FON-Article
Permanent URI for this collection
Browse
Browsing FON-Article by Issue Date
Now showing 1 - 20 of 33
Results Per Page
Sort Options
Item Health Behaviors and Patients with Coronary Artery Disease (CAD) : Role of Self-efficacy(Journal of Food Health and Bioenvironmental Science, 2021) Chayanis Chobarunsitti; Sattha PrakobchaiCardiac disease is a major risk of mortality and morbidity globally. Patients with coronary artery diseases are more likely to die than other chronic diseases in poor health behavior either pre or post-treatment. Even though cardiac patients tried to seek the ways to promote their health, they might face with the difficulties to change the behavior. Numerous studies showed that self-efficacy plays a crucial role as a buffer to perform activity as reflect personal beliefs and confidence. We synthesize the evidences on self-efficacy and health behavior regarding smoking behavior, alcohol consumption, eating behavior, physical activity or exercise behavior and stress management.We found that most of the researchers successfully applied self-efficacy to promote physical activity or exercise among patients with coronary artery disease in short term period.Nurses should assess functional status and provide health education to promote well-being and encourage patients to perform and maintain their capability on health-promoting behaviors.Item ทางเลือกใหม่ในการวางแผนการส่งเสริมสุขภาพในชุมชน: โมเดล MATCH New Options for Health Promotion Planning in the Community: MATCH Model(Journal of Health and Nursing Research, 2021) ดวงเนตร ธรรมกุลบทนำ : แบบจำลองการวางแผนการส่งเสริมสุขภาพเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่ได้รับการออกแบบไว้อย่างมีระบบและ สร้างสรรค์ ภายใต้แนวคิดทฤษฎีทางพฤติกรรมศาสตร์และหลักฐานเชิงประจักษ์ของข้อมูล เพื่อการนำไปใช้ให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด วัตถุประสงค์: เพื่อนำเสนอแนวคิดและการประยุกต์ใช้โมเดล MATCH ในการวางแผนการส่งเสริมสุขภาพในชุมชน ประเด็นสำคัญ: การวางแผนการส่งเสริมสุขภาพในชุมชนตามโมเดล MATCH เป็นหลักการวางแผนและออกแบบ โปรแกรม ตามหลักนิเวศวิทยาในการส่งเสริมสุขภาพโดยพิจารณาปัจจัยที่เป็นสาเหตุของพฤติกรรมทุกระดับ ประกอบด้วยระดับบุคคล ระดับระหว่างบุคคล ระดับองค์กร ระดับชุมชน และระดับสังคม โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการ 5 ระยะดังนี้ 1) ระยะเลือกเป้าหมายพฤติกรรมและภาวะสุขภาพ 2) ระยะการวางแผนโปรแกรมการพัฒนา 3) ระยะการพัฒนาโปรแกรม 4) ระยะการวางแผนนำโปรแกรมการพัฒนาไปใช้ และ 5) ระยะประเมินผล เมื่อดำเนินการทั้ง 5 ระยะ ผลที่ได้คือแม่แบบที่พร้อมใช้ในการส่งเสริมสุขภาพตามพฤติกรรมที่ค้นพบ กลุ่มเป้าหมาย และบริบทที่แตกต่างกัน สรุป: โมเดล MATCH เป็นแบบจำลองในการวางแผนและออกแบบโปรแกรมทางส่งเสริมสุขภาพที่สามารถนำไปใช้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายใต้ปัญหา กลุ่มเป้าหมาย และบริบท เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์จากโปรแกรมนั้นมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์และนำมาสู่การมีสุขภาพที่ดีต่อไป ข้อเสนอแนะ: แนวทางที่นำเสนอสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดภายใต้กระบวนการวิจัยหรือนำไปประยุกต์ใช้ในชุมชนที่มีบริบทและปัญหาสุขภาพเช่นกันItem ผลของการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในนักศึกษาพยาบาลศาสตร์: วิชาการรักษาโรคเบื ้องต้น Effects of Problem-Based Teaching Model through Electronic Media in Nursing Students: Primary Medical Care Course(Journal of Health and Nursing Research, 2022) อรนุช ชูศรี; ศรีสุดา วงศ์วิเศษกุล; ณัฐรพี ใจงามบทนำ : การเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และได้พัฒนาการคิดเชิงวิเคราะห์ วัตถุประสงค์การวิจัย: เพื่อศึกษาผลของการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีที่มีผลต่อ ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์และความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในรายวิชาการรักษาโรคเบื้องต้นของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ระเบียบวิธีวิจัย: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งเชิงทดลอง โดยใช้รูปแบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest Posttest Design) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการรักษาโรคเบื้องต้น ปีการศึกษา 2563 จำนวน 85 คน เรียนออบไลน์เป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์และแบสอบถามความคิดเห็นของนักศึกษาเกี่ยวกับการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบแพร์ที่ (Paired t-test) ผลการวิจัย: 1. ภายหลังการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์มีคะแนนเฉลี่ยของความสามารถด้าน การคิดวิเคราะห์สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการสอนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ.05 (t = -20.01,p = 00) 2. นักษามีความคิดเห็นต่อกิจกรรมการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์จากสถานการณ์ที่กำหนดให้กระตุ้นให้นักศึกศึกษาใช้ความรู้เดิมหรือที่เคยเรียนมาในระดับมาก (mean = 4.69, SD = 0.59) สรุปผลการวิจัย: ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐานผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ สามารถเพิ่มความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ในนักศึกษาพยาบาลได้ ข้อเสนอแนะ: การจัดการเรียนรู้สำหรับการสอนโดยโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาการเรียนรู้การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตItem ผลของการบูรณาการจริยธรรมในรายวิชาปฏบติการพยาบาลต่อความสามารถ ในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม และพฤติกรรมจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาลชั้นปที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดสิต The Effects of Ethical Integration in Nursing Practice Courses on Ethical Decision Making Ability and Ethical Behavior in 3th year Nursing Students, Faculty of Nursing Suan Dusit University(บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) อริยา ดีประเสริฐ; อันธิฌา สายบุญศรการวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อน และหลังการทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการบูรณาการจริยธรรมในรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลต่อความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม และพฤติกรรมจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดสิต ระยะเวลาที่ศึกษาวจัย 8 สัปดาห์ ประชากร คือ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดสิต จำนวน 48 คน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล ชั้นปที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จำนวน 48 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากการลงทะเบียนเรียนรายวิชา ปฏิบัติการมารดา ทารก และผดุงครรภ์ 2 และรายวิชาปฏบติการพยาบาลอนามัยชุมชน ปีการศึกษา 2562 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการบูรณาการจริยธรรมเป็นการฝึกวิเคราะห์สถานการณ์ที่มีประเด็นความขัดแย้งทางจริยธรรม 6 ครั้ง แบบประเมินความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาลเป็น Rating Scale 4 ระดับ และแบบประเมินพฤติกรรมจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาลต่อผู้ป่วย ดัดแปลงมาจากแบบสอบถามพฤติกรรมจริยธรรมของ Muengprasert, 2010) เป็น Rating Scale 5 ระดับ มี 6 ด้าน จำนวน 34 ข้อ เครื่องมือวจัยไดผ่านผู้ทรงคุณวฒิ 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาทั้ง 3 เครื่องมือ ได้ค่า IOC=1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Paired Sample T-test ผลการศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม และค่าเฉลี่ยของคะแนนพฤติกรรมจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาลหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = -21.59, p.00 และ t = -4.42, p.00) การบูรณาการจริยธรรมในรายวิชาปฏบติการพยาบาลมีผลต่อความสามารถในการตัดสินใจเชิงจริยธรรม และพฤติกรรมจริยธรรมของนักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดสิตItem Health Literacy among Caregiver and Older Adults with Chronic Kidney Disease(วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ Journal of Health Sciences Scholarship, 2022) Rungnapa PongkiatchaiIn older adults, communicable diseases continued to account for an increasing proportion of mortality. Literature revealed that the majority of older adults possessed a low degree of health literacy, which was connected with ineffective management of health behaviours and these negative consequences. The purpose of this paper is to comprehend the significance of health literacy and clinical practice among elderly patients with chronic renal disease and their caregivers. Chronic kidney disease, health literacy, the significance of health literacy and self-management in chronic kidney disease and their caregivers, use in clinical practice, and a discussion of the outcomes of past studies are discussed. In conclusion, the significance of health literacy is resulting in improved health outcomes.Item ความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง Health Literacy of Chronic Kidney Disease Patients(วารสารวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธ, 2022) เพชรรัตน์ เจิมรอดการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ และเปรียบเทียบเทียบเทียบความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง จำแนกตามเพศ อายุ การศึกษา รายได้ และภูมิลำเนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 3b-ระยะ 4 จำนวน 1,200 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน และนำไปทดลองใช้ มีค่าความเชื่อมั่น 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และ One-way ANOVA ผลการศึกษา พบว่า 1) ความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาความรอบรู้ด้านสุขภาพรายด้าน พบว่า ด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพด้านการเข้าถึงข้อมูล ด้านการสื่อสารข้อมูล ด้านกรศัตสินใจ และห้านการจัดการผนเสง อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านการรู้เท่าทันสื่ออยู่ในระดับต่ำ 2) การเปรียบเทียบความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง พบว่า อายุ การศึกษา รายได้ และภูมิลำเนาที่ต่างกัน จะมีความรอบรู้ด้านสุขภาพแตกต่างกันItem ประสิทธิผลการเพิ่มศักยภาพของผู้ดูแลในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพิง The Effectiveness of Enhancing the Potential of Caregivers in Managing Health Care for the Dependent Older Adults(Journal of Health and Nursing Research, 2022) ดวงเนตร ธรรมกุล; เรณู ขวัญยืน; อรนุช ชูศร; ณัฐรพี ใจงามบทนำ: การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุทำให้ผู้ดูแลผู้สูงอายุเกิดภาระส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต การอบรมจะช่วย เพิ่มศักยภาพในการจัดการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุตามบริบททำให้การดูแลเกิดประสิทธิภาพที่ดีขึ้น และสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและชุมชน วัตถุประสงค์การวิจัย: เพิ่มศักยภาพของผู้ดูแลในการจัดการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพึ่งพิง และพัฒนาหลักสูตรอบรมสำหรับผู้ดูแล ระเบียบวิธีวิจัย: เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ในกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและผู้ดูแลผู้สูงอายุ ต.บ้านลอง ตอง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรีเดือน ม.ค-ค-ส.ค 2565 จำนวน 60 คน เครื่องมือ ได้แก่ หลักสูตรการอบรมผัดแล แบบทดสอบความรู้ และแบบประเมินหลักสูตร ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน ค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 1.00, 67-1.00 และ .67-1.00 ค่าความเที่ยงของแบบทดสอบความรู้ และแบบประเมินหลักสูตร ได้..69 และ .98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและ paired t-test ผลการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างเป็น อสม.ร้อยละ 89.30 เพศหญิง ร้อยละ 88.50 และผู้สูงอายุ (อายุ 60-69 ปี) ร้อยละ 44.20 ผลการเปรียบเทียบระดับความรู้กลุ่มตัวอย่าง พบว่า คะแนนเฉลี่ยความรู้ก่อนและหลังแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05, t = 6.64) และผลประเมินหลักสูตรโดยรวม พบว่า อยู่ในระดับดี (M = 4.18, SD. = .72) การประเมินรายต้านของหลักสูตรฯ พบว่า ด้านบริบท ด้านปัจจัยเบื้องต้น ด้านกระบวนการ และด้านความเหมาะสม อยู่ในระดับดี (M = 4.06, 4.17, 4.19, 4.11, SD. = = 63,52, 57, และ .56 ตามลำดับ) ด้านผลผลิตอยู่ในระดับดีมาก (M = 4.20, SD. = 54) ดังนั้นการเพิ่มศักยภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพึ่งด้วยหลักสูตรฯนี้สามารถนำไปใช้ได้ สรุปผล: การเพิ่มศักยภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงด้านความรู้ จากการพัฒนาหลักสูตรอบรมฯ สามารถ นำไปใช้ประโยชน์ได้ ข้อเสนอแนะ: บุคลากรทางการพยาบาลควรจัดอบรมเพิ่มศักยภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุด้วยหลักสูตรอบรมฯนี้ทุกปีItem Pilot testing of the strengthening caregiving activities program for Thai informal caregivers of dependent older people(Geriatric Nursing, 2022) Panawat Sanprakhon; Orranuch ChusriThis study sought to evaluate the feasibility and preliminary effect of the Strengthening Caregiving Activities Program on care partners' caregiver burden and activities of daily living (ADLs) ability. The program was used for the informal caregivers of dependent older people; 29 participants were recruited from a community center in Thailand. Caregiver burden and ADL changes were assessed for preliminary effects using the one-way repeated measure ANOVA at baseline, post-intervention, and follow-up. The six program sessions were implemented as intended, with 93.10% of participants reporting satisfaction with the program (M = 26.653; SD = 3.380). Caregiver burden statistically decreased after the intervention and follow-up (p < .05), but the care partners' ADLs did not. This program was feasible and showed promise for the reduction of caregiver burden. A randomized controlled trial should be conducted to test the effect of the Strengthening Caregiving Activities Program on large samples of caregivers.Item การประเมินความต้องการจำเป็นในการอบรมหลักสูตรผู้ดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงของผู้ดูแล Needs Assessment in Training Courses for Caregivers on Dependent Elderly Care(Princess of Naradhiwas University Journal, 2022) ดวงเนตร ธรรมกุล; เรณู ขวัญยืน; อรนุช ชูศร; ณัฐรพี ใจงามงานวิจัยเพื่อศึกษาและจัดลำดับความต้องการจำเป็นอบรมหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง กลุ่มตัวอย่างได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในตำบลบ้านลองตอง อำเภอสอสองที่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างเดือน เมษายน ถึง พฤษภาคม 2565 จำนวน 66 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความต้องการจำเป็นในการอบรมฯ ผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 0.67-1.00 ตรวจสอบความเที่ยงด้วยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบราค ได้เท่ากับ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิธีคำนวณหาดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (Prionity Needs Index: PNI ......) ผลวิจัยพบว่า ระดับความต้องการจำเป็นอบรมหลักสูตรฯตามสภาพจริงมีระดับปานกลาง(M-3.55, S.D.=0.50) ระดับความต้องการจำเป็นในการอบรมหลักสูตรฯตามสภาพที่คาดหวังมีระดับ มากที่สุด (M=4.71, S.D.-0.45) ผลการจัดลำดับความต้องการจำเป็นฯ พบว่า ความต้องการจำเป็นในการอบรมสูงสุดถึงต่ำสุด ได้แก่ 1) การดูแลเพื่อคลายความเครียด 2) การใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สำหรับตนเองและดูแลผู้สูงอายุ 3) การส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ: อาหารและโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ 4) สิทธิผู้สูงอายุตามรัฐธรรมนูญ/กฎหมายแรงงานที่ควรรู้ 5) ความจำเป็นของการดูแลผู้สูงอายุ: โรคเรื้อรัง ติดเตียง 6) การช่วยเหลือผู้สูงอายุเบื้องต้น 7) การใช้ยาในวัยสูงอายุ 8) ภาวะวิกฤติกับการปฐมพยาบาล 9) การดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้เนื่องจากชราภาพหรือมีปัญหาระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินหายใจ ระบบขับถ่าย ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ และ 10) บทบาทและจริยธธรรมของผู้ดูแลผู้สูงอายุ (PNI .... -0.348, 0.346, 0.342, 0.336, 0.331, 0.329, 0.326, 0.315, 0.300, และ 0.29) ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการ และเกิดประ โยชน์ต่อการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้Item การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อการเรียนผ่านระบบออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร(วชิรสารการพยาบาล, 2022) ธีระชล สาตสินโรคอุบัติใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้ทำให้สถาบันการศึกษาจำเป็นต้องมีการออกแบบและจัดทำการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ สถาบันการศึกษาด้านพยาบาลศาสตร์ก็มีความจำเป็นต้องมีการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์เช่นเดียวกัน ซึ่งการออกแบบการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จนั้น การทราบถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อการเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้กลายเป็นข้อมูลสำคัญจะช่วยให้การจัดการเรียนการสอนนั้นประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียน ดังนั้น การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือเพื่อสังเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อการเรียนผ่านระบบออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ผ่านการใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ตามกรอบการสืบค้นตามกรอบแนวคิด PICO ที่ประกอบไปด้วย ประชากรที่สนใจศึกษา (P) สิ่งแทรกแซง (I) สาเหตุหรือปัจจัย (C) ผลลัพธ์ (O) ผลการทบทวนวรณกรรม พบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องข้องต่อการเรียนผ่านระบบออนไลน์ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ประกอบไปด้วยปัจจัยด้านตัวผู้เรียน คือความแตกต่างระหว่างเพศ ช่วงอายุ ประสบการณ์การเข้าถึงและใช้งานเทคโนโลยี ทัศนคติและพฤติกรรม การเรียน และปัจจัยภายนอกที่ส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้ ได้แก่ ความไว้วางใจต่อผู้สอน สื่อการสอนออนไลน์ และสภาพแวดล้อมItem ผลการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกม เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการสร้างเสริม สุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวชของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต The Effectiveness of Game Based Learning for Enhancing Academic Achievement in Mental Health Promotion and Psychiatric Nursing Studies Among the Third-Year Nursing Students at Faculty of Nursing, Suan Dusit University.(2022) อันธิฌา สายบุญศรีการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Design) ชนิด 2 กลุ่มวัดก่อน และหลังการทดลอง (The Two Group Pretest-posttest Design) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการเรียนการสอน โดยใช้เกมในหน่วยการเรียนเรื่องการพยาบาลผู้ป่วยจิตเวชเด็ก และวัยรุ่นของนักศึกษาพยาบาลกลุ่มทดลอง 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน และหลังการเรียนการสอน โดยใช้การสอนแบบปกติในหน่วยการเรียนเรื่องการพยาบาลผู้ป่วยจิตเวชเด็ก และวัยรุ่นของนักศึกษาพยาบาลกลุ่มควบคุม 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมในหน่วยการเรียนเรื่องการพยาบาลผู้ป่วยจิตเวชเด็ก และวัยรุ่น กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพจิต และการพยาบาลจิตเวช ปีการศึกษา 2564 จำนวน 87 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง 44 คน และกลุ่มควบคุม 43 คน ซึ่งกลุ่มทดลองจะได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกม และกลุ่มควบคุมจะได้รับการเรียนการสอนแบบปกติ (Active Learning) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกม และแบบประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test Dependent และ Independent t-test ผลการศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการพยาบาลผู้ป่วยจิตเวชเด็ก และวัยรุ่นของนักศึกษาพยาบาล กลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกม กลุ่มควบคุมได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ กลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้เกม สูงกว่านักศึกษาพยาบาลกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01Item ประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง ในรายวิชาปฏิบัติการรักษาโรคเบื้องต้นในนักศึกษาพยาบาล Effectiveness of fidelity simulation based learning in primary medical care practicum course among nursing students(วารสารพยาบาล Thai Journal of Nursing, 2022) มานิดา เดชากุลการวิจัยประเมินผลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือน จริงในรายวิชาปฏิบัติการรักษาโรคเบื้องต้นในนักศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล ในสถาบันการ พยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย จำนวน 203 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) แบประเมินคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 2) แบบวัดความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรคเบื้องต้น และ 3) แบบสอบถามความคิดเห็นต่อประสบการณ์การเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบที่ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า เมื่อสิ้นสุดการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จ้าลองเสมือนจริง นักศึกษาพยาบาลมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับสูง (M = 3.86, SD = 0.20) มีความคิดเห็นต่อประสบการณ์การเรียนรู้ ว่าเป็นประสบการณ์ด้านบวก อีกทั้งมีความต้องการฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริง และมีความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรคเบื้องต้นสูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ( t = -19.56)Item ผลของโปรแกรมกลุ่มบำบัดตามแนวคิดการปรับความคิดและพฤติกรรม ร่วมกับการฝึกสมาธิบำบัดต่อความเครียดในนักศึกศึกษาพยาบาลขั้นปีที่ 3 ที่เรียนวิชาการสร้างเสริมสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต The Effects of Group Cognitive Behavioral Therapy Program combined with Meditation on Stress among the Third Year Nursing Students Studying in Mental Health Promotion and Psychiatric Nursing Subject (Course) at Faculty of Nursing, Suan Dusit University(Journal of Health and Nursing Research, 2022) อันธิฌา สายบุญศรีบทนำ: การจัดการความเครียดที่เหมาะสมของนักศึกษาพยาบาลจะช่วยส่งเสริมให้นักศึกษาพยาบาลมีสุขภาพจิตที่ดี สามารถปรับตัวกับการเรียนรู้และการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมกลุ่มบำบัดตามแนวคิดการปรับความคิดและพฤติกรรมร่วมกับการฝึกสมาธิบำบัดต่อความเครียดในนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ชนิดกลุ่มเดียววัดก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 42 คน ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการสร้างเสริมสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีสมอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ 1) โปรแกรมกลุ่มบำบัดตามแนวคิดการปรับความคิดและพฤติกรรมร่วมกับกับการฝึกสมาธิบำบัด 6 สัปดาห์ 2) แบบประเมินควานความเครียดของโรงพยาบาลสวนปรุง (SPST-20) เก็บรวบรวมข้อมูล 20 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนความเครียดของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สถิถิติpaired sample t-test ผลการวิจัย: คะแนนความเครียดของกลุ่มตัวอย่างที่เข้ารับโปรแกรมการปรับความคิดและพฤติกรรมร่วมร่วมกับการฝึกสมาธิบำบัด ก่อนเข้ารับโปรแกรมฯ มีค่าเฉลี่ย 57.06-13.36 หลังสิ้นสุดโปรแกรมฯทันที มีค่าเฉลี่ย 53.4412.80 และหลังสิ้นสุดโปรแกรมฯ เดือนที่ 3 มีค่าเฉลี่ย 40.60+11.45 เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนความเครียดของกลุ่มตัวอย่างทางสถิติ พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนความเครียดหลังเข้ารับโปรแกรมฯ เดือนที่ 3 ต่ำกว่าก่อนเข้ารับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .05) สรุปผล: โปรแกรมการปรับความคิดและพฤติกรรมร่วมกับการฝึกสมาธิบำบัด ช่วยลดความเครียดของนักศึกษา พยาบาลชั้นปีที่ 3 ที่เรียนวิชาการสร้างเสริมสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวรได้ข้อเสนอแนะ: โปรแกรมการปรับความคิดและพฤติกรรมร่วมกับการฝึกสมาธิบำบัด เป็นวิธีหนึ่งที่เหมาะสมในการจัดการความเครียดของนักศึกษาพยาบาล และสามารถนำไปปรับใช้ในรายวิชาอื่น ๆ ได้Item An Integrative Stress Reduction Program for Family Caregivers of Persons With Advanced Dementia: A Pilot Study(Journal of Gerontological Nursing, 2022) Panawat SanprakhonThe current study sought to pilot test and examine the effects of an integrative stress reduction program (ISRP) on caregiver stress and sleep quality and behav-ioral and psychological symptoms of dementia (BPSD) of care recipients. Family caregivers (N = 12) of persons with moderate to severe dementia were recruited from memory clinics in Thailand. Twelve caregivers participated in five educational sessions on dementia care, stress, and BPSD management over 4 weeks. The Rela-tive Stress Scale and Pittsburgh Sleep Quality Index were used to measure care-giver outcomes. The Neuropsychiatric Inventory was used to measure BPSD of care recipients. Outcome variables were collected at baseline, postintervention, and follow up. Data were analyzed using one-way repeated measures analysis of vari-ance. Participants reported statistically decreased stress, improved sleep quality, and decreased BPSD among care recipients postintervention and at follow up (all p < 0.001). The ISRP was feasible and shows promise in reducing stress and improv-ing sleep quality in caregivers and lessening BPSD in care recipients.Item ประสบการณ์ความจำบกพร่องในผู้สูงอายุ(วารสารสภาการพยาบาล, 2023) วิวินท์ ปุรณะปัญหาความจำบกพร่องเป็นหนึ่งในปัญหาของผู้สูงอายุที่อาจเป็นได้ทั้งความเสื่อมตามวัยปกติและจากการมีภาวะสมองเสื่อมก่อนเวลาเนื่องจากเมื่อมีอายุมากขึ้นร่างกายจะมีความเสื่อมถอยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากพยาธิสภาพที่มีการตายของเซลล์ประสาทในสมองหลายบริเวณส่งผลให้ผู้สูงอายุเกิดการถดถอยของความจำ ขาดความมั่นใจในตนเองเกิดความเครียดความกลัว ต้องพึ่งพาผู้อื่นและนำไปสู่การขาดแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตประจำวันและขาดสังคมของผู้สูงอายุ วัดอุประสงค์การวิชัย เพื่อศึกษาประสบการณ์ความจำบกพร่องในชีวิตประวัของผู้สูงอายุ การออกแบบการวิจัย การวิจัยเชิงคุณภาพแบบพรรณนา วิธีดำเนินการวิจัย ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งหนึ่งของจังหวัดทางภาคกลาง เลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 15 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกตามเวลาที่ผู้ให้ข้อมูลสะดวกเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือน พฤษภาคม-ตุลาคม พ.ศ.2566 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาตามแนวคิดของ Sandelowskd มีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล การยืนยันความถูกต้องของข้อมูลและการนำผลการวิจัยไปใช้สิ่ง ผลการวิจัย ประสบการณ์ความจำบกพร่องในชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุสรุปได้เป็น 3 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1) อาการหลงลืม ประกอบด้วย การรับรู้ว่ามีอาการหลงลืม กิจวัตรประจำวันที่หลงลืม อาการหลงลืมที่เกิดภายนอกบ้าน 2) อารมณ์เปลี่ยนแปลง ได้แก่ ผลของการหลงลืม ประกอบด้วย อารมณ์หงุดหงิดความกังวลและกลัว และ 3) การจัดการเมื่อหลงลืม ประกอบด้วย การเริ่มต้นใหม่ การช่วยเหลือโดยญาติการกำหนดจุดวางของให้ชัดเจน การทำกิจกรรม ข้อเสนอแนะ ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า อาการหลงลืม อารมณ์เปลี่ยนแปลง และการจัดการมื่อหลงลืมเป็นประสบการณ์สำคัญของผู้สูงอายุ ทีมสุขภาพสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวางครอบครัวของผู้สูงอายุเพื่อการคัดกรอง ติดตามและจัดกิจกรรมกระตุ้นความจำเพื่อชะลอภาวะสมองเสื่อมของผู้สูงอายุItem Instructional Design: Under the Concept of Game Based Learning for Nursing Education(Joumal of Food Health and Bioenvironmental Science, 2023) Sunida Choosang; Rungnapa Pongkiatchai; Niratchada Chai-ngamGame-based learning (GBL) is a method that motivates students to learn content in a fun way. Learners are motivated by challenge, fantasy, and curiosity in games. GBL provides learners with the opportunity to test the game and empower them to make decisions. The course content can be inserted into the minds of the learners through the game to help them develop and achieve higher learning outcomes. article presents information about game-based learning management. The concept of game-based learning and a review of the design elements of educational games are discussed. We then review the game development process and the implement of games in the classroom as well as assessing outcomes. Lastly, GBL trend for nursing education is discussed.Item Integrative Stress Reduction Program for Family Caregivers of Persons With Advanced Dementia: A Randomized Controlled Trial(Western Journal of Nursing Research, 2023) Panawat SanprakhonBackground: Older adults with advanced dementia require significant care, leading to high stress levels in caregivers. Objectives: The current study aimed to evaluate the effects of an Integrative Stress Reduction Program on Thai caregiver's outcomes of stress, sleep quality, and caregiver-assessed neuropsychiatric symptoms of persons with dementia. Methods: A single-blind randomized-controlled trial was conducted. A sample of family caregivers of people with dementia was recruited from memory clinics at outpatient community health centers in Thailand and randomly assigned to the experimental and control groups. Participants in the experimental group were enrolled in 5 intervention sessions over 4 weeks, while the control group received usual care. Outcome variables were collected at baseline, 4 weeks postintervention, and 8 weeks of follow-up. Results: Compared with the control group, caregivers in the experimental group (n 27) had significantly decreased stress (p < .01) and better sleep quality (p < .01), and caregivers reported that their family members with dementia (n 27) had decreased neuropsychiatric symptoms (p < .01) after the intervention (week 4) and at the 8-week follow-up. Conclusions: The Integrative Stress Reduction Program improved outcomes for caregivers and decreased neuropsychiatric symptoms in people with dementia.Item การใช้ห้องเรียนกลับด้านพัฒนาผลการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน: บทบาทของผู้เรียนและผู้สอน(2023) ดวงเนตร ธรรมกุล; พิมพ์ขวัญ แก้วเกลื่อน; ลัดดาวัลย์ เตชางกูรการเรียนการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านเป็นแนวทางการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้อันพึง ประสงค์ ด้วยหลักการ 3 ขั้นตอนได้แก่ 1) พิจารณาเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อใช้การเรียนรู้ผ่านอุปกรณ์สื่อสาร 2) ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการสื่อสาร เพื่อตอบข้อสงสัย ตั้งคำถาม หรือแจ้งให้ผู้เรียนสืบค้นค้นเรื่องที่ต้องการ และ 3) ใช้เวลาในห้องเรียน ส่งเสริมความเข้าใจผ่านกิจกรรม การอภิปราย วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ และอธิบายสาระสำคัญเพิ่มเติม ผู้สอนใช้องค์ประกอบ 4 ด้านหมุนเวียนเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง คือ 1) การกำหนดยุทธวิธีเพิ่มพูมพูนประสบการณ์ครูผู้สอนเป็นผู้ชี้แนะวิธีการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนผ่านเกม สถานการณ์จำลอง สื่อปฏิสัมพันธ์ การทดลอง หรือการวิจัย 2) การสืบค้นเพื่อให้เกิดมโนทัศน์รวบยอด ครูสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ทันสมัยและน่าเชื่อถือ 3) การสร้างองค์ความรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนเป็นผู้บูรณาการสร้างทักษะองค์ความรู้จากสื่อที่ได้รับจากการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านการสะท้อนคิดและการชี้แนะ และ 4) การสาธิตและประยุกต์ใช้ ผู้สอนสามารถสร้างสรรค์และส่งเสริมการเรียนรู้โดยใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีตอบสนองกับผู้เรียนได้มากยิ่งขึ้น ประกอบกับการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 การเรียนรู้ห้องเรียนกลับด้านจะช่วยลดการเรียนในห้องเรียน ช่วยให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคมลดการรวมกลุ่ม และเพิ่มการพูดคุยกันผ่านทางสื่อออนไลน์มากขึ้น ช่วยพัฒนาทักษะและทัศนคติการเรียนรู้ด้วยตนเองเกิดความพึงพอใจในการเรียน และพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้และสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้Item ผลการเรียนรู้ทางออนไลน์ต่อความรู้และการปฏิบัติในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ(วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ Journal of Nursing Science & Health, 2023)การวิจัยแบบก่อนทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ต่อความรู้และการปฏิบัติได้ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่นัดผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจเป็นครั้งแรก จำนวน 49 ราย ได้รับสื่อวีดีทัศน์เพื่อเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านทางออนไลน์ที่มีข้อมูลเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้และการปฏิบัติตัวในระยะก่อนผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพหลังผ่าตัดขณะพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความรู้ก่อนและหลังการเรียนรู้ด้วยตนเองทางออนไลน์ภายใน 2 สัปดาห์ แบบประเมินการปฏิบัติได้ในระยะ 5 วันหลังผ่าตัดตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัยจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .74 และ .93 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ก่อนและหลังการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ และคะแนนการปฏิบัติตัวได้ด้วยสถิติ paired t-test ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยด้านความรู้หลังการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านสื่อออนไลน์มากกว่าก่อนการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนการเรียนรู้ คือ 69.47±8.77 คะแนนเฉลี่ยหลังการเรียนรู้ คือ 88.56±3.73 และคะแนนเฉลี่ยโดยรวมของการปฏิบัติได้ในระยะหลังผ่าตัด 5 วัน ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด คือ 80.49±17.85 ผลลัพธ์จากการศึกษาในครั้งนี้เป็นไปตามสมมุติฐานงานวิจัยItem การพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาล โดยการใช้ห้องเรียนกลับด้านในวิชาศักยภาพ การนำและการบริหารจัดการทางคลินิก Improving of Learning Outcomes for Nursing Students by Using Flipped Classrooms in Leadership and Clinical Nursing Management Subject(2023) ลัดดาวัลย์ เตชางกูร; ชญานิศ ชอบอรุณสิทธิการศึกษาวิจัยพัฒนาการเรียนรู้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบห้องเรียนกลับ ด้าน (fipped class room) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาศักยภาพการนำและการบริหารจัดการทางคลินิคลินิกก่อนและหลังการเรียนรู้ เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้ห้องเรียนกลับด้านการศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง (Quasi Experimental. Research) โดยมีประชากรคือนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จำนวน 118 คน ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาศักยภาพการนำและการบริหารจัดการทางคลินิก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 และยินยอมและยินดีเข้าร่วมการศึกษาวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านรายวิชาศักยภาพการนำและการบริหารจัดการทางคลินิก และแบบทดสอบเพื่อวัดความรู้และประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน ผลการจัยพบว่า ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 118 คน เป็นนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2564 เพศชาย 11 คน คิดเป็นร้อยละ 9.32 เพศหญิง จำนวน 107 คน คิดเป็นร้อยละ 90.68 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของรายวิชาศักยภาพการนำและการบริหารจัดการทางคลินิก ก่อนและหลังการใช้ห้องเรียนกลับด้าน มีคะแนนเฉลี่ย = 29.21 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 3.22 และหลังใช้ห้องเรียนกลับด้าน พบว่า มีคะแนนเฉลี่ย = 32.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 3.27 นักศึกษาหลังการใช้ห้องเรียนกลับด้านมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนการใช้ ห้องเรียนกลับด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 (p<.01) สำหรับผลการเรียนรู้ของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้ห้องเรียนกลับด้าน ในรายวิชาศักยภาพการนำและการบริหารจัดการทารทางคลินิก พบว่า ผลการเรียนรู้รวมทุกด้านก่อนการใช้ห้องเรียนกลับด้าน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 82.75 (SD-8.92) และผลการเรียนรู้รวมทุกด้าน หลังการใช้ห้องเรียนกลับด้าน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 100.53 (SD-8.21) เมื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ก่อนและหลังการใช้ห้องเรียนกลับด้าน พบว่า นักศึกษาหลังการใช้ห้องเรียนกลับด้านมีผลการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำทัญทางสถิติที่ .01 (p<.01)