Research
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing Research by Author "กนิษฐา ศรีเอนก"
Now showing 1 - 2 of 2
Results Per Page
Sort Options
Item การจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ลัดดา สวนมะลิ; กนิษฐา ศรีเอนกการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้สูงวัย พฤติกรรมการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินของผู้สูงวัย การจัดการการเงินของผู้สูงวัย การจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินของผู้สูงวัย และการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินของผู้สูงวัย (2) เพื่อเปรียบเทียบการจัดการการเงินของผู้สูงวัย การจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินของผู้สูงวัย และการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินของผู้สูงวัย จำแนกตามคุณลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้สูงวัย (3) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน และการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินของผู้สูงวัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดการการเงินของผู้สูงวัย (4) เพื่อศึกษาบทบาทและสถานภาพการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลของชุมชน และ (5) เพื่อนำเสนอรูปแบบการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสานทั้งการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้สูงวัยที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่อาศัยอยู่ในเขตจังหวัด กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร จำนวน 400 ตัวอย่าง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และนำมาวิเคราะห์ ข้อมูลเพื่อหาค่าสถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า F-test และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมี โครงสร้าง โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 30 คน จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลด้วย การจำแนก แยกแยะข้อมูลเป็นหมวดหมู่ หาความหมาย และเชื่อมโยงประเด็นต่าง ๆ โดยนำเสนอ ข้อมูลในรูปแบบรายงานเชิงพรรณนาความ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 60 - 69 ปี การศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี และสถานภาพสมรส ไม่ได้ประกอบอาชีพ (พ่อบ้าน/แม่บ้าน) มีรายได้ 10,000 บาท แหล่ง รายได้หลักจากการทำงานด้วยตนเอง นอกจากนี้ส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเป็นเครื่องมือในการใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน มีความถี่ในใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน 1 - 2 ครั้งต่อเดือน โดยใช้จากที่บ้าน ผ่านช่องทางการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (อินเทอร์เน็ตบ้าน/ เครือข่ายไร้สายในบ้าน (WiFi) และใช้ผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน Mobile Banking (การทำธุรกรรมของธนาคารผ่านสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต) มากที่สุด การจัดการการเงินของผู้สูงวัย พบว่า ด้านรายได้ ผู้สูงวัยส่วนใหญ่สามารถจัดสรรรายได้ให้ใช้ได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ด้านรายจ่าย ส่วนใหญ่ใช้จ่ายอย่างเหมาะสมตามสถานภาพของตน ด้านการออม ผู้สูงวัยส่วนใหญ่มีการเก็บออมเงินอย่างสม่ำเสมอ และด้านการลงทุนส่วนใหญ่ การศึกษาและวางแผนที่จะลงทุนอย่างรอบคอบ นอกจากนี้การจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินของผู้สูงวัย พบว่า ด้านเครือข่าย ส่วนใหญ่ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้อินเทอร์เน็ตของผู้สูงวัยมีความสมเหตุสมผล ด้านข้อมูลและระบบงานหลักส่วนใหญ่ใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินเพื่อการโอนเงิน การยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินของผู้สูงวัย พบว่า ด้านความคาดหวังในประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่ยอมรับว่าการใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินมีความสะดวก ด้านความคาดหวังในความพยายาม ส่วนใหญ่ยอมรับว่าการใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน ช่วยให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ ง่ายขึ้น ด้านอิทธิพลของสังคม ส่วนใหญ่ยอมรับว่าบุคคลใกล้ชิดมีอิทธิพลต่อการใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน ด้านสภาพสิ่งอำนวยความสะดวก ส่วนใหญ่ยอมรับว่าการใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินมีความปลอดภัยเหมาะสม นอกจากนี้ผู้สูงวัยที่มีอายุ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส อาชีพ และแหล่งที่มาของรายได้ต่างกัน มีการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน แตกต่างกันทุกด้าน ยกเว้น ผู้สูงวัยที่มีเพศ และรายได้ต่างกัน มีการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ไม่แตกต่างกัน อีกทั้งผู้สูงวัยที่มีระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส อาชีพ และแหล่งที่มาของรายได้ต่างกัน มี การยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินแตกต่างกันทุกด้าน ยกเว้น ผู้สูงวัยที่มีเพศต่างกัน มีการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน ด้านความคาดหวังในความพยายาม และด้านสภาพสิ่ง อำนวยความสะดวกสบายไม่แตกต่างกัน ผู้สูงวัยที่มีอายุต่างกัน มีการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการเงิน ด้านความคาดหวังในความพยายามไม่แตกต่างกัน และผู้สูงวัยที่มีรายได้ต่างกัน มีการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงิน ด้านอิทธิพลของสังคมไม่แตกต่างกัน สำหรับการวิเคราะห์ ปัจจัยด้านการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินที่มีอิทธิพลต่อการจัดการการเงินของผู้สูงวัย เมื่อ เรียงลำดับตัวแปรตามขนาดอิทธิพลทางบวกต่อการจัดการการเงินของผู้สูงวัยจากมากไปน้อย ประกอบด้วย (1) ด้านข้อมูลและระบบงานหลัก และ (2) ด้านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ตามลำดับ สำหรับปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินของผู้สูงวัยอิทธิพลต่อการจัดการการเงิน ของผู้สูงวัย เมื่อเรียงลำดับตัวแปรตามขนาดอิทธิพลทางบวกต่อการจัดการการเงินของผู้สูงวัยจากมาก ไปน้อย ประกอบด้วย (1) อิทธิพลของสังคม และ (2) ความคาดหวังในประสิทธิภาพ ตามลำดับ นอกจากนี้รูปแบบการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย ประกอบด้วย 4 ปัจจัย ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการด้านการเงินให้ผู้มีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลด้านการเงินอย่างง่าย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จัดการ โครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมด้านปริมาณและคุณภาพสำหรับผู้สูงวัย ด้านการพัฒนาบุคลากร พัฒนาผู้สูงวัยให้มีความรู้ความสามารถในการใช้งานและได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง และด้านการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการเงินให้ผู้สูงวัย ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ได้ ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตให้มีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลและนำมาใช้ได้ถูกต้องเหมาะสมItem ปัจจัยการตัดสินใจในการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักของผู้บริโภคในชุมชนวังหลัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร(มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ปรมัตถ์ปัญปรชญ์ ต้องประสงค์; ชวาลิน เนียมสอน; ลักษณสุภา บัวบางพูล; กนิษฐา ศรีเอนกการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักของผู้บริโภคในชุมชนวังหลัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร (2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารมื้อหลัก จำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้บริโภคในชุมชนวังหลัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร (3) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้ออาหารมื้อหลัก จำแนกตามพฤติกรรมของผู้บริโภคในชุมชนวังหลัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร (4) เพื่อเป็นแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักของผู้บริโภคในชุมชนวังหลัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้นำวิธีการศึกษาแบบเชิงปริมาณมาใช้โดยสุ่มผู้บริโภคที่เลือกซื้ออาหารมื้อหลักในชุมชนวังหลัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ซึ่งใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยตัวอย่าง ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วย One way ANOVA : F–test ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 57.25 โดยส่วนใหญ่มีอายุ 20-30 ปี ร้อยละ 36.25 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 46.00 อาชีพนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 50.50 ส่วนใหญ่มีรายได้ส่วนบุคคลต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท ร้อยละ 48.50 ครอบครัวส่วนใหญ่มีขนาด 2-3 คน ร้อยละ 37.25 พฤติกรรมการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักของผู้บริโภคเคยมาเลือกซื้ออาหารมื้อหลักในชุมชน วังหลัง ร้อยละ 80.00 โดยเฉลี่ยความถี่ในการซื้อ 1-3 ครั้งต่อเดือน ร้อยละ 61.00 ค่าใช้จ่ายในการซื้อแต่ละครั้งมีมูลค่า 1-300 บาทต่อครั้ง ร้อยละ 64.50 ส่วนใหญ่มาเลือกซื้ออาหารในเวลา 12.00-14.00 น. ร้อยละ 42.00 โดยมาเลือกซื้อในวันจันทร์-วันศุกร์ ร้อยละ 54.00 บุคคลที่มีส่วนร่วมเลือกซื้ออาหารมื้อหลัก คือ เพื่อน/เพื่อนร่วมงาน ร้อยละ 51.00 ประเภทของอาหารที่ซื้อมากที่สุด คือ อาหารจานเดียว/ตามสั่ง ร้อยละ 36.50 และเหตุผลของการซื้อ คือ รสชาติอาหาร ร้อยละ 38.25 ปัจจัยการตัดสินใจในการเลือกซื้ออาหารมื้อหลัก ในชุมชนวังหลัง เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ผู้บริโภคให้น้ำหนักปัจจัยการตัดสินใจในการเลือกซื้อ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ผู้บริโภคให้น้ำหนักปัจจัยการตัดสินใจระดับมาก ในด้านผลิตภัณฑ์เป็นอันดับที่ 1 รองลงมาคือ ด้านราคา ด้านสถานที่การจัดจำหน่าย ด้านบุคลากร และให้น้ำหนักปัจจัยการตัดสินใจระดับปานกลางในด้านการส่งเสริมการตลาดเป็นอันดับสุดท้าย ผลการทดสอบสมติฐานเกี่ยวกับลักษณะทางประชากรศาสตร์ พบว่า (1) ผู้บริโภคที่มีระดับการศึกษาต่างกัน ให้น้ำหนักปัจจัยการตัดสินใจในการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักในชุมชนวังหลัง ในด้านสถานที่การจัดจำหน่าย แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (2) ผู้บริโภคที่มีอาชีพต่างกัน และขนาดครอบครัวต่างกันให้น้ำหนักปัจจัยการตัดสินใจในการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักของผู้บริโภคในชุมชนวังหลังในด้านบุคลากรแตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (3) ผู้บริโภคมีรายได้ต่างกันให้น้ำหนักปัจจัยการตัดสินใจในการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักของผู้บริโภคในชุมชนวังหลังแตกต่างกันในด้านผลิตภัณฑ์ และด้านราคา ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการทดสอบสมติฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักพบว่า ผู้บริโภคที่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อต่างกันให้น้ำหนักปัจจัยการตัดสินใจในการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักของผู้บริโภคในชุมชนวังหลังแตกต่างกันในด้านบุคลากรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผู้บริโภคที่มีเหตุผลของการซื้อต่างกันให้น้ำหนักปัจจัยการตัดสินใจในการเลือกซื้ออาหารมื้อหลักของผู้บริโภคในชุมชนวังหลังแตกต่างกันในด้านผลิตภัณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะการนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ ในด้านการวางแผนการพัฒนาร้านค้า และพัฒนาร้านค้า ดังนี้ ด้านผลิตภัณฑ์ควรให้ความสำคัญด้านความหลากหลายของอาหาร และการมีรายการอาหารครบตามที่ระบุไว้ในเมนูและรสชาติความอร่อยของอาหารให้มากขึ้น ด้านราคาควรให้ความสำคัญกับการคิดราคาค่าอาหารให้ถูกต้องให้มากขึ้น ด้านสถานที่การจัดจำหน่ายควรให้ความสำคัญด้านความหลากหลายของร้านอาหาร ให้มากขึ้น ด้านบุคลากรควรให้ความสำคัญด้านการแต่งกายของพนักงานต้องสะอาดและเหมาะสมให้มากยิ่งขึ้น ด้านการส่งเสริมการตลาด ควรให้ความสำคัญด้านการจัดการส่งเสริมการขายและส่วนลดในโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด วันรับปริญญาให้มากขึ้น