Research
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing Research by Issue Date
Now showing 1 - 20 of 1102
Results Per Page
Sort Options
Item รูปแบบความต้องการในการได้รับบริการของผู้มีศักยภาพท่องเที่ยว โฮมสเตย์ชาวบ้านในแหล่งท่องเที่ยวเมืองอยุธยาอย่างยั่งยืน ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พรเพ็ญ ไตรพงษ์; จิรัฐ ชวนชม; สฤษดิ์ ศรีโยธิน; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; ขจีนุช เชาวนปรีชา; วิณาภรณ์ แตงจุ้ยการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาความคาดหวังของผู้มีศักยภาพท่องเที่ยวโฮมสเตย์ชาวบ้าน ในแหล่งท่องเที่ยวเมืองอยุธยาภายใต้มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน (2) เพื่อประเมินความพร้อมของผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ชาวบ้าน ในแหล่งท่องเที่ยวเมืองอยุธยาภายใต้มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน (3) เพื่อสร้างรูปแบบความต้องการในการได้รับบริการของผู้มีศักยภาพท่องเที่ยวโฮมสเตย์ชาวบ้าน ในแหล่งท่องเที่ยวเมืองอยุธยาภายใต้มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน ผลการวิจัย พบว่า นักท่องเที่ยวมีความคาดหวังก่อนเข้ารับบริการต่ำกว่าระดับความพึงพอใจหลังจากเข้ารับบริการ เมื่อนำผลการศึกษามาทดสอบเปรียบเทียบความคาดหวังก่อนเข้ารับบริการและความพึงพอใจหลังเข้ารับบริการ พบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวมีความพึงพอใจหลังเข้ารับบริการเพิ่มขึ้นกว่าความคาดหวังก่อนเข้ารับบริการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในเกือบทุกด้าน ได้แก่ ด้านการจัดการ ด้านที่พัก ด้านความยั่งยืน ด้านสุขอนามัยและการรักษาความสะอาด ด้านกิจกรรม ด้านกลุ่มโฮมสเตย์ ด้านความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัย และด้านทำเลที่ตั้ง ตามลำดับ เมื่อสิ่งที่ได้รับสูงกว่าความคาดหวังจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจกับสิ่งที่ได้รับจนเกิดการกลับมาใช้บริการซ้ำ หรือการแนะนำให้คนใกล้ชิด หรือคนที่รู้จักมาใช้บริการด้วย มีเพียงด้านเดียว ได้แก่ ด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ที่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้น ด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ จึงเป็นด้านที่ผู้ประกอบการ ชุมชน ชาวบ้าน ต้องช่วยกันหาวิธีในการทำตลาดและการประชาสัมพันธ์ อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวควรให้ความสำคัญและช่วยส่งเสริมให้เกิดการทำการตลาดในรูปแบบที่หลากหลาย รวมถึงการประชาสัมพันธ์ในสื่อที่มีความหลากหลายและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ได้อย่างแท้จริงItem การพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมผ่านวัฒนธรรมลาวครั่ง จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) จิรานุช โสภา; กาญจนรัตน์ รัตนสนธิ รุ่งโรจน์; เย็นชัยพฤกษ์ รักษ์ศิริ; ชุณหพันธรักษ์; พราวธีมา ศรีระทุการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์และสังเคราะห์ความต้องการและองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวผ่านวัฒนธรรมลาวครั่งในชุมชนลาวครั่ง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีศักยภาพต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม 2) เพื่อพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ในชุมชนต่อการจัดการท่องเที่ยวโดยใข้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของวัฒนธรรมลาวครั่งในการจัดการการท่องเที่ยวเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและการบริการ 3) เพื่อพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวโดยบุคลากรในชุมชนเพื่อการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและการบริการผ่านวัฒนธรรมลาวครั่ง ตามลักษณะของทรัพยากรการท่องเที่ยวและการบริการ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ (Mixed Research Methodology) ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่บุคลากรจากภาครัฐ นักท่องเที่ยว คนในชุมชนจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 400 คน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ และบุคลากรจากภาครัฐ นักท่องเที่ยว คนในชุมชนคนในชุมชนจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 12 คน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์ความต้องการและองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวผ่านวัฒนธรรมลาวครั่งในชุมชนลาวครั่ง จังหวัดสุพรรณบุรี ที่มีศักยภาพต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์ ความรู้และทักษะที่จำเป็นและเป็นที่ต้องการของชุมชนลาวครั่งเพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมีความต้องการอย่างมาก ทั้งด้านการสื่อสาร การตลาดและการบริหารจัดการ พัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ในชุมชนต่อการจัดการท่องเที่ยวโดยใข้ภูมิปัญญาท้องถิ่นของวัฒนธรรมลาวครั่ง ในการจัดการการท่องเที่ยวเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและการบริการ พบว่าการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการรองรับและพัฒนาการท่องเที่ยว ได้แก่ ทักษะการเล่าเรื่อง การสร้างเนื้อหา (contents) เพื่อสื่อสารการตลาด การตลาดและการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวผ่านสื่อออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ และวิธีการสร้างรายได้จากฐานภูมิปัญญาท้องถิ่นในรูปแบบที่หลากหลาย สำหรับพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวโดยบุคลากรในชุมชนเพื่อการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและการบริการผ่านวัฒนธรรมลาวครั่ง ตามลักษณะของทรัพยากรการท่องเที่ยวและการบริการจัดทำคู่มือการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ด้านการท่องเที่ยวของชุมชนลาวครั่ง จังหวัดสุพรรณบุรี สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ด้านการท่องเที่ยวของชุมชนลาวครั่ง อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้โดยการจัดทำ (ร่าง) แนวทางการพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ด้านการท่องเที่ยวของชุมชนลาวครั่ง จังหวัดสุพรรณบุรีบนพื้นฐานความรู้ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของชุมชนItem นวัตกรรมการสร้างสรรค์สมรรถนะบุคลากรและผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวขนาดย่อมผ่านการมีส่วนร่วมสร้างคุณค่าจากการฝึกอบรม โดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน : กรณีศึกษากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด)(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) จิระวัฒน์ อนุวิชชานนท์; ปณิศา มีจินดาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวขนาดย่อม และสร้างแผนธุรกิจเพื่อบุกเบิกการประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวขนาดย่อมในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2) เพื่อศึกษาสถานการณ์และปัจจัยทางการตลาดในการพัฒนานวัตกรรมการตลาด การตลาดดิจิทัล และตราเมือง/ตราผลิตภัณฑ์ของการท่องเที่ยวขนาดย่อมในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างสรรค์หลักสูตรเพื่อพัฒนาสมรรถนะบุคลากร และผู้ประ กอบการธุรกิจท่องเที่ยวขนาดย่อมผ่านการมีส่วนร่วมสร้างคุณค่าจากการฝึกอบรมโดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ซึ่งประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยเชิงปริมาณ และผู้ให้ข้อมูลสำคัญสำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามสำหรับสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างสำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา เพื่ออธิบายลักษณะข้อมูล และทัศนคติของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานในการทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง จากการศึกษาความเป็นไปได้ของการประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวขนาดย่อม ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่ 1 ผลการวิจัยพบว่าการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์เป็นการท่องเที่ยวขนาดย่อมที่มีศักยภาพในการพัฒนา ซึ่งผลการวิจัยนี้ถูกใช้ในการพัฒนาแผนธุรกิจเพื่อบุกเบิกการประกอบการการท่องเที่ยวขนาดย่อมในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ส่วนผลการวิจัยเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ 2 ชี้ให้เห็นว่าความสามารถทางการแข่งขันของแหล่งท่องเที่ยว คุณค่าตราของแหล่งท่องเที่ยว และการรับรู้ต่อคุณสมบัตินวัตกรรม ส่งผลต่อปัจจัยด้านความพึงพอใจ และความตั้งใจที่จะท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว การยอมรับสื่อสังคมออนไลน์ส่งผลต่อความตั้งใจที่จะท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว ผลการวิจัยทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณถูกใช้ในการพัฒนาแผนนวัตกรรมการตลาด การตลาดดิจิทัลและการสร้างตราเมือง/ตราผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจท่องเที่ยวขนาดย่อมในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ส่วนผลการวิจัยสำหรับวัตถุประสงค์ที่ 3 พบว่า ความต้องการในการฝึกอบรมของทั้ง 3 หลักสูตร โดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการวิจัยของทั้ง 3 การศึกษาได้ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาสมรรถนะบุคลากร และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวขนาดย่อมผ่านการมีส่วนร่วมสร้างคุณค่าจากการฝึกอบรม ในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกItem รูปแบบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร ในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; จิรัฐ ชวนชม; สฤษดิ์ ศรีโยธิน; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; วิณาภรณ์ แตงจุ้ย; พรเพ็ญ ไตรพงษ์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มนักท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี (2) เพื่อศึกษากลยุทธ์การตลาดของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี (3) เพื่อสร้างรูปแบบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ผลการวิจัย พบว่า (1) นักท่องเที่ยวมีพฤติกรรมของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเป็นครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์หลัก ในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรคือ ศึกษาวิถีชีวิตของชุมชน เหตุผลในการเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศในจังหวัดสุพรรณบุรี คือ จังหวัดสุพรรณบุรี ไม่ไกลจากที่อยู่อาศัย/เดินทางสะดวก ผู้มีส่วนตัดสินใจเลือกการท่องเที่ยวเชิงเกษตรนิเวศจังหวัดสุพรรณบุรี คือ เพื่อน ช่วงเวลาในการเดินทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร คือ วันเสาร์/ วันอาทิตย์ โดยใช้วิธีการเดินทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรด้วยรถยนต์ส่วนตัว ส่วนใหญ่รับรู้ข่าวสารการท่องเที่ยวจากเว็บไซต์มากที่สุด ในการท่องเที่ยวครั้งต่อไปจะกลับมาเที่ยวตามโปรแกรมเดิมอีกโดยมีเหตุผล คือ ชอบบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติ รวมถึงวิถีชีวิตชนบทที่ไม่สามารถหาจากในเมืองได้ และจะแนะนําให้คนอื่นมาท่องเที่ยวตามโปรแกรมอีก โดยมีเหตุผล คือ โปรแกรมกิจกรรมมีความน่าสนใจ และมีประทับใจกับความเป็นธรรมชาติ (2) เมื่อพิจารณาถึงกลยุทธ์การตลาดของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร พบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ให้ความสําคัญกับกลยุทธ์การตลาดท่องเที่ยวด้านลักษณะทางกายภาพของแหล่งท่องเที่ยว (Physical Evidence) ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว และบุคคล ตามลําดับ (3) โดยมีรูปแบบการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร คือ 1) เน้นให้นักท่องเที่ยวได้ทํากิจกรรมร่วมกันกับคนในครอบครัวหรือเพื่อน 2) การกําหนดราคาที่มีหลายช่วงราคา ตั้งแต่ราคาไม่แพงจนถึงสินค้าที่มีมูลค่าสูง 3) การเพิ่มช่องทางการจัดจําหน่ายทาง Facebook 4) เพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย 5) ควรเพิ่มบุคลากรด้านการนําเสนอ หรือสร้างนักเล่าเรื่อง (นักบรรยาย) 6) มีความเป็นธรรมชาติ 7) บุคลากรมีทักษะการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างน่าสนใจItem ผลของการจัดการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติการสะท้อนคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่โดยใช้สมุนไพรไทยต่อพฤติกรรมการสะท้อนคิดของนักศึกษาพยาบาล(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ลักขณา ศรีบุญวงศ์; สุนิดา ชูแสงการวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบพฤติกรรมการสะท้อนคิดของนักศึกษาพยาบาล ก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนผ่านการสะท้อนคิด (2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการสะท้อนคิดของนักศึกษาพยาบาลก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยการส่งเสริมทักษะการสะท้อนคิดระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมของนักศึกษาที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนตามปกติ และ (3) ศึกษาความคิดเห็นต่อการเขียนบันทึกการเรียนรู้การปฏิบัติของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จำนวน 30 คน กลุ่มทดลอง 15 คน และกลุ่มควบคุม 15 คน เป็นการวิจัยกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินพฤติกรรมสะท้อนคิด และแบบสอบถามความคิดเห็นต่อการเขียนบันทึกการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ paired t-test และ independent t-test ผลการศึกษา พบว่า (1) ค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมการสะท้อนคิดของกลุ่มทดลอง หลังจัดการเรียนรู้ผ่านการสะท้อนคิดสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการสะท้อนคิดหลังการทดลอง ของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) ค่าเฉลี่ยความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ของการเขียนบันทึกการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับดี ส่วนความคิดเห็นเกี่ยวกับอุปสรรคของการเขียนบันทึกการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ผลการศึกษาครั้งนี้ใช้เป็นข้อมูลในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ โดยผ่านการสะท้อนคิดสำหรับนักศึกษาพยาบาลItem กระบวนการยกระดับคุณภาพการบริการของแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สฤษดิ์ ศรีโยธิน; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; จิรัฐ ชวนชม; อัมพร ศรีประเสริฐสุข; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; พรเพ็ญ ไตรพงษการวิจัยนี้มุ่งศึกษา ดังนี้ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบระดับความคาดหวังในการบริการกับระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้ เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริการสำหรับผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3) เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร ได้แก่ ผู้ให้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร หน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ และนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการวิจัย พบว่า 1) นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีผลรวมความคาดหวังในการบริการที่มีต่อแหล่งเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก (คิดเป็นร้อยละ 80.71 จากคะแนนเต็ม 7) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า นักท่องเที่ยว ประเมินความพร้อมในการบริการที่ได้รับจากที่อื่นสูงกว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวได้รับจากการบริการที่ได้รับจากแหล่งเรียนรู้ในจังหวัดสุพรรณบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ด้านความสุภาพ อย่างคงเส้นคงวาไม่พบความแตกต่าง ผลการศึกษาระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการ และวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ พบว่า อยู่ในระดับมากเกิน 5.60 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 7) ยกเว้นคุณภาพการบริการด้านการเห็นอกเห็นใจ (ค่าเฉลี่ย = 5.56) และด้านสิ่งที่สัมผัสได้ (ค่าเฉลี่ย = 5.41) 2) ผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีการพัฒนาคุณภาพบริการแหล่งเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการ (ค่าเฉลี่ย = 4.03) ซึ่งเป็นเพียงด้านเดียว ที่มีค่าเฉลี่ยเกิน 4.00 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 5) ส่วนในด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยไม่ถึงเกณฑ์ 3) กระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การสำรวจความคาดหวังและการรับรู้คุณภาพการบริการ (2) ปรับปรุงแก้ไขปัญหาคุณภาพ การบริการในด้านต่าง ๆ (3) พัฒนาวิทยากร/นักสื่อความหมายให้มีคุณภาพ และ (4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้คุณภาพการบริการItem นวัตกรรมอาหารสุขภาพจากผักใบเขียวของพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ปัญญภัสก์ ปิ่นแก้ว; สุวรรณา พิชัยยงค์วงศ์ดี; ฐิตา ฟูเผ่า; กันต์กนิษฐ์ จงรัตนวิทย์; ปิยวรรณ อยู่ดี; ธนิกานต์ นับวันดี; นุจิรา รัศมีไพบูลย์; ยศสินี หัวดง; วีรชน ภูหินกองแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการในปริมาณมาก อยู่ที่ 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องด้วยเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมอยู่มากมาย แต่เป็นแคลเซียมที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี ซึ่งมีข้อเสีย คือดูดซึมได้ต่ำและบางตัวมีการละลายและการแตกตัวไม่ดี อย่างไรก็ตามในพืชตามธรรมชาติ โดยเฉพาะผักใบเขียว ได้แก่ โหระพา คะน้า และกวางตุ้ง เป็นผักที่มีแคลเซียมสูงถึงปานกลาง ถึงแม้ปริมาณแคลเซียมต่อกรัมน้อย แต่มีการละลายและการดูดซึมดีกว่าแคลเซียมสังเคราะห์ ดังนั้นผักใบเขียวที่มีแคลเซียมสูงจึงสามารถนำมาเพิ่มมูลค่าโดยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชันที่มีแคลเซียมสูงได้ เมื่อนำผักคะน้า กวางตุ้ง และโหระพา มาวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ พบว่า ผักทั้ง 3 ชนิด มีปริมาณแคลเซียม 202.75-159.55 mg ต่อผักสด 100 g เมื่อนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์พาสตาผักใบเขียวแคลเซียมสูง สูตรที่ดีที่สุดมีส่วนประกอบหลักเป็น แป้งข้าวกล้องร้อยละ 52.25 และผักใบเขียวร้อยละ 19.60 ผลิตภัณฑ์ผักแผ่นกรอบเสริมแคลเซียมผสมข้าวไรซ์เบอร์รี่ มีแร่ธาตุแคลเซียมมากกว่า 200 มิลลิกรัม และเส้นใยอาหารที่ประมาณร้อยละ 7.00 และเป็นแหล่งของแอนโธไซยานิน และผลิตภัณฑ์ผักผงโรยข้าวเสริมแคลเซียมที่ได้จากกระบวนการสกัดด้วยวิธีทางเคมีมีปริมาณแคลเซียมสูงขึ้นร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับผักผงอบแห้งItem นวัตกรรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของทุนมนุษย์บนดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Human Capital Big Data on Digital Platform) เพื่อใช้ส่งเสริมขีดความสามารถ ด้านการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมูลค่าสูง (High Value Services) สู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก (Word Class Destination) และรองรับกระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม (New Normal)(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) พรรณี สวนเพลง; สุระสิทธิ์ ทรงม้า; ทินกร ชุณหภัทรกุล; ชวาลิน เนียมสอน; ฐิติยา เนตรวงษ์; เชษฐ์ภณัฏ ปัญญวัชรวงศ์โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนานวัตกรรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของทุนมนุษย์ (Human Capital Big Data) (2) เพื่อพัฒนาระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของข้อมูลในการเสริมสร้างขีดความสามารถของทุนมนุษย์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม และใช้สําหรับยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมูลค่าสูง (High Value Services) สู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว ระดับโลก (Word Class Destination) และ (3) เพื่อพัฒนาเนื้อหาดิจิทัล (Digital Content) สําหรับการพัฒนามนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งมีระเบียบวิธีวิจัยแบบบูรณาการทั้งงานวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยการพัฒนานวัตกรรม (R & D Development) ซึ่งมีผลการวิจัย ดังนี้ (1) นวัตกรรมฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของทุนมนุษย์ (Human Capital Big Data) ซึ่งได้มี การจัดเก็บข้อมูลบุคลากรทางด้านการท่องเที่ยว เช่น ข้อมูลการรับสมัครงาน (Recruit) ข้อมูลการจัดการแรงงาน ข้อมูลการจัดการประสิทธิภาพ ข้อมูลการจัดการค่าตอบแทนและผลประโยชน์ ข้อมูลการจัดการเรียนรู้ ข้อมูลการเข้าร่วมและการจ่ายเงินเดือน ข้อมูลการบริหารการออกจากงาน ข้อมูลการบริหารปฏิบัติตามข้อกําหนดและกฎหมาย และข้อมูลการท่องเที่ยวและการบริหาร (2) ระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางของข้อมูล ในการเสริมสร้างขีดความสามารถของทุนมนุษย์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม และใช้สําหรับยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการมูลค่าสูง (High Value Services) สู่การยกระดับให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวระดับโลก (Word Class Destination) ซึ่งมีการพัฒนานวัตกรรมที่สําคัญ ได้แก่ (1) Prototype บน Digital Platform ที่เชื่อมโยง กับระบบ Smart Tourism (2) การศึกษาความต้องการและทัศนคติของนักท่องเที่ยวที่มีต่อระบบ Smart Tourism บน Digital Platform เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว (3) Chatbot Prototype เพื่อเชื่อมต่อกับ ระบบ AI ด้วย Deep Learning เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (4) ระบบปัญญาประดิษฐ์แนะนําแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน (Al recommended Community-Based Tourism) (5) A comparative study of deep learning methods for time-Series forecasting tourism business recovery from the Covid 19 pandemic crisis (6) Sentiment analysis with a Textblob package implications for tourism (3) เนื้อหาดิจิทัล (Digital Content) สําหรับการพัฒนามนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการบริการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเชื่อมโยงเข้ากับแพลตฟอร์มทุนมนุษย์ ด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการเข้ากับระบบการเรียนรู้ออนไลน์ (MOOCs) เพื่อให้บุคลากรทางด้านการท่องเที่ยวและการบริการสามารถใช้เนื้อหาดิจิทัล (Digital Content) ในรูปแบบ VDO บทเรียน ออนไลน์ที่อยู่บนระบบ MOOCs YouTube และสื่อสังคมออนไลน์ของโครงการที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตItem กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมด้านการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สำหรับนักศึกษารายวิชาเทคโนโลยีข้าว(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) อานง ใจแน่นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษากระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตในการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน (2) เพื่อศึกษาผลการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ คณะโรงเรียนการเรือน ศูนย์การศึกษาลำปาง มหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาเทคโนโลยีข้าว ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 19 คน เครื่องมือวิจัย คือ (1) แบบสังเกตสังเกตการทำกิจกรรมและ (2) แบบประเมินความพึงพอใจกิจกรรมสาธิตการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนตามกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรูแบบมีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตใน การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่นักศึกษาสามารถปฏิบัติได้ ตามที่ผู้สอนสาธิต ทั้งในด้านการเตรียมวัตถุดิบ การปรุงประกอบ ตลอดจนลงมือปฏิบัติให้ได้เมนูขนมที่ถูกต้องบรรลุตามเป้าหมายการเรียนรู้ และผลการศึกษาความพึงพอใจในการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากที่สุด (คาเฉลี่ยเทากับ 4.62)Item ต้นแบบนวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้งตามแนวทางเกษตรปลอดภัยในเขตพื้นที่ภาคกลาง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สุรชาติ สินวรณ์; ณัฐบดี วิริยาวัฒน์; ยุธยา อยู่เย็น; ทิพาวรรณ วรรณขัณฑการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาต้นแบบนวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้งตามแนวทางเกษตรปลอดภัย ได้แก่ นวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ข้าวทนแล้ง นวัตกรรมการผลิตปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ PGPR และสารปรับปรุงดินจากวัสดุเหลือทิ้งในชุมชน นำไปใช้ร่วมกับระบบน้ำหยด เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวและเมล่อน นวัตกรรมการจัดการปริมาณและคุณภาพน้ำในโรงเรือนปลูกมะเขือเทศ โดยใช้คลื่นแสงเสริม และ 2. เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตและการใช้ต้นแบบนวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้งตามแนวทางเกษตรปลอดภัย โดยจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาซึ่ง มีอาชีพเกษตร จำนวน 262 คน ในพื้นที่ 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี สระบุรี ลพบุรี และกรุงเทพมหานคร ในระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2564-10 กุมภาพันธ์ 2565 โดยใช้แบบประเมินผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีต้นแบบ นวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะภัยแล้งตามแนวทางเกษตรปลอดภัยหลังการอบรม และนำผลการศึกษามาวิเคราะห์ค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละ ผลการวิจัยมีดังนี้ ผู้เข้าร่วมอบรมการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมจำนวนทั้งสิ้น 262 คนเป็นชาย จำนวน 174 คน (66.41%) และเป็นหญิง จำนวน 189 คน (72.14%) มีระยะเวลาในการทำการเกษตรในช่วง 16-20 ปี มีจำนวน 134 คน (51.15%) ส่วนใหญ่ผู้เข้าร่วมไม่ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี จำนวน 213 คน (81.30%) มีระดับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 83 คน (31.68%) มีรูปแบบการใช้ปุ๋ยชีวภาพ โดยการซื้อใช้สูงสุดเท่ากับ 117 คน (44.66%) ในส่วนของคะแนนในการทำแบบทดสอบความรู้ของผู้เข้าร่วมอบรมในโครงการต้นแบบ นวัตกรรมการผลิตพืชในพื้นที่ประสบภาวะแล้งตามแนวทางเกษตรกรปลอดภัยในเขตภาคกลาง จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ผู้เข้าร่วมอบรมสามารถทำได้ 10 คะแนน จำนวน 138 คน (52.67%) ส่วนการประเมินความรู้ความเข้าใจเล่มคู่มือในส่วนระดับมาก โดยมีเนื้อหามีความสอดคล้องและตรงประเด็น จำนวน 180 คน (68.70%) ขนาดอักษรมีความเหมาะสม จำนวน 202 คน (77.10%) การศึกษานำไปสู่การพัฒนาทักษะและวิธีการ จำนวน 260 คน (99.24%) ได้รับความรู้ความเข้าใจ เพิ่มขึ้นจากการอ่านเล่มคู่มืออบรม จำนวน 190 คน (72.52%) และการศึกษาเล่มคู่มือ ท่านมีความเข้าใจและสามารถนำความรู้ไปเผยแพร่แก่ผู้อื่นได้ จำนวน 183 คน (69.85%) ผลประเมินความรู้ ความเข้าใจต่อการสาธิตวิธีการ สูงสุดในแต่ละหัวข้อ ได้แก่ โดยผลการประเมินคะแนนระดับ 5 (มากที่สุด) ในประเด็น การสาธิต ผู้เข้าร่วมการอบรมมีความเข้าใจสามารถนำขั้นตอนไปปรับใช้ได้ จำนวน 117 คน (44.66%) อุปกรณ์และเอกสารประกอบการสาธิต มีความเหมาะสมและเพียงพอ จำนวน 211 คน (80.53% ขั้นตอนการสาธิต ท่านสามารถนำความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่แก่ผู้อื่นได้ จำนวน 243 คน (92.75%) ผู้จัดอบรมใช้ภาษาในการสื่อสารที่เข้าใจได้ง่ายระหว่างการสาธิต จำนวน 139 คน (53.05%) การดำเนินงานได้ใช้พื้นที่ประสาน ณ ฟอมขจรฟาร์ม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี โดยมีสถานที่ทั้งแบบสาธิตการปลูกพืช การผลิตปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน การวิเคราะห์ปุ๋ย สารเคมีและสารกำจัดจัดศัตรูพืช การวิเคราะห์เพื่อรับรอง GAP การให้คำปรึกษาทางการตลาดให้แก่เกษตร และการวิจัยและการส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ภาคกลางItem การประเมินประสิทธิผลของการบูรณาการเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย (หลักสูตรปรับปรุง) พ.ศ. 2562 หลักสูตรสี่ปี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) เอื้ออารี จันทร; ทิพสุดา คิดเลิศ; พัฒนชัย จันทรหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย (หลักสูตรปรับปรุง) พ.ศ. 2562 หลักสูตรสี่ปีของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นหลักสูตรระบุจุดเน้นที่สำคัญ คือ การบูรณาการเทคโนโลยีกับการเรียนรู้เพื่อพัฒนาครูปฐมวัยรุ่นใหม่รองรับการปรับเปลี่ยนเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มระบบ แต่ด้วยสถานการณ์โลกที่มีการพลิกผันตลอดเวลา ทำให้คณะผู้วิจัยจึงได้ดำเนินการจัดทำงานวิจัยฉบับนี้ขึ้นเพื่อศึกษาประสิทธิผลของการบูรณาการเทคโนโลยีในหลักสูตรและศึกษา ความต้องการเพิ่มเติมของผู้เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะในการพัฒนาหลักสูตร 2 มิติ คือ มิติด้านวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและมิติของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ สถิติที่ใช้ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) การคำนวณหาดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (Priority Need Index: PNI) โดย การเก็บข้อมูลจากผู้เรียน จำนวน 120 คน และผู้เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตรจำนวน 31 คน ทั้งในกรุงเทพมหานคร วิทยาเขตสุพรรณบุรี ศูนย์การศึกษาลำปางและนครนายก โดยใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (content analysis) จากกลุ่มตัวอย่าง ผู้เรียน ผู้เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร ในกรุงเทพมหานคร วิทยาเขตสุพรรณบุรี ศูนย์การศึกษาลำปาง และนครนายก แต่ละพื้นที่ ๆ ละ 5 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบโควต้า ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิผลของการบูรณาการเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ในภาพรวม ทุกด้านมีผลค่าเฉลี่ยประสิทธิผลอยู่ในระดับมาก (𝑥 = 3.67 - 4.10) ผลการประเมินทั้ง (1) ด้านปฏิกิริยาตอบสนองต่อการเรียนรู้ และ (2) ด้านการเรียน กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มเกิดความพึงพอใจ และเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ iPad เป็นเครื่องมือในการเรียนและการทำงานเนื่องจากสามารถ ทำงานได้หลากหลายรูปแบบ (3) ด้านพฤติกรรมการเรียนรู้ พบว่า เมื่อผ่านไป 1 ปี กลุ่มผู้เรียนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นไปตามความคาดหวังของหลักสูตรในประเด็นการสร้างสื่อประกอบการเรียนรู้มากที่สุด (4) ด้านผลลัพธ์ ด้านผู้เรียนมีการใช้เทคโนโลยีในการทำงานร่วมกันกับผู้อื่นมากที่สุด ส่วนกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร มีการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมการใช้เทคโนโลยีในการออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัยอย่างชัดเจน สำหรับความต้องการจำเป็นที่มากที่สุด คือ ความสามารถเกี่ยวกับการสร้างโปรแกรมโดยใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ ค่า PNImodified คือ .18 รองลงมา คือ ความสามารถในการพัฒนาและดูแลเว็บไซต์ และความสามารถในการใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติ ค่า PNImodified คือ .14 โดยมีข้อเสนอแนวทางพัฒนา หลักสูตรให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เน้นการลงมือปฏิบัติโดยเสริมความรู้ที่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ ด้านสุขภาวะของเด็กในโลกดิจิทัล การให้ความรู้กับผู้ปกครองเพื่อดูแลเด็ก ในยุคดิจิทัล ภาษาคอมพิวเตอร์ และทักษะการคิดเชิงคำนวณ เสนอให้จัดหาหรือพัฒนาแหล่งเรียนรู้ online หรือชุมชนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องทางวิชาชีพได้ ด้านใช้การบูรณาการ รายวิชาบูรณาการชิ้นงานในภาคเรียนเพื่อลดภาระงานของผู้เรียน แต่เน้นการใช้แนวคิดเชิงออกแบบ (design thinking) ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านการทำโครงการ (project-based learning) ใช้การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพการทำงานจริงในโรงเรียนสาธิตละอออุทิศItem การพัฒนารูปแบบการบริหารงานแนะแนวเพื่อเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุกของนักศึกษา(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) อัษฎา พลอยโสภณ; รัตนาพร หลวงแก้ว; นงเยาว์ นุชนารถการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการของการพัฒนารูปแบบการบริหารงานแนะแนวที่เสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุก 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานแนะแนวฯ 3) เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบการบริหารงานแนะแนวฯ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการฯ ได้แก่ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ประกอบด้วย กรุงเทพฯ วิทยาเขตสุพรรณบุรี ศูนย์การศึกษานครนายก ศูนย์การศึกษาลำปาง จำนวน 250 คน กลุ่มตัวอย่าง เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารงานแนะแนวฯ ได้แก่ กรุงเทพฯ จำนวน 35 คน และกลุ่มเป้าหมาย เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและความต้องการ จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและความต้องการฯ 2) แบบสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง 3) แบบวัดกลวิธีการเผชิญความเครียดเชิงรุก 4) แบบสอบความความคิดเห็นต่อรูปแบบการบริหารจัดการงานแนะแนวฯ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNIModified) การวิเคราะห์เนื้อหาจากโปรแกรม QDA Miner Lite Program และการวิเคราะห์ผลทางสถิติแบบ t-test ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. สภาพปัจจุบันและความต้องการในการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการงานแนะแนวเพื่อเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียด ด้านปัจจัยนำเข้า พบว่า โครงสร้างการบริหาร กิจกรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการนักศึกษา และการกำหนดหน้าที่ของผู้ปกครอง มีความต้องการจำเป็นสูงสุด ด้านกระบวนการ พบว่า บริการสนเทศ การป้องกันปัญหา การแนะแนวอาชีพ มีความต้องการจำเป็นสูงสุด ด้านผลผลิต พบว่า มีการให้บริการปรึกษาเมื่อนักศึกษาเผชิญความเครียด มีกิจกรรมเสริมสร้างทักษะเผชิญความเครียด และนักศึกษามีทัศนคติเชิงบวกต่อตนเองและสถานศึกษา มีความต้องการจำเป็นสูงสุด 2. ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารงานแนะแนวเพื่อเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุก ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ดังนี้ การบริหารจัดการ (Administrative) บุคลากร (Staff) กิจกรรม (Activity) วงจรเดมมิ่ง (Deming Cycle) และการประเมินผล (Assessment) 3. ผลศึกษาการใช้รูปแบบการบริหารงานแนะแนวเพื่อเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุก พบว่า รูปแบบการบริหารงานแนะแนวสามารถเสริมสร้างทักษะการเผชิญความเครียดเชิงรุก ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05Item ผลการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกมเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาการสร้างเสริมสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวชของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) อันธิฌา สายบุญศรี; จิราพร เกษรสุวรรณ์; ศิริพร นันทเสนีย์; อริยา ดีประเสริฐการศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกมเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการสร้างเสริมสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวชของนักศึกษาพยาบาล เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (quasi - experimental design) แบบวัดก่อนและหลังการทดลอง (Nonrandomized Control Group Pretest-Posttest Design) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช ปีการศึกษา 2564 จำนวน 87 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มทดลอง 44 คน และกลุ่มควบคุม 43 คน โดยเลือกแบบเจาะจง ซึ่งกลุ่มทดลองจะได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกม และกลุ่มควบคุมจะได้รับการเรียนการสอนแบบปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกมและแบบประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน วิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เรื่อง การพยาบาลจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภายในกลุ่มเดียวกัน โดยใช้สถิติ Paired Samples t-Test และวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย คะแนนความรู้เรื่องการพยาบาลจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนการสอน แบบใช้เกมกับกลุ่มที่ได้รับการเรียนการสอนแบบปกติ โดยใช้สถิติ t-test independent ผลการศึกษา พบว่าค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เรื่องการพยาบาลผู้ป่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่นของนักศึกษา พยาบาลกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกมสูงกว่านักศึกษาพยาบาลกลุ่มควบคุม ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05Item การเพิ่มศักยภาพพันธ์ข้าวเศรษฐกิจต่อการทนแล้งโดยการปรับปรุงร่วมกับพันธุ์ข้าวท้องถิ่นในพื้นที่ภาคกลาง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ยุธยา อยู่เย็น; สุรชาติ สินวรณ์; ณัฐบดี วิริยาวัฒน์; ธนากร บุญกลํ่า; เฉลิมชัย เเสงอรุณการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อปรับปรุงพันธุข้าวเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคกลางให้ต้านทานแล้งในภาวะขาดแคลนนํ้า 2. ผลิตข้าวสายพันธุ์ใหม่ให้มีผลผลิตสูงในช่วงภาวะแห้งแล้งและ 3. เพื่อส่งเสริมข้าวพันธุ์ใหม่ให้เป็นที่รู้จักและต้องการของตลาดทั้งในและนอกประเทศ โดยมีประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 1. ข้าวแม่พันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ท้องถิ่น 2 สายพันธุ์ ได้แก่ 1) พันธุ์รากแห้ง 2) พันธุ์เหลืองอ่อน และ 2. ข้าวพ่อพันธุ์ ได้แก่ 1) ข้าวสุพรรณบุรี 57 และ 2) ข้าวปทุมธานี 3) ข้าว กข 43 4) ข้าวสุพรรณบุรี 59 และ 5) ข้าวพันธุ์ชัยนาท โดยการปลูกตัวอย่างละ 7 กระถาง และเมื่อได้ข่าวลูกผสม จำนวน 10 คู่ ก็จะแยกปลูกคู่ละ 3 กระถาง รวมทั้งสิ้น 30 ตัวอย่าง เพื่อนำเมล็ดขาวที่ได้มาคัดเลือกและลงปลูกในพื้นที่แปลงทดลองเพื่อขยายพันธุ์ต่อไป โดยใชเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยทั้งอุปกรณ์การเลี้ยงเนื้อเยื่อและอุปกรณ์วิเคราะหการเติบโต ผลผลิต และคุณภาพข้าว และนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ โดยใช้สถิติ วิเคราะห์ค่าเฉลี่ย และความแปรปรวน ผลการวิจัยมีดังนี้ โดยสายพันธุที่มีความสามารถในการทนแล้งได้ระดับดี ได้แก่ M1F1, M1F2, M1F3, M1F4, M1F5, M2F1 และ M1 และ สายพันธุ์ M1F3 และ M1 มีระดับการฟื้นตัวหลังได้รับน้ำดีที่สุด ส่วนความต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในต้นกล้า พบว่า สายพันธุ์ M1F1, M1F2, M1F3, M1F4, M1F5 มีระดับความต้านทานสูงมาก ส่วนการเติบโตและผลผลิตของข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ ทั้งความสูง จำนวนต้นต่อกอ จำนวนรวงต่อกอ จำนวนเมล็ดต่อรวง น้ำหนัก 100 เมล็ด น้ำหนักเมล็ดต่อกอ น้ำหนัก เมล็ดต่อกอ (กรัม) ของทุกสายพันธุ์มีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันทุกสายพันธุ์ โดยในด้านส่วนสูง ข้าวสายพันธุ์ M1 มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดเท่ากับ 166.3 เซนติเมตร และผลการทดสอบคุณภาพทางกายภาพและ เคมีของเมล็ดข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ พบว่า อะมิโลส ความคงตัวของแป้งสุก ระยะเวลาในการหุงต้มของทุกสายพันธุ์มีค่าเฉลี่ยแตกต่างกันทุกสายพันธุ์ โดยในส่วนของการวิเคราะห์อะมิโลส พบว่า ขาวสายพันธุ์ F5 มีค่าร้อยละเฉลี่ยสูงที่สุดเท่ากับ 26.79 ความคงตัวของแป้งสุก พบว่า ข้าวสายพันธ์ M1F1 มีค่าเฉลี่ยระยะทางไหลสูงที่สุดเท่ากับ 83.6 มิลลิเมตร และระยะเวลาในการหุงต้ม พบว่า ข้าวสายพันธุ์ M2F5 ให้ค่าเฉลี่ยระยะเวลาหุงต้มสูงสุดเท่ากับ 22.33 นาทีItem แนวทางการพัฒนามาตรการด้านกฎหมายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พรเพ็ญ ไตรพงษ์; จิรัฐ ชวนชม; สฤษดิ์ ศรีโยธิน; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; ธนะชาติ ปาลิยะเวทยการวิจัยเรื่อง แนวทางการพัฒนามาตรการด้านกฎหมายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษากฎหมายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี 2) เพื่อวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของ กฎหมายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3) เพื่อแสวงหาแนวทางการพัฒนามาตรการด้านกฎหมาย ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mix-Method Research) ซึ่งมีทั้งกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพและมีกระบวนการจัดเก็บข้อมูลแบบ พหุวิธี คือ การจัดเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม การวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัย พบว่า 1) กฎหมายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรนั้นมี 3 ด้าน คือ ด้านเกษตรเชิงนิเวศ อาทิ กฎหมายผังเมืองและกฎหมายพัฒนาที่ดิน ด้านสิ่งแวดล้อมเชิงนิเวศ อาทิ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 2 พ.ศ. 2561 และด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อาทิ พระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2551 แก้ไขเพิ่มเติมถึงฉบับที่ 2 พ.ศ. 2562 2) วิเคราะห์จุดแข็งทางกฎหมาย คือ มีการกำหนด ทิศทางและเรื่องที่สำคัญและจำเป็น ซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร และมีการเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ส่วนวิเคราะห์จุดอ่อนทางกฎหมาย คือ การให้คำจำกัดความของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนไม่สอดคล้องกับหลักการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน รวมถึงกฎหมาย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ได้บัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่ด้านเกษตรเชิงนิเวศและส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร อีกทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีข้อจำกัดในการดำเนินการส่งเสริม การท่องเที่ยวให้บรรลุผลตามกฎหมาย และแผนพัฒนาจังหวัดสุพรรณบุรีที่ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจน ให้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรส่งผลต่อแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีไม่มีประสิทธิผล เพียงพอ และ 3) แนวทางการพัฒนามาตรการด้านกฎหมายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรนั้นควรแก้ไขเพิ่มเติมคำจำกัดความของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนให้สอดคล้องกับหลักการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือข้อบัญญัติ หรือแผนพัฒนาจังหวัด หรือแผนพัฒนาท้องถิ่นของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรกำหนดมาตรการที่มุ่งเน้นการปฏิบัติงานส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมมากขึ้นและเป็นรูปธรรม ควรมีมาตรการจัดทำข้อตกลงหรือบันทึกความเข้าใจกับเกษตรกร องค์กรหรือสถาบันทางด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร ควรมีการบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมในเชิงรุก และมีประสิทธิผล ควรเพิ่มการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของรัฐ และจัดทำมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรItem การเปลี่ยนผ่านจากมหาวิทยาลัยไปสู่โลกแห่งการทำงานของนักศึกษาครูในศตวรรษที่ 21(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ศศนันทน์ บุญยะวนิช; ชยาพล ชมชัยยา; ณัฐพร โอวาทนุพัฒน์การศึกษาเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจ 1) วิธีการประเมินที่ใช้ในหลักสูตรการฝึกอบรมครูไทย 2) สำรวจการประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning) และองค์ประกอบที่สามารถส่งเสริมเอกลักษณ์ทางวิชาชีพและช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านจากมหาวิทยาลัยสู่การทำงานของนักศึกษาครูในบรรยากาศการทำงานของศตวรรษที่ 21 และ 3) ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแนวทางการประเมินสำหรับหลักสูตรการฝึกอบรมนักศึกษาครู งานวิจัยนี้ใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเพื่อรวบรวมข้อมูลจากอาจารย์แปดท่านในหลักสูตรฝึกอบรมนักศึกษาครู ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรฝึกอบรมนักศึกษาครูได้ใช้การประเมินรูปแบบต่าง ๆ ตามที่อาจารย์ผู้สอนเห็นว่าเหมาะสม เช่น ข้อสอบแบบปรนัย ข้อสอบอัตนัยแบบให้ทำที่บ้าน และการสอบแบบให้ส่งโครงงานทั้งสำหรับการประเมินระหว่างเรียนและการประเมินผลสรุป 2) การประเมินเพื่อการเรียนรู้ (AfL) หมายถึงแนวทางการประเมินที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียนในด้านการติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของตนเองและกลายเป็นผู้เรียนที่สามารถกำกับการเรียนรู้ของตนเองได้ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มความเข้าใจความรู้และทักษะการเรียนรู้ของนักเรียนมากกว่าจะเป็นไปเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำข้อสอบ องค์ประกอบของ AfL ซึ่งได้แก่ ผลสะท้อนกลับ (feedback) และภาพสะท้อน (reflection) มีแนวโน้มที่จะส่งเสริมอัตลักษณ์ทางวิชาชีพของนักศึกษาครู ผลสะท้อนกลับจากอาจารย์ผู้สอนทำให้นักศึกษาครูทราบถึงส่วนที่ต้องปรับปรุง ทักษะด้านที่ตนเองชำนาญ และสิ่งที่ตนเองชอบภาพสะท้อนจากนักศึกษาครูผ่านบันทึกการเรียนรู้ทำให้อาจารย์ทราบว่าควรต้องปรับกลยุทธ์การสอนอย่างไรเพื่อให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ของนักศึกษาครูที่จะช่วยส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้ และ 3) แนวทางการประเมินควรต้องมีความหลากหลายและมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าอาจารย์จะมีความเข้าใจการประเมินเพื่อการเรียนรู้อย่างจำกัด แต่ก็ได้นำองค์ประกอบของการประเมินเพื่อการเรียนรู้มาใช้ประเมินความรู้ของนักศึกษาครูในชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะมีการใช้การประเมินเพื่อการเรียนรู้ในหลักสูตรเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นครูของนักศึกษาครูItem มาตรการทางกฎหมายสำหรับธุรกิจโฮมสเตย์ชาวบ้านในแหล่งท่องเที่ยวเมืองอยุธยาอย่างยั่งยืนภายใต้เกณฑ์มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พรเพ็ญ ไตรพงษ์; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; สฤษดิ์ ศรีโยธิน; จิรัฐ ชวนชม; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; พันธ์เทพ วิทิตอนันต์การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจโฮมสเตย์ชาวบ้านอย่างยั่งยืนภายใต้เกณฑ์มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน 2) เพื่อวิเคราะห์กฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโฮมสเตย์ชาวบ้านอย่างยั่งยืนภายใต้เกณฑ์มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน 3) เพื่อแสวงหาแนวทางการพัฒนามาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจโฮมสเตย์ชาวบ้านอย่างยั่งยืนภายใต้เกณฑ์มาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน การดำเนินการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมทั้งเชิงปริมาณ (Quality method) และเชิงคุณภาพ (Mixed-method) กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนในแต่ละภูมิภาค รวมจำนวนทั้งสิ้น 400 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วน (Quota Sampling) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติอ้างอิง รวมถึงวิจัยเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) โดยทำการสัมภาษณ์นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ นักวิชาการ ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 50 คน โดยวิธีเจาะจง และวิจัยเชิงเอกสาร (Document research) รวมถึงการวิจัยจากการสนทนากลุ่ม โดยวิธีสนทนากลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง โดยเป็นการเชิญผู้แทนจากด้านต่าง ๆ จำนวน 15 ท่าน โดยผลการวิจัยมีดังนี้ 1. พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 มาตรา 4 ได้ให้ความหมายของคำว่า “โรงแรม” ไว้และได้ยกเว้นสถานที่พักไม่เป็นโรงแรมไว้ โดยที่กฎกระทรวงกําหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551 ตามพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 13 ได้ให้อำนาจในการออกกฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจโรงแรม ในข้อที่ 1 แห่งกฎกระทรวงดังกล่าวกำหนดไว้ว่า ให้สถานที่พักที่มีจำนวนห้องพักในอาคารเดียวกัน หรือหลายอาคารรวมกันไม่เกิน 4 ห้องและมีจำนวนผู้พักรวมกันทั้งหมดไม่เกิน 20 คน ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดินทาง หรือบุคคลอื่นใดโดยมีค่าตอบแทน อันมีลักษณะเป็นการประกอบกิจการเพื่อหารายได้เสริม และได้แจ้งให้นายทะเบียนทราบตามแบบที่รัฐมนตรีกำหนด ไม่เป็นโรงแรมตาม (3) ของบทนิยามคำว่า “โรงแรม” ในมาตรา 4 และกําหนดมาตรฐานบริการท่องเที่ยวมาตรฐานโฮมสเตย์ไทย พ.ศ. 2554 ได้ปรากฏบทนิยามที่ชัดเจนในข้อ 4 ซึ่งระบุว่า “โฮมสเตย์ไทย” ส่วนในต่างประเทศนั้นก็มีกฎหมายโฮมสเตย์ อาทิ สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กำหนดให้การประกอบกิจการสถานที่พักโฮมสเตย์ โดยหลักมีขนาดไม่เกิน 5 ห้องพักและมีพื้นที่รวมไม่เกิน 150 ตารางเมตร ในส่วนของญี่ปุ่นได้ออกมาตรการกำกับดูแลที่พักในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องป้องกันการเสื่อมสภาพของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงซึ่งเป็นผลมาจากเสียงของผู้เช่าหรือปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจให้เช่า โดยพระราชบัญญัติการแบ่งปันบ้านซึ่งควบคุมการเช่าบ้านระยะสั้นมีกรอบการกำกับดูแลแยกจากการเช่าห้องของสถานที่อยู่อาศัยแก่นักท่องเที่ยวเพื่อผลกำไรที่ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของโรงแรม ส่วนการประกอบธุรกิจโฮมสเตย์ในมาเลเซียนั้นไม่ได้มีความหมายอย่างเช่นการประกอบธุรกิจโรงแรม เนื่องจากโฮมสเตย์จะเป็นที่พักแรมในลักษณะนักท่องเที่ยวจะเข้าพักร่วมกับครอบครัว เพื่อให้มีการเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรม โดยจะต้องจดทะเบียนตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงการท่องเที่ยวมาเลเซีย 2. การประกอบธุรกิจโฮมสเตย์เมืองอยุธยานั้นชาวบ้านในท้องถิ่นมีการรวมกลุ่มกัน รวมถึงสมาชิกของกลุ่มหรือชมรมเป็นเจ้าของและมีการบริหารจัดการโฮมสเตย์ร่วมกัน จัดให้มีที่พักให้นักท่องเที่ยวเข้าพักในบ้านชายคาเดียวกันกับเจ้าบ้าน และมีกิจกรรมที่ให้โอกาสได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และได้รับประสบการณ์จากเอกลักษณ์ของท้องถิ่น วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นซึ่งเป็นไปตามเอกลักษณ์ของการท่องเที่ยวโฮมสเตย์มาแต่ดั้งเดิมและเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวโดยชุมชน การประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ชาวบ้านในเมืองอยุธยาจึงมีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงแค่ที่พักโฮมสเตย์ ตามนิยามโฮมสเตย์ไทยในประกาศกรมการท่องเที่ยว ในส่วนของต่างประเทศนั้น ไต้หวันกำหนดไว้ให้มีขนาดไม่เกิน 5 ห้องพักและพิจารณาจากพื้นที่รวมไม่เกิน 150 ตารางเมตร ส่วนประเทศญี่ปุ่น รัฐบาลได้ออกมาตรการกำกับดูแลที่พักในประเทศญี่ปุ่นมิได้มีการกำหนดจำนวนห้องพักหรือขนาดพื้นที่หรือจำนวนผู้เข้าพักแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีการประกอบธุรกิจโฮมสเตย์ในประเทศมาเลเซียเน้นให้มีการเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรม 3. ควรมีมาตรการทางกฎหมายที่ไม่ขัดกับบรรยากาศการทำธุรกิจเพื่อเอื้อต่อการประกอบธุรกิจในการส่งเสริมผู้ประกอบการและชุมชนต่าง ๆ ในการถ่ายทอดวัฒนธรรมของแต่ละชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมถึงเพื่อเป็นการป้องกันเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ หรือหน่วยงานของรัฐมาแสวงหาผลประโยชน์จากช่องทางของกฎหมาย โดยควรออกเป็นกฎหมายลำดับรองในลักษณะกฎกระทรวงเพื่อสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากกว่าItem การสร้างชุดกิจกรรมการอ่านเพื่อพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ (Executive Functions) ของเด็กระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ วิทยาเขตสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) รัถยา เชื้อกลาง; พรพิมล นามวงศ์; เกษร ขวัญมา; ไพรินทร์ ดวงสี; พัชรพล ศรีสิทธิ์; ชุตินันท์ พึ่งเพ็ญ; พงศกร ใจตรการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและหาคุณภาพของชุดกิจกรรมการอ่านเพื่อพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ วิทยาเขตสุพรรณบุรี และเพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการอ่านเพื่อพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กชาย-หญิง อายุ 6-7 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ วิทยาเขตสุพรรณบุรี 3 ห้องเรียน จำนวน 46 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1. ชุดกิจกรรมการอ่านเพื่อพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จ 2. แบบประเมินทักษะทางสมองเพื่อการบริหารจัดการชีวิต (Executive Functions) สำหรับนักเรียนช่วงรอยเชื่อมต่อปฐมวัยสู่ประถมศึกษา และระดับชั้นประถมศึกษา (KU-THEF) สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การสร้างและหาคุณภาพของชุดกิจกรรมการอ่านเพื่อพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ วิทยาเขตสุพรรณบุรี จำนวน 5 ชุด จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ มีค่าเฉลี่ยภาพรวมคุณภาพอยู่ในระดับดี (M = 4.26, S.D. = 0.08) และแต่ละเรื่องมีค่าเฉลี่ย ดังนี้ 1) ปีโป้ทำได้ มีคุณภาพอยู่ในระดับดี (M = 4.24, S.D. = 0.28) 2) หนึ่งวันของโบสวย มีคุณภาพอยู่ในระดับดี (M = 4.29, S.D. = 0.08) 3) ทำยังไงดีนะ มีคุณภาพอยู่ในระดับดี (M = 4.24, S.D. = 0.28) 4) ชวนกันเล่น คุณภาพอยู่ในระดับดี (M = 4.29, S.D. = 0.08) 5) รอหน่อยนะ.. มีคุณภาพอยู่ในระดับดี (M = 4.24, S.D. = 0.28) 2. การเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการอ่านเพื่อพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ วิทยาเขตสุพรรณบุรี จำนวน 46 คน พบว่า นักเรียนชายห้อง 1 ก่อนใช้ชุดกิจกรรม มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 10.81 (S.D.=2.17) หลังการใช้ชุดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 11.92 (S.D.=1.87) นักเรียนชายห้อง 2 ก่อนใช้ชุดกิจกรรม มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 12.81 (S.D.=2.47) หลังการใช้ชุดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 13.85 (S.D.=1.21) นักเรียนชายห้อง 3 ก่อนใช้ชุดกิจกรรม มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 7.97 (S.D.=2.04) หลังการใช้ชุดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 14.74 (S.D.=0.42) นักเรียนหญิงห้อง 1 ก่อนใช้ชุดกิจกรรม มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 12.14 (S.D.=1.07) หลังการใช้ชุดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 13.81 (S.D.=0.88) นักเรียนหญิงห้อง 2 ก่อนใช้ชุดกิจกรรม มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 12.84 (S.D.=2.08) หลังการใช้ชุดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 14.60 (S.D.=0.63) นักเรียนหญิงห้อง 3 ก่อนใช้ชุดกิจกรรม มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 14.43 (S.D.=1.05) หลังการใช้ชุดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 14.60 (S.D.=0.63) แสดงว่า หลังจากใช้ชุดกิจกรรมการอ่านเป็นเวลา 5 สัปดาห์ เด็กระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ทั้ง 3 ห้องเรียนมีทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จสูงขึ้นทั้งโดยรวมและรายทักษะItem ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนการสอนออนไลน์ : มหาวิทยาลัยสวนดุสิต(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สุวมาลย์ ม่วงประเสริฐ; ศิโรจน์ ผลพันธิน; สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์; จิร์ยาภรณ์ ศรีบุญรอดการเรียนการสอนออนไลน์เป็นความท้าทายของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นการบูรณาการระบบเทคโนโลยีกับการเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างและสนับสนุนทั้งการสอนของผู้สอนและการเรียนรู้ของผู้เรียน การวิจัยเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนการสอนออนไลน์ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนการสอนออนไลน์ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนการสอนออนไลน์ และ 3) แนวทางการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนการสอนออนไลน์ของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี ทำการวิจัยเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต (กรุงเทพมหานคร) ชั้นปีที่ 1 - ชั้นปีที่ 4 ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2564 จากกลุ่มตัวอย่าง 377 คน ทำการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสนทนากลุ่ม โดยใช้แบบข้อคำถามการสนทนากับนักศึกษา จำนวน 4 กลุ่ม และผู้สอนหรือผู้กำกับดูแลระบบออนไลน์ในการจัดการเรียนการสอน จำนวน 1 กลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ประกอบด้วย การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์สมการโครงสร้างและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ข้อค้นพบจากการวิจัยที่สำคัญมีดังนี้ 1) ความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนออนไลน์ มีดังนี้ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนออนไลน์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x = 3.92, S.D. = 0.669) อันดับแรกคือ กระบวนการ รองลงมาคือ ปัจจัยนำเข้า ประสิทธิภาพการเรียนการสอนออนไลน์ และสุดท้ายคือ ประสิทธิผลการเรียนการสอนออนไลน์ มีรายละเอียดดังนี้ 1.1) ปัจจัยนำเข้า โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x = 3.99, S.D. = 0.618) อันดับแรกคือ สาระของรายวิชา (การประเมินผลการเรียนรู้ในการเรียนออนไลน์ เนื้อหารายวิชา สื่อการเรียนการสอนออนไลน์ กลยุทธ์การสอนออนไลน์ โครงสร้างรายละเอียดของรายวิชา ทั้งหมดอยู่ในระดับมาก) รองลงมาคือ ผู้สอน และบุคลากรสนับสนุน และสุดท้ายคือ เทคโนโลยีการเรียนรู้ออนไลน์ 1.2) กระบวนการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x = 4.01, S.D. = 0.637) อันดับแรกคือ การให้ข้อเสนอแนะ/ความช่วยเหลือกับผู้เรียนออนไลน์ รองลงมาคือ การสนับสนุนแรงจูงใจให้กับผู้เรียนออนไลน์ วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนในการเรียนออนไลน์ วิธีการส่งมอบความรู้ของผู้สอนในการเรียนออนไลน์ และสุดท้ายคือ การเข้าถึงและความสะดวกของเทคโนโลยีการเรียนรู้ออนไลน์ 1.3) ประสิทธิภาพ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x = 3.85, S.D. = 0.847) อันดับแรก คือ นักศึกษาใช้เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความคุ้มค่ากับการลงทุนซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียน รองลงมาคือ อาจารย์ผู้สอนมีกลยุทธ์การสอนที่หลากหลายมีการติดตามการเรียนรู้ การให้คำแนะนำ และการช่วยเหลือนักศึกษาได้อย่างรวดเร็ว และสุดท้าย คือ นักศึกษามีความพึงพอใจกับการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ 1.4) ประสิทธิผล โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x = 3.82, S.D. = 0.787) อันดับแรกคือ การบรรลุจุดมุ่งหมายด้านการเรียนการสอน รองลงมาคือ การเรียนรู้ออนไลน์ และสุดท้ายคือ บรรยากาศการเรียนรู้ออนไลน์ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนการสอนออนไลน์ มีดังนี้ การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) ค่า Kaiser-Meyer-Olkin Measure (KMO) มีค่ามากกว่า 0.50 และเข้าใกล้ 1 ผลการทดสอบ Bartlett's Test of Sphericity มีค่าทางสถิตอย่างมีนัยสำคัญ (Sig.<0.05) ผลการทดสอบ พบว่า ในทุกปัจจัยมีค่า Significant น้อยกว่า 0.05 ดังนั้น ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนการสอนออนไลน์ : มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มีรายละเอียดดังนี้ 2.1) ปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วย เทคโนโลยีการเรียนรู้ออนไลน์ ผู้สอน และบุคลากรสนับสนุน และสาระของรายวิชา ได้แก่ โครงสร้างรายละเอียดของรายวิชา เนื้อหารายวิชาสื่อการเรียนการสอนออนไลน์ กลยุทธ์การสอนออนไลน์ และการประเมินผลการเรียนรู้ในการเรียนออนไลน์ 2.2) ปัจจัยด้านกระบวนการ ประกอบด้วย การเข้าถึงและความสะดวกของเทคโนโลยีการเรียนรู้ออนไลน์ วิธีการส่งมอบความรู้ของผู้สอนในการเรียนออนไลน์ วิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนในการเรียนออนไลน์ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้เรียน ในการเรียนการสอนออนไลน์ การให้ข้อเสนอแนะ/ความช่วยเหลือกับผู้เรียนออนไลน์ และการสนับสนุนแรงจูงใจให้กับผู้เรียนออนไลน์ 2.3) ปัจจัยด้านประสิทธิภาพการเรียนการสอนออนไลน์ ได้แก่ การเรียนการสอนออนไลน์ทำให้นักศึกษาจัดการเวลาเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและวางแผนการทำงานที่ได้รับมอบหมายได้เสร็จตรงเวลาได้ นักศึกษามีความพึงพอใจกับการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ การเรียนการสอนออนไลน์ทำให้อาจารย์ผู้สอนมีกลยุทธ์การสอนที่หลากหลาย มีการติดตามการเรียนรู้ การให้คำแนะนำ และการช่วยเหลือนักศึกษาได้อย่างรวดเร็ว การเรียนการสอนออนไลน์มีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับวิธีการเรียนรู้ในชั้นเรียนแบบเดิม เพราะช่วยลดต้นทุนการเดินทาง ที่พัก และสื่อการเรียนการสอน และนักศึกษาใช้เทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความคุ้มค่ากับการลงทุนซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอนออนไลน์ 2.4) ปัจจัยด้านประสิทธิผลการเรียนการสอนออนไลน์ ได้แก่ การบรรลุจุดมุ่งหมายด้านการเรียนการสอน บรรยากาศการเรียนรู้ออนไลน์ และการเรียนรู้ออนไลน์ 3) แนวทางพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนออนไลน์ มีดังนี้ 3.1) อาจารย์ผู้สอนต้องได้รับการฝึกฝนทักษะการใช้เทคโนโลยีและนำไปใช้ในการสอนให้เต็มศักยภาพ และผู้เรียนต้องได้รับการฝึกฝนทักษะการใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนออนไลน์ 3.2) รายวิชาที่ผู้เรียนเรียนทุกหลักสูตรควรมีเนื้อหาที่ทันสมัย รวมถึงมีการกำหนดเนื้อหาทฤษฎีและเนื้อหาการปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อทำให้นักศึกษาสามารถจัดแนวทางการเรียนรู้และการฝึกฝนของตนเองได้ 3.3) เมื่อผู้เรียนส่งงานที่อาจารย์ผู้สอนมอบหมายแล้ว อาจารย์ผู้สอนควรให้คำแนะนำข้อมูลป้อนกลับอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผู้เรียนปรับแก้ไขได้ทันเวลา 3.4) การส่งเสริมให้ผู้เรียนมีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบในการเรียน และการทำงานที่อาจารย์ผู้สอนมอบหมายและส่งตรงตามกำหนดเวลา 3.5) อาจารย์ผู้สอนควรมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน ใจดี และต้องใจเย็น รักษาอารมณ์ในการสื่อสารกับผู้เรียน และควรใช้คำพูดที่ไม่กระทบความรู้สึกของผู้เรียนItem การพัฒนาความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาไทยเพื่องานบริการโดยใช้สถานการณ์เป็นฐานการเรียนรู้(2022) วรัญญาภรณ์ ศรีสวรรค์นล; รัตนา กลิ่นจุ้ย; ศิริกร โรจนศักดิ์; วสันต์ นิลมัยงานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาไทยเพื่องานบริการโดยใช้สถานการณ์เป็นฐานการเรียนรู้ของนักศึกษาสาขาธุรกิจการบินบชั้นปีที่ 1 โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรตัวอย่างคือ นักศึกษาสาขาธุรกิจการบินชั้นปีที่ 1 จํานวน 6 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาบริบทการจัดการเพื่ออุตสาหกรรมการบริการโดยใช้สถานการณ์เป็นฐานการเรียนรู้ จํานวน จํานวน 1 ชุด 5 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดทักษะการพูดภาษาไทยเพื่องานบริการ คะแนนเต็ม 20 คะแนน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์เป็นฐานการเรียนรู้ จํานวน 1 ชุด ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาความสามารถด้านทักษะการพูดภาษาไทยเพื่องานบริการโดยใช้ สถานการณ์เป็นฐานการเรียนรู้ มีคะแนนไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 80 จํานวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 100 และนักศึกษามีคะแนนประเมินทักษะด้านการพูดภาษาไทยเพื่องานบริการโดยใช้สถานการณ์เป็นฐานการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก และนักศึกษามีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการพัฒนาทักษะการพูดภาษาไทย เพื่องานบริการโดยใช้สถานการณ์เป็นฐานการเรียนรู้ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.94) และพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่ได้รับความพึงพอและมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านกิจกรรมการ เรียนรู้ รองลงมาคือ ด้านคุณลักษณะผู้สอน และด้านการพัฒนาผู้เรียน ตามลําดับ
