรงเรือน 2. วิเคราะห์ต้นทุน-รายได้ของการใช้เทคโนโลยีคลื่นแสงเสริมที่เหมาะสมในการเพิ่มผลผลิตมะเขือเทศในโรงเรือน 3. เพื่อส่งเสริมการปลูกมะเขือเทศในโรงเรือนโดยใช้คลื่นแสง เสริมที่เหมาะสมไปยังวิสาหกิจชุมชนอื่น ๆ ในพื้นที่เป้าหมาย และ 4. ลดปริมาณการใช้น้ำในโรงเรือน ลงไปร้อยละ 20 โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่างในส่วนที่ 1 คือ การพัฒนาสารปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนเข้าระบบน้ำหยดในโรงเรือนออกแบบการทดลองแบบ CRD จำนวน 8 ตำรับการทดลอง เพื่อทดสอบผลต่อคุณภาพน้ำอันได้แก่ ค่าความเป็นกรด-ด่าง อุณหภูมิของน้ำ ค่าปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลาย (BOD) ค่าปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ (DO) ค่าฟอสฟอรัส ค่าการน้ำ ไฟฟ้า ค่าไนเตรท และค่าไนไตร์ทในน้ำตัวอย่าง ทำการทดสอบ 3 ซ้ำ ส่วนที่ 2 การพัฒนาแสงเสริมในการปลูกมะเขือเทศในโรงเรือน โดยออกแบบการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design ; RCBD Split Plot โดยแบ่ง Main Plot เป็นชนิดของการให้แสง และ Subplot เป็นแบบความเข้มแสงที่ระดับ 150 และ 200 mmol-1s-2 โดยแต่ละแถว Main Plot ได้แก่ A B C D และควบคุม จะมีการปลูกมะเขือเทศจำนวนแถวละ 40 ต้น โดยแบ่งเป็นความเข้มแสงที่ระดับ 150 mmol-1s-2 จำนวน 20 ต้น และ 200 mmol-1s-2 และจำนวน 20 ต้น ส่วนแถวควบคุมจะมี 40 ต้น โดยให้แสงเสริมในช่วง 18.00 -22.00 น. ทุกวัน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลในส่วนการเติบโตและผลผลิต ต้นทุน-รายได้ และร้อยละของการประหยัดน้ำในการปลูกเปรียบเทียบกับผลผลิต โดยเครื่องมือที่อุปกรณ์ในการศึกษาในการวิเคราะห์โครงสร้างและคุณลักษณะของสารปรับปรุงคุณภาพน้ำ และการวิเคราะห์คลื่นและความเข้มแสงเสริม รวมถึงการวัดขนาดน้ำหนัก และคุณภาพของผลผลิตมะเขือเทศ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความแปรปรวน (ANOVA) ผลการวิจัยมีดังนี้ ในส่วนที่ 1 การพัฒนาสารปรับปรุงคุณภาพน้ำก่อนเข้าระบบน้ำหยด พบว่า สารที่พัฒนาขึ้นในทุกตำรับการทดลองสามารถบำบัดคุณภาพน้ำได้ดี โดยในส่วนตำรับ การทดลองที่ 4 (ซีโอไลต์ชนิดผง 1 กรัม + ไทเทเนียม 0.01 กรัม + ไคโตซานผง 0.03 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร) สามารถทำให้ค่าเฉลี่ยต่ำ ได้แก่ BOD เท่ากับ 3.37 mg/l ค่าฟอสฟอรัส เท่ากับ 0.001 mg/l และค่าการนำไฟฟ้า เท่ากับ 1,224.33 ms/cm ขณะที่ตำรับการทดลองที่ 7 ให้ค่าเฉลี่ย DO เฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 8.4 mg/l และให้ค่าไนไตร์ทเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 0.0029 ml/g ค่าไนเตรทเท่ากับ 0.66 mg/g ส่วนตำรับการทดลองที่ 8 ให้ค่าความเป็นกรด-ด่างเป็นกรดที่สุดอยู่ระหว่าง 7.28 และอุณหภูมิ ในน้ำให้ค่าใกล้เคียงกันในทุกตำรับการทดลอง ส่วนที่ 2 ในการพัฒนาคลื่นแสงเสริมต่อมะเขือเทศในโรงเรือนแบบกึ่งปิด (ปิดในช่วง 11.00-14.00 น.) ที่เหมาะสมในช่วงฤดูแล้ง โดยการให้คลื่นแสงเสริมระหว่างสีแดงและสีน้ำเงิน อัตรา 1:1 ที่ความเข้มแสง 200 mmol-1s-2 ร่วมกับแสงสีขาวที่ 3000 K ซึ่งทำให้มะเขือเทศในโรงเรือนตอบสนองในรูปแบบการเติบโตทั้งจำนวนข้อที่เฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 80.4 ข้อ เส้นรอบลำต้นที่ค่าเฉลี่ย 5.06 cm น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งของส่วนรากและลำต้น เท่ากับ 1,105.3 g ผลผลิตทั้งในส่วนน้ำหนักผลเฉลี่ยสูงสุดต่อต้นเท่ากับ 1228.5 g และความหวานเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 12 องศาบริกซ์ รวมถึงสามารถประหยัดน้ำจากการเพาะปลูก ถึงร้อยละ 33.33 เมื่อเปรียบเทียบกับตำรับการทดลองควบคุมItem นวัตกรรมการพัฒนาทุนมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ (Frist S-Curve) บนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) (ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด) ให้รองรับมาตรฐานสากล และมุ่งสู่การบริการมูลค่าสูง (High Value Services) เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก (World Class Destination) และรองรับกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (New Normal)(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) พรรณี สวนเพลง; จิรานุช โสภา; ชุติมา จักรจรัส; พิมพ์รวี ทหารแกล้ว; ณัฐปรียา โพธิ์พันธุ์; ศริญา ประเสริฐสุด; พรเทพ ลี่ทองอิน; เชษฐ์ภณัฏ ปัญญวัชรวงศ์โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสร้างองค์ความรู้และพัฒนานวัตกรรมหลักสูตรการพัฒนาทุนมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม (R&D Consortium) บนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) (ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด) ให้รองรับมาตรฐานสากล และมุ่งสู่การบริการมูลค่าสูง (High value services) และรองรับกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (New normal) (2) เพื่อสร้างองค์ความรู้และพัฒนานวัตกรรมการฝึกอบรมทุนมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการสำหรับบุคลากรวัยทำงาน (Re-Skill/ Up-Skill) เพื่อให้รองรับมาตรฐานมาตรฐาน MRA บนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) (ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด) (3) เพื่อสร้างองค์ความรู้และพัฒนานวัตกรรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของทุนมนุษย์บนดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Human Capital big data on digital platform) เพื่อใช้ส่งเสริมขีดความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมูลค่าสูง (High value services) สู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก (World class destination) และรองรับกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (New normal) (4) เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และนวัตกรรมการพัฒนาทุนมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมให้กับสถาบันการศึกษาในระดับอาชีวะศึกษา และระดับอุดมศึกษา จำนวน 20 แห่ง และเพื่อเป็นการสร้างสมรรถนะของบัณฑิต จำนวนอย่างน้อย 3,000 คน ให้ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ (5) เพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ที่เป็นแรงงานทักษะระดับสูงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการในพื้นที่ EEC อย่างน้อย 1,500 คน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมบริการสู่การบริการมูลค่าสูง (High value services) เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก (World class destination) และรองรับกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (New normal) (6) เพื่อพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ทางด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการอย่างน้อย 10 คน และ (7) เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางด้านการวิจัยกับต่างประเทศ การดำเนินการวิจัยเป็นลักษณะการบูรณาการที่มีการบูรณาการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงสำรวจ และการพัฒนานวัตกรรม (R&D) ด้วยการบูรณาการองค์ความรู้จากโครงการย่อยมาสู่แผนงานวิจัย อนึ่ง ในช่วงการดำเนินการวิจัย เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ทำให้เกิดการปรับกระบวนการวิจัยเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผลการวิจัย ดังนี้ องค์ความรู้ศักยภาพของบุคลากรและความต้องการของผู้ประกอบการ (1) ซึ่งพฤติกรรมและปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกที่พักของนักท่องเที่ยว พบว่า นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางท่องเที่ยวกับครอบครัว/คนรัก มากที่สุด มีจำนวนวันพักโดยเฉลี่ยนต่อการเดินทางท่องเที่ยวในแต่ละครั้งประมาณ 2 คืน นิยมเลือกที่พักประเภทโรงแรม โดยราคาที่พักโดยเฉลี่ยต่อคืนของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ประมาณ 1,000 - 1,500 บาท ในส่วนของแนวทางการพัฒนามาตรฐานการบริการของโรงแรมยุค New normal 4 ด้าน ได้แก่ (1.1) ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวม (Responsibility) พบว่า นักท่องเที่ยวมีความต้องการโรงแรมมีบรรยากาศโล่ง โปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวกมากที่สุด (=4.75, SD=0.51) (1.2) ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (Relation) พบว่า นักท่องเที่ยวมีความต้องการพนักงานมีอัธยาศัยมีใจรักงานบริการมากที่สุด (=4.79, SD=0.46) (1.3) ด้านความน่าเชื่อถือ (Reliable) พบว่า นักท่องเที่ยวมีความต้องการห้องพักมีความสะอาดมากที่สุด (=4.85, SD=0.37) (1.4) ด้านความสมเหตุสมผล (Reasonable) นักท่องเที่ยวมีความต้องการราคาห้องพักมีความเหมาะสม (=4.66, SD = 0.54) (1.5) การตัดสินใจใช้บริการโรงแรมยุค New normal การแพร่ระบาดของโควิดส่งผลให้นักท่องเที่ยวมีความใส่ใจในรายละเอียดของที่พักมากยิ่งขึ้น (=4.81, SD=0.49) (2) ผู้ประกอบการและแรงงานด้านการท่องเที่ยว ต้องการให้มีหลักสูตรการเรียนรู้เพื่อการยกระดับการทำงานที่สามารถรองรับได้ทุกกลุ่มผู้เรียน ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของอายุ เวลา องค์ความรู้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานได้จริง เป็นหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับตลอดจนการออกใบรับรองเมื่อผ่านการฝึกอบรมหรือการเรียนจบหลักสูตร ทั้งนี้ผลการศึกษาทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจึงนำไปสู่การพัฒนาทุนมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการร่วมกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม (R&D Consortium) บนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) (ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด) ให้รองรับมาตรฐานสากล และมุ่งสู่การบริการมูลค่าสูง (High value services) และรองรับกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (New normal) จำนวน 6 หลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตรพนักงานแผนกแม่บ้าน (2) หลักสูตรพนักงานแผนกต้อนรับส่วนหน้า (3) หลักสูตรพนักงานแผนกประกอบอาหาร (4) หลักสูตรพนักงานแผนกอาหารและเครื่องดื่ม (5) หลักสูตรยุวมัคคุเทศก์นำเที่ยว และ (6) หลักสูตรสุขาภิบาลและความปลอดภัยของผู้สัมผัสอาหาร 2) การฝึกอบรมทุนมนุษย์การฝึกอบรมทุนมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการสำหรับบุคลากรวัยทำงาน (Re-Skill/ Up-Skill) เพื่อให้รองรับมาตรฐานมาตรฐาน MRA บนระเบียงเศรษฐกิจ ภาคตะวันออก (EEC) (ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด) จัดการฝึกอบรมรูปแบบ Onsite จำนวน 415 คน ในหลักสูตรยุวมัคคุเทศก์นำเที่ยว จำนวน 105 คน และพนักงานแผนกประกอบอาหาร (Food production) สุขาภิบาลและความปลอดภัยของผู้สัมผัสอาหาร จำนวน 310 คน แต่ด้วยข้อจำกัดในการรวมกลุ่ม และการเดินทาง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โคโรนาหรือโควิด-19 (COVID-19) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการจัดการฝึกอบรม จึงปรับรูปแบบการจัดอบรม เป็นการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมในรูปแบบ Online ในแพลตฟอร์มออนไลน์ ต่าง ๆ เช่น YouTube: Upskill HCD SDU MOOCs และบนระบบ MOOCS (https://mooc.dusit.ac.th/) คลิปวิดีทัศน์ 200 คลิป มีผู้ลงทะเบียนเรียนผ่านระบบแบบ Online จำนวน 615 คน และได้นำคลิปวิดีทัศน์ขึ้นช่อง YouTube Channel เพื่อเปิดเผยแพร่ให้กับคนทั่วไปสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง (Lifelong Learning) เรียนได้ทุกเวลา 3) การพัฒนานวัตกรรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของทุนมนุษย์บนดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Human capital big data on digital platform) เพื่อใช้ส่งเสริมขีดความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมูลค่าสูง (High value services) สู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก (World class destination) และรองรับกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (New Normal) ดังนี้ 3.1) นวัตกรรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของทุนมนุษย์ (Human capital big data) ซึ่งได้มีการจัดเก็บข้อมูลบุคลากรทางด้านการท่องเที่ยว เช่น ข้อมูลการรับสมัครงาน (Recruit) ข้อมูลการจัดการแรงงาน ข้อมูลการจัดการประสิทธิภาพ ข้อมูลการจัดการค่าตอบแทนและผลประโยชน์ ข้อมูลการจัดการเรียนรู้ ข้อมูลการเข้าร่วมและการจ่ายเงินเดือน ข้อมูลการบริหารการออกจากงานข้อมูลการบริหารปฏิบัติตามข้อกำหนดและกฎหมาย และข้อมูลการท่องเที่ยวและการบริหาร 3.2) ระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital platform) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของข้อมูลในการเสริมสร้างขีดความสามารถของทุนมนุษย์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม และใช้สำหรับยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมูลค่าสูง (High value services) สู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก (World class destination) ซึ่งมีการพัฒนานวัตกรรมที่สำคัญ ได้แก่ - การออกแบบ Prototype บน Digital platform ที่เชื่อมโยงกับระบบ Smart tourism ด้วยการนำระบบ Artificial Intelligence (AI) มาประยุกต์เพื่อทำการจำแนกประเภทจัดกลุ่ม และพยากรณ์จากข้อมูลในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถจัดบุคลากรภาคบริการให้เหมาะสมกับงานแบ่งกลุ่มบุคคลเพื่อให้ง่ายต่อการให้การสนับสนุนทั้งทางด้านการฝึกอบรม สวัสดิการ และค่าตอบแทน โดยแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นสามารถเข้าถึงได้ทางอินเทอร์เน็ต ผ่านทางสมาร์ทโฟนและเครื่องคอมพิวเตอร์ - การพัฒนา Chatbot prototype เพื่อเชื่อมต่อกับระบบ AI ด้วย Deep learning เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว จากตัวอย่าง 498 ตัวอย่าง และนำแบบจำลองสมการโครงสร้าง (SEM) มาใช้ ผลการวิจัยสนับสนุนรูปแบบความตั้งใจเชิงพฤติกรรมการกลับมาเยี่ยมเยียน ผลการวิจัยพบว่า การใช้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ประสบการณ์ การเดินทาง ความพึงพอใจ และความตั้งใจที่จะกลับไปเยี่ยมเยียนมีความสำคัญในทางบวก การรับรู้ของการท่องเที่ยวที่ชาญฉลาดเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะมาเยือนอีกครั้งมีความสำคัญ สังเกตความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญระหว่างโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์การเดินทาง (0.954) ประสบการณ์การเดินทางที่ส่งผลโดยตรงต่อความพึงพอใจ (0.870) ความพึงพอใจที่ส่งผลโดยตรงต่อความตั้งใจที่จะมาเยือนอีกครั้ง (0.731) ประสบการณ์การเดินทางที่ส่งผลโดยตรงต่อความตั้งใจที่จะมาเยือน (0.281) และสุดท้าย คือประสบการณ์การเดินทางโดยอ้อม (0.248) ค่า Chi-square สัมพัทธ์ (χ2 / df) เท่ากับ 1.247 แสดงว่าโมเดลมีความเหมาะสม ดัชนีความพอดีเปรียบเทียบ (CFI) คือ 0.997 ดัชนีความพอดี (GFI) คือ 0.956 และแบบจำลองที่อิงตามสมมติฐานการวิจัยนั้นสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ข้อผิดพลาด Root Mean Square ของการประมาณค่า (RMSEA) คือ 0.032 - การพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์แนะนำแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน (AI recommended agritourism) ภายใต้ Software Development Life Cycle (S.D.LC) เพื่อมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจและรูปแบบใหม่ที่คำนึงถึงความต้องการของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ผู้วิจัยได้มีการพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจและให้ข้อมูลการท่องเที่ยวผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือเพื่อรวบรวมข้อมูลของผู้เดินทาง เช่น เพศ อายุ จำนวนวันที่เดินทาง งบประมาณ และรูปแบบการเดินทางที่ต้องการ ข้อมูลถูกส่งไปยังการจัดประเภทเพื่อสร้างโปรแกรมการท่องเที่ยวที่เหมาะสมโดยใช้ Extreme learning machine หลังจากขั้นตอนการจำแนกประเภทแล้ว กำหนดการเดินทางที่เหมาะสมจะถูกสร้างขึ้นและส่งกลับไปยังนักท่องเที่ยว - การพัฒนา Deep learning ด้วยเทคนิค Time series เพื่อพยากรณ์แนวโน้มของการฟื้นคืนของธุรกิจท่องเที่ยวหลัง COVID 19 (Deep learning methods for time-Series forecasting tourism business recovery from the covid 19 pandemic crisis) การศึกษาเปรียบเทียบวิธีการเรียนรู้เชิงลึก 3 วิธีในการพยากรณ์แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 ในประเทศไทย โดยทั่วไป แนวโน้มข้อมูลอนุกรมเวลาที่แมชชีนเลิร์นนิง คือ Long short-term memory (LSTM) ได้แก่ Vanilla LSTM, Stacked LSTM และ Bidirectional LSTM ที่ใช้เพื่อคาดการณ์แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจการท่องเที่ยวและการฟื้นตัว ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่า LSTM แบบสองทิศทางมีความแม่นยำมากกว่า Vanilla LSTM และมีศักยภาพของรูปแบบการเรียนรู้เชิงลึกในการพยากรณ์การฟื้นตัวของธุรกิจการท่องเที่ยว - การวิเคราะห์ Sentiment analysis with a TextBlob package implications for tourism ผู้วิจัยประเมินประสิทธิภาพของแพ็คเกจ TextBlob ของ Python ด้วยชุดข้อมูล TripAdvisor จาก Kaggle ว่าข้อมูลนั้นมีบันทึกของนักท่องเที่ยว 10,000 คน ดังนั้น แบบจำลอง Native Bayes ในห้องสมุดจึงถูกใช้เพื่อวิเคราะห์ความรู้สึกด้านการท่องเที่ยวโดยค่าเริ่มต้น ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าแพ็คเกจ TextBlob ของ Python นั้นมีความแม่นยำถึง 89.32% ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลการฝึก และเหมาะสำหรับการนำไปใช้ในกระบวนการขุดข้อความในแอปพลิเคชันการท่องเที่ยว 4) การพัฒนาเนื้อหาดิจิทัล (Digital content) สำหรับการพัฒนามนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยการเชื่อมโยงแพลตฟอร์มทุนมนุษย์ด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการในเพจของโครงการวิจัย YouTube : Upskill HCD SDU MOOCs มีคลิปวิดีโอที่ผู้สนใจเข้ามาเรียนรู้ด้วยตนเอง มีการจัดในเพลย์ลิสต์ของช่องยูทูป จำนวน 200 คลิป ข้อมูลของช่อง YouTube: Upskill HCD SDU MOOCs มีสมาชิก (Subscriber) จำนวน 854 คน จำนวนการรับชม (Views) 549,267 ครั้ง คลิปวิดีโอที่มีจำนวนการรับชมมากที่สุด 3 อันดับของช่อง YouTube: Upskill HCD SDU MOOCs ได้แก่ Upskill HCD Project by SDU-การพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ในอุตสาหกรรมบริการ จำนวนการรับชม 111,132 วิว รองลงมาคือ ลำดับขั้นตอนการให้บริหารอาหารและเครื่องดื่ม จำนวนการรับชม 14,967 วิว และสนทนาภาษาอังกฤษในระดับปฏิบัติงานทั่วไป จำนวนการรับชม 14,862 วิว ตามลำดับ 5) การพัฒนา Factors Affecting Learning Outcome Intention of MOOCs for Online Learning Platform จำนวน 400 ตัวอย่าง ด้วยการใช้แบบจำลองสมการโครงสร้าง (SEM) ผลลัพธ์ของปัจจัย CFA สี่ประการ (Learning Expectation (LE) Learning Satisfaction (LS) Learning Attitude (LA) และพฤติกรรมการเรียนรู้ (LB)) มีความสำคัญ สถิติ Chi-Square (χ2) คือ 220.74 ที่ระดับอิสระ (df) ที่ 168 โดยมี Chi-square สัมพัทธ์ (χ2 / df) เท่ากับ 1.314 บ่งชี้ว่าแบบจำลองนี้เหมาะสม ดัชนีความพอดีเปรียบเทียบ (CFI) คือ 0.994 ดัชนีความพอดี (GFI) คือ 0.971 และแบบจำลองที่อิงตามสมมติฐานการวิจัยนั้นสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ข้อผิดพลาด Root Mean Square ของการประมาณค่า (RMSEA) คือ 0.025 6) การพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ทางด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ จำนวน 10 คน 7) ตีพิมพ์บทความวิจัยที่ฐานข้อมูลระดับนานาชาติ 8 บทความ และการสร้างเครือข่ายกับนักวิจัยในต่างประเทศเพิ่มขึ้นItem การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมเพื่องานธุรกิจด้วยกิจกรรมเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูท(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สุภารัตน์ คุ้มบำรุงการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาด้วยกิจกรรมเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูทในรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมเพื่อธุรกิจ (2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูท ในรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมเพื่อธุรกจ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่เข้าศึกษาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2561 (ชั้นปีที่ 2) และลงทะเบียนเรียนภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ในรายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม เพื่องานธุรกิจ ตอนเรียน A1 จำนวนผู้เรียนทั้งหมด 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูท รายวิชาระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมเพื่องานธุรกิจ สถิติที่ใช้ในงานวิจัยค่าเฉลี่ยและสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบกลมไม่อิสระ (Dependent-samples t-test) ผลการวิจัยมีดังนี้ นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมเกมจำนวน 6 ครั้ง มีสัดส่วนอยู่ระหว่าง ร้อยละ 85 -100 ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด การทำแบบทดสอบก่อนเรียน พบว่า นักศึกษามีค่าคะแนนเฉลี่ย 10.13 คะแนน ส่วนหลังเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ย 15.05 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน และจากการทดสอบค่าที พบว่า ผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูท ผู้เรียนมีความคิดเห็น ด้านกิจกรรมเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.15 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .864) และกิจกรรมเกมบนแอปพลิเคชันคาฮูทช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจเรียนรู้มากขึ้น (ค่าเฉลี่ย 4.13 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน .911) และมีข้อเสนอแนะต่อการจัดการกรรมการเรียนรด้วยเกมบนแอปพลิเคชั้นคาฮูทเป็นกิจกรรมที่สนุก สร้างความสนใจ ช่วยกระตุ้นให้นักศึกษาเข้าชั้นเรียนและมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากขึ้น และส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนได้Item การพัฒนาต้นแบบปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ PGPR และสารปรับปรุงจากวัสดุเหลือทิ้งชุมชน ร่วมกับระบบน้ำหยด เพื่อสงเสริมคุณภาพดินปลูก และยกระดับผลผลิตพืชเศรษฐกิจในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้ง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ณัฐบดี วิริยาวัฒน์; สุรชาติ สินวรณ์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ PGPR สูตรที่เหมาะสมร่วมกับระบบน้ำหยด โดยคัดแยกแบคทีเรีย PGPR ในท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเจริญของพืชนำมาพัฒนาปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ PGPR เพื่อส่งเสริมคุณภาพดินปลูกเพื่อยกระดับผลผลิตเมล่อนและข้าว ในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้ง จังหวัดสุพรรณบุรี ตามหลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice: GAP) เพื่อเป็นต้นแบบของชุมชน โดยเก็บแบคทีเรียรอบรากพืช นำมาคัดแยกแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์มาใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ โดยทำการทดลองที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี วางแผนการทดลองแบบ Completely Randomized Design (CRD) จำนวน 3 ซ้ำ วิเคราะห์ผลโดยการใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สถิติแบบ F-test ANOVA ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ PGPR ที่ใส่น้ำหมักมูลไส้เดือน 2 ลิตร เป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมที่สุดที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเมลอนพันธุ์ออเร้จน์แมน โดยแสดงค่าเฉลี่ยความกว้างใบ ค่าเฉลี่ยความยาวใบ ค่าเฉลี่ยจำนวนใบ ค่าเฉลี่ยเส้นผ่านศูนย์กลางของล้าต้น ค่าเฉลี่ยขนาดผล ค่าเฉลี่ยน้ำหนักผลและค่าเฉลี่ยความหวาน มีความแตกต่างกันทางสถิติ ผลการศึกษาประสิทธิภาพของปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ PGPR ต่อการเจริญของข้าวพบว่า ข้าวที่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ PGPR ตำรับที่ 2 มีน้ำหนักเมล็ดข้าวมากที่สุด 226.32 กิโลกรัม/ไร่ รองลงมา ได้แก่ ข้าวที่ใส่ปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ PGPR ตำรับที่ 1 มีน้ำหนักเมล็ดข้าวเท่ากับ 120.21 กิโลกรัม/ไร่ และข้าวที่ใส่ปุ๋ยเคมี ตำรับที่ 3 มีน้ำหนักเมล็ดข้าวน้อยที่สุดเท่ากับ 103.55 กิโลกรัม/ไร่Item ผลของการใช้การเรียนรู้แบบรร่วมมือกันที่เน้นวิธีการสอนแบบทีม คู่ เดี่ยว ต่อทักษะการพูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในการจัดการศึกษาแบบผสมผสาน(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) พรรณ ปาละสุวรรณการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางทักษะการพูดภาษาอังกฤษด้วยวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือกันที่เน้นวิธีการสอนแบบทีม คู่ 5 เดี่ยว และ 2) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือที่เน้นวิธีการสอนแบบทีม คู่ เดี่ยวต่อทักษะการพูดภาษาอังกฤษ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาเทคโนโลยีการประกอบอาหาร และการบริการมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษานอกที่ตั้ง ตรัง จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบวัดทักษะการพูดภาษาอังกฤษ แบบประเมินทักษะการพูดภาษาอังกฤษ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อกิจกรรมแบบทีม คู่ เดี่ยว ในการพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ สถิติที่ใช้ในงานวิจัยใช้สถิติเชิงอนุมาน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านทักษะการพูด ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น หลังการเรียนรู้โดยวิธีการแบบร่วมมือกันที่เน้นวิธีการสอนแบบทีม คู่ เดี่ยว 2) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือกันที่เน้นวิธีการสอนแบบทีม คู่ เดี่ยว อยู่ในระดับพึงพอใจมาก และผู้เรียนชอบกิจกรรมในรูปแบบร่วมมือกันแบบเดี่ยว คู่ ทีมเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน โดยมีความคิดเห็นว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือกันที่เน้นวิธีการสอนแบบทีม คู่ เดี่ยว ทำให้ไม่น่าเบื่อ ขณะเรียนสมาชิกในกลุ่มได้ช่วยเหลือกันได้ใช้ความคิดร่วมกันได้ฝึกการทำงานเป็นทีม และการเรียนรู้แบบร่วมมือกันที่เน้นวิธีการสอนแบบทีม คู่ เดี่ยว สามารถสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาภาษาอังกฤษให้ผู้เรียนได้ ทำให้ผู้เรียนมีความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น ทำให้อยากเรียนภาษาอังกฤษมากขึ้น และอยากให้มีกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะการพูดภาษาอังกฤษItem รูปแบบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร ในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; จิรัฐ ชวนชม; สฤษดิ์ ศรีโยธิน; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; วิณาภรณ์ แตงจุ้ย; พรเพ็ญ ไตรพงษ์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มนักท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี (2) เพื่อศึกษากลยุทธ์การตลาดของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี (3) เพื่อสร้างรูปแบบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ผลการวิจัย พบว่า (1) นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเป็นครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์หลัก ในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรคือ ศึกษาวิถีชีวิตของชุมชน เหตุผลในการเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศในจังหวัดสุพรรณบุรี คือ จังหวัดสุพรรณบุรี ไม่ไกลจากที่อยู่อาศัย/เดินทางสะดวก ผู้มีส่วนตัดสินใจเลือกการท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศจังหวัดสุพรรณบุรี คือ เพื่อน ช่วงเวลาในการเดินทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร คือ วันเสาร์/ วันอาทิตย์ โดยใช้วิธีการเดินทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรด้วยรถยนต์ส่วนตัว ส่วนใหญ่รับรู้ข่าวสารการท่องเที่ยวจากเว็บไซต์มากที่สุด ในการท่องเที่ยวครั้งต่อไปจะกลับมาเที่ยวตามโปรแกรมเดิมอีกโดยมีเหตุผล คือ ชอบบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ รวมถึงวิถีชีวิตชนบทที่ไม่สามารถหาจากในเมืองได้ และจะแนะนําให้คนอื่นมาท่องเที่ยวตามโปรแกรมอีก โดยมีเหตุผล คือ โปรแกรมกิจกรรมมีความน่าสนใจ และมีประทับใจกับความเป็นธรรมชาติ (2) เมื่อพิจารณาถึงกลยุทธ์การตลาดของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร พบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ให้ความสําคัญกับกลยุทธ์การตลาดท่องเที่ยวด้านลักษณะทางกายภาพของแหล่งท่องเที่ยว (Physical Evidence) ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว และบุคคล ตามลําดับ (3) โดยมีรูปแบบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร คือ 1) เน้นให้นักท่องเที่ยวได้ทํากิจกรรมร่วมกันกับคนในครอบครัวหรือเพื่อน 2) การกําหนดราคาที่มีหลายช่วงราคา ตั้งแต่ราคาไม่แพงจนถึงสินค้าที่มีมูลค่าสูง 3) การเพิ่มช่องทางการจัดจําหน่ายทาง Facebook 4) เพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย 5) ควรเพิ่มบุคลากรด้านการนําเสนอ หรือสร้างนักเล่าเรื่อง (นักบรรยาย) 6) มีความเป็นธรรมชาติ 7) บุคลากรมีทักษะการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างน่าสนใจItem ผลของการจัดการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติการสะท้อนคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โดยใช้สมุนไพรไทยต่อพฤติกรรมการสะท้อนคิดของนักศึกษาพยาบาล(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ลักขณา ศรีบุญวงศ์; สุนิดา ชูแสงการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบพฤติกรรมการสะท้อนคิดของนักศึกษาพยาบาล ก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนผ่านการสะท้อนคิด (2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการสะท้อนคิดของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยการส่งเสริมทักษะการสะท้อนคิดระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมของนักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนตามปกติ และ (3) ศึกษาความคิดเห็นต่อการเขียนบันทึกการเรียนรู้การปฏิบัติของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จำนวน 30 คน กลุ่มทดลอง 15 คน และกลุ่มควบคุม 15 คน เป็นการวิจัยกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินพฤติกรรมสะท้อนคิด และแบบสอบถามความคิดเห็นต่อการเขียนบันทึกการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ paired t-test และ independent t-test ผลการศึกษา พบว่า (1) ค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมการสะท้อนคิดของกลุ่มทดลอง หลังจัดการเรียนรู้ผ่านการสะท้อนคิดสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการสะท้อนคิดหลังการทดลอง ของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ของการเขียนบันทึกการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับดี ส่วนความคิดเห็นเกี่ยวกับอุปสรรคของการเขียนบันทึกการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ผลการศึกษาครั้งนี้ใช้เป็นข้อมูลในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ โดยผ่านการสะท้อนคิดสำหรับนักศึกษาพยาบาลItem กระบวนการยกระดับคุณภาพการบริการของแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สฤษดิ์ ศรีโยธิน; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; จิรัฐ ชวนชม; อัมพร ศรีประเสริฐสุข; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; พรเพ็ญ ไตรพงษการวิจัยนี้มุ่งศึกษา ดังนี้ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบระดับความคาดหวังในการบริการกับระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้ เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริการสำหรับผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3) เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร ได้แก่ ผู้ให้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร หน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ และนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการวิจัย พบว่า 1) นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีผลรวมความคาดหวังในการบริการที่มีต่อแหล่งเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก (คิดเป็นร้อยละ 80.71 จากคะแนนเต็ม 7) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า นักท่องเที่ยว ประเมินความพร้อมในการบริการที่ได้รับจากที่อื่นสูงกว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวได้รับจากการบริการที่ได้รับจากแหล่งเรียนรู้ในจังหวัดสุพรรณบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ด้านความสุภาพ อย่างคงเส้นคงวาไม่พบความแตกต่าง ผลการศึกษาระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการ และวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ พบว่า อยู่ในระดับมากเกิน 5.60 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 7) ยกเว้นคุณภาพการบริการด้านการเห็นอกเห็นใจ (ค่าเฉลี่ย = 5.56) และด้านสิ่งที่สัมผัสได้ (ค่าเฉลี่ย = 5.41) 2) ผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีการพัฒนาคุณภาพบริการแหล่งเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการ (ค่าเฉลี่ย = 4.03) ซึ่งเป็นเพียงด้านเดียว ที่มีค่าเฉลี่ยเกิน 4.00 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 5) ส่วนในด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยไม่ถึงเกณฑ์ 3) กระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การสำรวจความคาดหวังและการรับรู้คุณภาพการบริการ (2) ปรับปรุงแก้ไขปัญหาคุณภาพ การบริการในด้านต่าง ๆ (3) พัฒนาวิทยากร/นักสื่อความหมายให้มีคุณภาพ และ (4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้คุณภาพการบริการItem นวัตกรรมอาหารสุขภาพจากผักใบเขียวของพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ปัญญภัสก์ ปิ่นแก้ว; สุวรรณา พิชัยยงค์วงศ์ดี; ฐิตา ฟูเผ่า; กันต์กนิษฐ์ จงรัตนวิทย์; ปิยวรรณ อยู่ดี; ธนิกานต์ นับวันดี; นุจิรา รัศมีไพบูลย์; ยศสินี หัวดง; วีรชน ภูหินกองแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก อยู่ที่ 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องด้วยเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมอยู่มากมาย แต่เป็นแคลเซียมที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี ซึ่งมีข้อเสีย คือดูดซึมได้ต่ำและบางตัวมีการละลายและการแตกตัวไม่ดี อย่างไรก็ตามในพืชตามธรรมชาติ โดยเฉพาะผักใบเขียว ได้แก่ โหระพา คะน้า และกวางตุ้ง เป็นผักที่มีแคลเซียมสูงถึงปานกลาง ถึงแม้ปริมาณแคลเซียมต่อกรัมน้อย แต่มีการละลายและการดูดซึมดีกว่าแคลเซียมสังเคราะห์ ดังนั้นผักใบเขียวที่มีแคลเซียมสูงจึงสามารถนำมาเพิ่มมูลค่าโดยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันที่มีแคลเซียมสูงได้ เมื่อนำผักคะน้า กวางตุ้ง และโหระพา มาวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ พบว่า ผักทั้ง 3 ชนิด มีปริมาณแคลเซียม 202.75-159.55 mg ต่อผักสด 100 g เมื่อนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์พาสตาผักใบเขียวแคลเซียมสูง สูตรที่ดีที่สุดมีส่วนประกอบหลักเป็น แป้งข้าวกล้องร้อยละ 52.25 และผักใบเขียวร้อยละ 19.60 ผลิตภัณฑ์ผักแผ่นกรอบเสริมแคลเซียมผสมข้าวไรซ์เบอร์รี่ มีแร่ธาตุแคลเซียมมากกว่า 200 มิลลิกรัม และเส้นใยอาหารที่ประมาณร้อยละ 7.00 และเป็นแหล่งของแอนโธไซยานิน และผลิตภัณฑ์ผักผงโรยข้าวเสริมแคลเซียมที่ได้จากกระบวนการสกัดด้วยวิธีทางเคมีมีปริมาณแคลเซียมสูงขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับผักผงอบแห้งItem นวัตกรรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของทุนมนุษย์บนดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Human Capital Big Data on Digital Platform) เพื่อใช้ส่งเสริมขีดความสามารถ ด้านการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมูลค่าสูง (High Value Services) สู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก (Word Class Destination) และรองรับกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (New Normal)(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) พรรณี สวนเพลง; สุระสิทธิ์ ทรงม้า; ทินกร ชุณหภัทรกุล; ชวาลิน เนียมสอน; ฐิติยา เนตรวงษ์; เชษฐ์ภณัฏ ปัญญวัชรวงศ์โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนานวัตกรรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของทุนมนุษย์ (Human Capital Big Data) (2) เพื่อพัฒนาระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของข้อมูลในการเสริมสร้างขีดความสามารถของทุนมนุษย์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม และใช้สําหรับยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมูลค่าสูง (High Value Services) สู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว ระดับโลก (Word Class Destination) และ (3) เพื่อพัฒนาเนื้อหาดิจิทัล (Digital Content) สําหรับการพัฒนามนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งมีระเบียบวิธีวิจัยแบบบูรณาการทั้งงานวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยการพัฒนานวัตกรรม (R & D Development) ซึ่งมีผลการวิจัย ดังนี้ (1) นวัตกรรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของทุนมนุษย์ (Human Capital Big Data) ซึ่งได้มี การจัดเก็บข้อมูลบุคลากรทางด้านการท่องเที่ยว เช่น ข้อมูลการรับสมัครงาน (Recruit) ข้อมูลการจัดการแรงงาน ข้อมูลการจัดการประสิทธิภาพ ข้อมูลการจัดการค่าตอบแทนและผลประโยชน์ ข้อมูลการจัดการเรียนรู้ ข้อมูลการเข้าร่วมและการจ่ายเงินเดือน ข้อมูลการบริหารการออกจากงาน ข้อมูลการบริหารปฏิบัติตามข้อกําหนดและกฎหมาย และข้อมูลการท่องเที่ยวและการบริหาร (2) ระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของข้อมูล ในการเสริมสร้างขีดความสามารถของทุนมนุษย์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม และใช้สําหรับยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมูลค่าสูง (High Value Services) สู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก (Word Class Destination) ซึ่งมีการพัฒนานวัตกรรมที่สําคัญ ได้แก่ (1) Prototype บน Digital Platform ที่เชื่อมโยง กับระบบ Smart Tourism (2) การศึกษาความต้องการและทัศนคติของนักท่องเที่ยวที่มีต่อระบบ Smart Tourism บน Digital Platform เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว (3) Chatbot Prototype เพื่อเชื่อมต่อกับ ระบบ AI ด้วย Deep Learning เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (4) ระบบปัญญาประดิษฐ์แนะนําแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน (Al recommended Community-Based Tourism) (5) A comparative study of deep learning methods for time-Series forecasting tourism business recovery from the Covid 19 pandemic crisis (6) Sentiment analysis with a Textblob package implications for tourism (3) เนื้อหาดิจิทัล (Digital Content) สําหรับการพัฒนามนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการบริการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเชื่อมโยงเข้ากับแพลตฟอร์มทุนมนุษย์ ด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการเข้ากับระบบการเรียนรู้ออนไลน์ (MOOCs) เพื่อให้บุคลากรทางด้านการท่องเที่ยวและการบริการสามารถใช้เนื้อหาดิจิทัล (Digital Content) ในรูปแบบ VDO บทเรียน ออนไลน์ที่อยู่บนระบบ MOOCs YouTube และสื่อสังคมออนไลน์ของโครงการที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตItem กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมด้านการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สำหรับนักศึกษารายวิชาเทคโนโลยีข้าว(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) อานง ใจแน่นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษากระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตในการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน (2) เพื่อศึกษาผลการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ คณะโรงเรียนการเรือน ศูนย์การศึกษาลำปาง มหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาเทคโนโลยีข้าว ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 19 คน เครื่องมือวิจัย คือ (1) แบบสังเกตสังเกตการทำกิจกรรมและ (2) แบบประเมินความพึงพอใจกิจกรรมสาธิตการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนตามกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรูแบบมีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตใน การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่นักศึกษาสามารถปฏิบัติได้ ตามที่ผู้สอนสาธิต ทั้งในด้านการเตรียมวัตถุดิบ การปรุงประกอบ ตลอดจนลงมือปฏิบัติให้ได้เมนูขนมที่ถูกต้องบรรลุตามเป้าหมายการเรียนรู้ และผลการศึกษาความพึงพอใจในการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากที่สุด (คาเฉลี่ยเทากับ 4.62)Item ต้นแบบนวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้งตามแนวทางเกษตรปลอดภัยในเขตพื้นที่ภาคกลาง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สุรชาติ สินวรณ์; ณัฐบดี วิริยาวัฒน์; ยุธยา อยู่เย็น; ทิพาวรรณ วรรณขัณฑการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้งตามแนวทางเกษตรปลอดภัย ได้แก่ นวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวทนแล้ง นวัตกรรมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ PGPR และสารปรับปรุงดินจากวัสดุเหลือทิ้งในชุมชน นำไปใช้ร่วมกับระบบน้ำหยด เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวและเมล่อน นวัตกรรมการจัดการปริมาณและคุณภาพน้ำในโรงเรือนปลูกมะเขือเทศ โดยใช้คลื่นแสงเสริม และ 2. เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตและการใช้ต้นแบบนวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้งตามแนวทางเกษตรปลอดภัย โดยจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาซึ่ง มีอาชีพเกษตร จำนวน 262 คน ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี สระบุรี ลพบุรี และกรุงเทพมหานคร ในระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2564-10 กุมภาพันธ์ 2565 โดยใช้แบบประเมินผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีต้นแบบ นวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้งตามแนวทางเกษตรปลอดภัยหลังการอบรม และนำผลการศึกษามาวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ ผลการวิจัยมีดังนี้ ผู้เข้าร่วมอบรมการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมจำนวนทั้งสิ้น 262 คนเป็นชาย จำนวน 174 คน (66.41%) และเป็นหญิง จำนวน 189 คน (72.14%) มีระยะเวลาในการทำการเกษตรในช่วง 16-20 ปี มีจำนวน 134 คน (51.15%) ส่วนใหญ่ผู้เข้าร่วมไม่ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี จำนวน 213 คน (81.30%) มีระดับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 83 คน (31.68%) มีรูปแบบการใช้ปุ๋ยชีวภาพ โดยการซื้อใช้สูงสุดเท่ากับ 117 คน (44.66%) ในส่วนของคะแนนในการทำแบบทดสอบความรู้ของผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการต้นแบบ นวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะแล้งตามแนวทางเกษตรกรปลอดภัยในเขตภาคกลาง จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถทำได้ 10 คะแนน จำนวน 138 คน (52.67%) ส่วนการประเมินความรู้ความเข้าใจเล่มคู่มือในส่วนระดับมาก โดยมีเนื้อหามีความสอดคล้องและตรงประเด็น จำนวน 180 คน (68.70%) ขนาดอักษรมีความเหมาะสม จำนวน 202 คน (77.10%) การศึกษานำไปสู่การพัฒนาทักษะและวิธีการ จำนวน 260 คน (99.24%) ได้รับความรู้ความเข้าใจ เพิ่มขึ้นจากการอ่านเล่มคู่มืออบรม จำนวน 190 คน (72.52%) และการศึกษาเล่มคู่มือ ท่านมีความเข้าใจและสามารถนำความรู้ไปเผยแพร่แก่ผู้อื่นได้ จำนวน 183 คน (69.85%) ผลประเมินความรู้ ความเข้าใจต่อการสาธิตวิธีการ สูงสุดในแต่ละหัวข้อ ได้แก่ โดยผลการประเมินคะแนนระดับ 5 (มากที่สุด) ในประเด็น การสาธิต ผู้เข้าร่วมการอบรมมีความเข้าใจสามารถนำขั้นตอนไปปรับใช้ได้ จำนวน 117 คน (44.66%) อุปกรณ์และเอกสารประกอบการสาธิต มีความเหมาะสมและเพียงพอ จำนวน 211 คน (80.53% ขั้นตอนการสาธิต ท่านสามารถนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่แก่ผู้อื่นได้ จำนวน 243 คน (92.75%) ผู้จัดอบรมใช้ภาษาในการสื่อสารที่เข้าใจได้ง่ายระหว่างการสาธิต จำนวน 139 คน (53.05%) การดำเนินงานได้ใช้พื้นที่ประสาน ณ ฟอมขจรฟาร์ม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี โดยมีสถานที่ทั้งแบบสาธิตการปลูกพืช การผลิตปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน การวิเคราะห์ปุ๋ย สารเคมีและสารกำจัดจัดศัตรูพืช การวิเคราะห์เพื่อรับรอง GAP การให้คำปรึกษาทางการตลาดให้แก่เกษตร และการวิจัยและการส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ภาคกลางItem การประเมินประสิทธิผลของการบูรณาการเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย (หลักสูตรปรับปรุง) พ.ศ. 2562 หลักสูตรสี่ปี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) เอื้ออารี จันทร; ทิพสุดา คิดเลิศ; พัฒนชัย จันทรหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย (หลักสูตรปรับปรุง) พ.ศ. 2562 หลักสูตรสี่ปีของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นหลักสูตรระบุจุดเน้นที่สำคัญ คือ การบูรณาการเทคโนโลยีกับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาครูปฐมวัยรุ่นใหม่รองรับการปรับเปลี่ยนเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มระบบ แต่ด้วยสถานการณ์โลกที่มีการพลิกผันตลอดเวลา ทำให้คณะผู้วิจัยจึงได้ดำเนินการจัดทำงานวิจัยฉบับนี้ขึ้นเพื่อศึกษาประสิทธิผลของการบูรณาการเทคโนโลยีในหลักสูตรและศึกษา ความต้องการเพิ่มเติมของผู้เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะในการพัฒนาหลักสูตร 2 มิติ คือ มิติด้านวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและมิติของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) การคำนวณหาดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (Priority Need Index: PNI) โดย การเก็บข้อมูลจากผู้เรียน จำนวน 120 คน และผู้เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรจำนวน 31 คน ทั้งในกรุงเทพมหานคร วิทยาเขตสุพรรณบุรี ศูนย์การศึกษาลำปางและนครนายก โดยใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (content analysis) จากกลุ่มตัวอย่าง ผู้เรียน ผู้เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร ในกรุงเทพมหานคร วิทยาเขตสุพรรณบุรี ศูนย์การศึกษาลำปาง และนครนายก แต่ละพื้นที่ ๆ ละ 5 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบโควต้า ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิผลของการบูรณาการเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ในภาพรวม ทุกด้านมีผลค่าเฉลี่ยประสิทธิผลอยู่ในระดับมาก (𝑥 = 3.67 - 4.10) ผลการประเมินทั้ง (1) ด้านปฏิกิริยาตอบสนองต่อการเรียนรู้ และ (2) ด้านการเรียน กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มเกิดความพึงพอใจ และเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ iPad เป็นเครื่องมือในการเรียนและการทำงานเนื่องจากสามารถ ทำงานได้หลากหลายรูปแบบ (3) ด้านพฤติกรรมการเรียนรู้ พบว่า เมื่อผ่านไป 1 ปี กลุ่มผู้เรียนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นไปตามความคาดหวังของหลักสูตรในประเด็นการสร้างสื่อประกอบการเรียนรู้มากที่สุด (4) ด้านผลลัพธ์ ด้านผู้เรียนมีการใช้เทคโนโลยีในการทำงานร่วมกันกับผู้อื่นมากที่สุด ส่วนกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร มีการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมการใช้เทคโนโลยีในการออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัยอย่างชัดเจน สำหรับความต้องการจำเป็นที่มากที่สุด คือ ความสามารถเกี่ยวกับการสร้างโปรแกรมโดยใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ ค่า PNImodified คือ .18 รองลงมา คือ ความสามารถในการพัฒนาและดูแลเว็บไซต์ และความสามารถในการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ค่า PNImodified คือ .14 โดยมีข้อเสนอแนวทางพัฒนา หลักสูตรให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เน้นการลงมือปฏิบัติโดยเสริมความรู้ที่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ ด้านสุขภาวะของเด็กในโลกดิจิทัล การให้ความรู้กับผู้ปกครองเพื่อดูแลเด็ก ในยุคดิจิทัล ภาษาคอมพิวเตอร์ และทักษะการคิดเชิงคำนวณ เสนอให้จัดหาหรือพัฒนาแหล่งเรียนรู้ online หรือชุมชนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องทางวิชาชีพได้ ด้านใช้การบูรณาการ รายวิชาบูรณาการชิ้นงานในภาคเรียนเพื่อลดภาระงานของผู้เรียน แต่เน้นการใช้แนวคิดเชิงออกแบบ (design thinking) ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านการทำโครงการ (project-based learning) ใช้การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพการทำงานจริงในโรงเรียนสาธิตละอออุทิศItem การพัฒนารูปแบบการบริหารงานแนะแนวเพื่อเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุกของนักศึกษา(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) อัษฎา พลอยโสภณ; รัตนาพร หลวงแก้ว; นงเยาว์ นุชนารถการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการของการพัฒนารูปแบบการบริหารงานแนะแนวที่เสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุก 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานแนะแนวฯ 3) เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบการบริหารงานแนะแนวฯ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการฯ ได้แก่ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ประกอบด้วย กรุงเทพฯ วิทยาเขตสุพรรณบุรี ศูนย์การศึกษานครนายก ศูนย์การศึกษาลำปาง จำนวน 250 คน กลุ่มตัวอย่าง เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารงานแนะแนวฯ ได้แก่ กรุงเทพฯ จำนวน 35 คน และกลุ่มเป้าหมาย เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการ จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและความต้องการฯ 2) แบบสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง 3) แบบวัดกลวิธีการเผชิญความเครียดเชิงรุก 4) แบบสอบความความคิดเห็นต่อรูปแบบการบริหารจัดการงานแนะแนวฯ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNIModified) การวิเคราะห์เนื้อหาจากโปรแกรม QDA Miner Lite Program และการวิเคราะห์ผลทางสถิติแบบ t-test ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. สภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการงานแนะแนวเพื่อเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียด ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า โครงสร้างการบริหาร กิจกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการนักศึกษา และการกำหนดหน้าที่ของผู้ปกครอง มีความต้องการจำเป็นสูงสุด ด้านกระบวนการ พบว่า บริการสนเทศ การป้องกันปัญหา การแนะแนวอาชีพ มีความต้องการจำเป็นสูงสุด ด้านผลผลิต พบว่า มีการให้บริการปรึกษาเมื่อนักศึกษาเผชิญความเครียด มีกิจกรรมเสริมสร้างทักษะเผชิญความเครียด และนักศึกษามีทัศนคติเชิงบวกต่อตนเองและสถานศึกษา มีความต้องการจำเป็นสูงสุด 2. ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารงานแนะแนวเพื่อเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุก ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ดังนี้ การบริหารจัดการ (Administrative) บุคลากร (Staff) กิจกรรม (Activity) วงจรเดมมิ่ง (Deming Cycle) และการประเมินผล (Assessment) 3. ผลศึกษาการใช้รูปแบบการบริหารงานแนะแนวเพื่อเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุก พบว่า รูปแบบการบริหารงานแนะแนวสามารถเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุก ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05