SDU Dissertaions Thesis and Research
Permanent URI for this community
Browse
Browsing SDU Dissertaions Thesis and Research by Title
Now showing 1 - 20 of 1726
Results Per Page
Sort Options
Item A Comparative Study of Chinese Tourists' Attitude and Behavior towards Siam Paragon and Central World(มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 2015) Tan ZhuonaThe purpose of this research was to study the Chinese tourists' attitude and behavior towards Siam Paragon and Central World. Sample size was 400 Chinese tourists and the data were gathered from a survey which conducted in Siam Paragon and Central World in Bangkok, Thailand. Questionnaires were used as the tool to collect the data. The analytic statistics included descriptive statistics, t-test, F-test with Least Significant Difference (LSD), Paired t-test and Simple Linear Regression. The Accidental Sampling method were employed to collect the data from the sample of Chinese tourists in Siam Paragon and Central World at the Ratchaprasong area, Bangkok. The questionnaire was translated into Chinese and pretested to ensure the content validity and reliability.Item Using Mobile Phone Learning Activities to Motivate English Language Learning of the Third Year English Major Students at Suan Dusit UniversityKwanhathai ChoedchooUsing Mobile phone learning activities to motivate English language learning of the third year English Major students at Suan Dusit University was studied. It was found that these students were highly motivated towards Mobile phone assisted language learning; learning the L2 on social media (FB) highly correlated with their classroom achievements in English courses. However, their high motivation was helpful in their English courses and for promoting language learning in and outside the classroom. It could be said that the students in this study were slightly instrumentally motivated toward the use of mobile phone as a supplementary tools in the English language classroom L2 motivation on mobile assisted language learning affected on teaching and learning.Item กระดานยางพาราวาดภาพนูนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) เกยูร วงศ์ก้อม; ณัฐกฤตา สุวรรณทีปการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมยางพาราแผ่นสำหรับการทำกระดาน ยางพาราวาดภาพนูน และศึกษาประสิทธิภาพกระดานยางพาราวาดภาพนูนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น รวมทั้งศึกษาความคิดเห็นของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นและครูต่อการใช้กระดานยางพาราวาดภาพนูน กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นระดับประถมศึกษาปีที่ 5 - 6 และครูผู้สอนในโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ จำนวน 31 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ ผลการวิจัย พบว่า สามารถเตรียมยางพาราแผ่นสำหรับการทำกระดานวาดภาพนูนที่มีคุณลักษณะทางกายภาพเทียบเคียงได้กับแผ่นยางพอลิเมอร์ทางการค้า เมื่อนำแผ่นยางพาราไปประกอบเป็นชุดกระดาน ยางพาราวาดภาพนูนไปทดสอบประสิทธิภาพพบว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ ผลการศึกษาความคิดเห็นของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นและครูต่อการใช้กระดานยางพาราวาดภาพนูนพบว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดทั้งในรายบุคคลและภาพรวม สรุปได้ว่ากระดาน ยางพาราวาดภาพนูนมีคุณสมบัติเหมาะสมแก่การใช้วาดภาพนูน สามารถช่วยส่งเสริมและพัฒนาการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้นอันจะส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นItem กระบวนการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต : กรณีศึกษาตำบลโคกโคเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีนุจิรา รัศมีไพบูลย์ | เรณุมาศ กุละศิริมา | เปรมฤทัย แย้มบรรจงการวิจัยเรื่องกระบวนการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิต : กรณีศึกษา ตำบลโคกโคเฒ่า อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) ศึกษาปัญหาและแนวทางการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ทักษะการดำรงชีวิตประจำวัน ทักษะเฉพาะบุคคลและทักษะทางสังคมและทักษะการประกอบอาชีพ และ 2) หาแนวทางการจัดการความรู้ของครอบครัวในการพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมประชากรเป็นประชาชนที่มีครัวเรือนอยู่ในตำบลโคกโคเฒ่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญมุ่งเน้นไปที่ครอบครัว ได้แก่ ผู้นำชุมชน และตัวแทนของครัวเรือนในหมู่บ้านต่าง ๆ ทั้งหมด ใช้วิธีสุ่มแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็นโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 12 คน ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาองค์ความรู้ด้านทักษะชีวิตที่ครอบครัวในชุมชนโคกโคเฒ่ายังมีจุดอ่อนและมีความต้องการให้มีการจัดการความรู้และได้รับการพัฒนามากที่สุดสำหรับทักษะในแต่ละด้าน มีดังนี้ 1) ทักษะการดำรงชีวิตประจำวัน คือ ความสามารถในการบริหารจัดการระบบการเงิน ทักษะเฉพาะบุคคลและทักษะทางสังคม คือ การสร้างความมั่นใจในตนเอง และทักษะการประกอบอาชีพ คือ ความสามารถในการประกอบอาชีพ ส่วนปัญหาหลักในการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ การจัดความรู้ให้เป็นระบบการเข้าถึงความรู้ และการถ่ายทอดและแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ส่วนแนวทางการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตในตำบลโคกโคเฒ่า พบว่า ควรเน้นให้มีการจัดความรู้ให้เป็นระบบวิธีการเข้าถึงความรู้ และกระบวนการถ่ายทอดและแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ภายในครอบครัว ส่วนแนวทางการเสริมสร้างการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อการพัฒนาทักษะชีวิตเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีเครื่องมือการจัดการความรู้ คือ การพาไปศึกษาดูงานชุมชนต้นแบบ แม่น้ำท่าจีน-ดอนหวาย พบว่า มีผลสะท้อนกลับทางบวกต่อกระบวนการคิดและวิเคราะห์ รวมทั้งความคิดเห็นของกลุ่มผู้เรียนรู้ที่มีต่อการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านต่างๆ ได้อย่างชัดเจน โดยกลุ่มผู้เรียนรู้ได้มองเห็นความสำคัญและความจำเป็นของทักษะชีวิตในแต่ละด้านพร้อมทั้งมีความเข้าใจว่า ทักษะชีวิตในแต่ละด้านมีผลอย่างไรในการดำรงชีวิตประจำวันและการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งกลุ่มผู้เรียนรู้ได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ มีการคิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์ถึงปัญหาการพัฒนาทักษะชีวิตในแต่ละด้านที่เกิดขึ้นจากกระบวนการจัดการความรู้ที่ไม่ดีของครอบครัวซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคตในแง่ของการบริหารจัดการภายในครอบครัว การอยู่ร่วมกันในสังคมและชุมชน และการประกอบอาชีพ จากการประเมินผลการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม พบว่า ผู้ร่วมกิจกรรมมีความคิดเห็นต่อกิจกรรมการอบรมในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีความพึงพอใจเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ เรียนรู้ในการเข้าร่วมกิจกรรมวิจัยและคาดว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวที่เข้ากิจกรรมการจัดการความรู้ให้สมาชิกครอบครัวและเพื่อนบ้านได้รับรู้มากเป็นอันดับแรก ส่วนผลการประเมินการจัดกิจกรรม การศึกษาดูงาน พบว่า ผู้ร่วมกิจกรรมมีความพึงพอใจต่อการศึกษาดูงานโดยรวมอยู่ในระดับดี โดยมีความพึงพอใจต่อสิ่งที่ได้เรียนรู้ในการเข้าร่วมกิจกรรมศึกษาดูงานและคาดว่าจะเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และชุมชนมากเป็นอันดับแรกItem กระบวนการจัดการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) จันทร์แรม เรือนแป้น; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; เขมภัทท์ เย็นเปี่ยม; สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์; ยุทธภูมิ ภู่ไพบูลย์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ตรวจสอบและเสนอแนวทางพัฒนานิเวศวิจัยของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต และ 2) พัฒนารูปแบบและแนวทางจัดการเรียนรู้ด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติวิธีการดำเนินงาน ประกอบด้วย การวิจัยเอกสารมหาวิทยาลัยต่างประเทศ 5 แห่ง การสัมภาษณ์เชิงลึกมหาวิทยาลัยในประเทศ 5 แห่ง การสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนานิเวศวิจัย 49 คน และการจัดสนทนากลุ่มอาจารย์ผู้สอน 9 คน เครื่องมือวิจัย คือ ประเด็นการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสาร แนวสัมภาษณ์เชิงลึก และแนวการสนทนากลุ่ม วิธีวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์เนื้อหา และการเปรียบเทียบข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบของนิเวศวิจัยที่ต้องตรวจสอบและพัฒนามี 3 ด้าน คือ ด้านนโยบายและการบริหารจัดการด้านเครือข่ายความร่วมมือ และด้านการจัดการสภาพแวดล้อมและสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ โดยแนวทางในการพัฒนา คือ 1.1) ใช้ระบบวิทยานิพนธ์อิเล็คทรอนิกส์ในการบริหารจัดการการทำวิทยานิพนธ์ทั้งกระบวนการ 1.2) ใช้ระบบการประชุมออนไลน์ในการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์ 1.3) จัดทำเอกสารตำราอิเล็กทรอนิกส์ที่ตรงกับสาขาวิชาที่เปิดสอน 1.4) ตรวจสอบการใช้งานฐานข้อมูลออนไลน์ทุกฐานที่มีและบริหารจัดการให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.5) สร้าง/ขยาย/พัฒนาความสัมพันธ์กับเครือข่ายเพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน 1.6) พัฒนาสมรรถนะบุคลากรห้องสมุด 1.7) กำหนดผู้รับผิดชอบและช่องทางการขอรับบริการที่ชัดเจน การพัฒนารูปแบบและแนวทางจัดการเรียนรู้ด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ด้วยการเรียนรู้จากการปฏิบัติ มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของวิธีสอนแบบเดิมที่เน้นทฤษฎี ขาดการปฏิบัติจริง ขาดการอภิปรายและการแบ่งปันประสบการณ์ การใช้หลักการสำคัญของการเรียนรู้จากการปฏิบัติเพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ จะให้รายละเอียดใน 4 เรื่อง คือ 2.1) หลักการและแนวคิดของรูปแบบ 2.2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 2.3) กระบวนการเรียนรู้ของรูปแบบ 2.4) ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบItem กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมด้านการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สำหรับนักศึกษารายวิชาเทคโนโลยีข้าว(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) อานง ใจแน่นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษากระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตในการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน (2) เพื่อศึกษาผลการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรเทคโนโลยีการประกอบอาหารและการบริการ คณะโรงเรียนการเรือน ศูนย์การศึกษาลำปาง มหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาเทคโนโลยีข้าว ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 19 คน เครื่องมือวิจัย คือ (1) แบบสังเกตสังเกตการทำกิจกรรมและ (2) แบบประเมินความพึงพอใจกิจกรรมสาธิตการทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนตามกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรูแบบมีส่วนร่วม ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วม ผ่านกิจกรรมการสาธิตใน การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่นักศึกษาสามารถปฏิบัติได้ ตามที่ผู้สอนสาธิต ทั้งในด้านการเตรียมวัตถุดิบ การปรุงประกอบ ตลอดจนลงมือปฏิบัติให้ได้เมนูขนมที่ถูกต้องบรรลุตามเป้าหมายการเรียนรู้ และผลการศึกษาความพึงพอใจในการถ่ายทอดองค์ความรู้การทำขนมชนเผ่าและกลุ่มชาติพันธุ์สู่ผู้เรียนที่ได้จากการจัดกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้แบบมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากที่สุด (คาเฉลี่ยเทากับ 4.62)Item กระบวนการยกระดับคุณภาพการบริการของแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2022) สฤษดิ์ ศรีโยธิน; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; จิรัฐ ชวนชม; อัมพร ศรีประเสริฐสุข; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศิน; พรเพ็ญ ไตรพงษการวิจัยนี้มุ่งศึกษา ดังนี้ 1) ศึกษาและเปรียบเทียบระดับความคาดหวังในการบริการกับระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้ เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริการสำหรับผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3) เพื่อสร้างกระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร ได้แก่ ผู้ให้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร หน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ และนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการวิจัย พบว่า 1) นักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีผลรวมความคาดหวังในการบริการที่มีต่อแหล่งเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก (คิดเป็นร้อยละ 80.71 จากคะแนนเต็ม 7) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า นักท่องเที่ยว ประเมินความพร้อมในการบริการที่ได้รับจากที่อื่นสูงกว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวได้รับจากการบริการที่ได้รับจากแหล่งเรียนรู้ในจังหวัดสุพรรณบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ด้านความสุภาพ อย่างคงเส้นคงวาไม่พบความแตกต่าง ผลการศึกษาระดับคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการ และวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี ตามการรับรู้ของนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาใช้บริการ พบว่า อยู่ในระดับมากเกิน 5.60 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 7) ยกเว้นคุณภาพการบริการด้านการเห็นอกเห็นใจ (ค่าเฉลี่ย = 5.56) และด้านสิ่งที่สัมผัสได้ (ค่าเฉลี่ย = 5.41) 2) ผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตร จังหวัดสุพรรณบุรี มีการพัฒนาคุณภาพบริการแหล่งเรียนรู้ด้านการบริหารจัดการ (ค่าเฉลี่ย = 4.03) ซึ่งเป็นเพียงด้านเดียว ที่มีค่าเฉลี่ยเกิน 4.00 คะแนน (ร้อยละ 80 จากคะแนนเต็ม 5) ส่วนในด้านอื่น ๆ มีค่าเฉลี่ยไม่ถึงเกณฑ์ 3) กระบวนการพัฒนาคุณภาพการบริการของผู้ประกอบการและวิทยากรในแหล่งเรียนรู้เพื่อ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี มี 4 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การสำรวจความคาดหวังและการรับรู้คุณภาพการบริการ (2) ปรับปรุงแก้ไขปัญหาคุณภาพ การบริการในด้านต่าง ๆ (3) พัฒนาวิทยากร/นักสื่อความหมายให้มีคุณภาพ และ (4) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้องค์ความรู้คุณภาพการบริการItem กระบวนการยกระดับสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2023) จิรัฐ ชวนชม; ยุทธพงษ์ ลีลากิจไพศาล; พรเพ็ญ ไตรพงษ์; พิมพ์มาดา วิชาศิลป์; สฤษดิ์ ศรีโยธิน; ขจีนุช เชาวนปรีชา; นงลักษณ์ โพธิ์ไพจิตร; ธนัญภัสร์ ศรีเนธิยวศินงานวิจัย เรื่อง กระบวนการยกระดับสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี วัตถุประสงค์ของ การวิจัยเพื่อศึกษาความคาดหวังและความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของนวัตกรรมการบริการการท่องเที่ยว ความสามารถการบูรณาการทางเทคโนโลยี ความร่วมมือในการจัดการการท่องเที่ยว ความเข้มแข็งของชุมชน การประเมินโอกาสทางการตลาดการท่องเที่ยว การประเมินสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ การประเมินสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวและสร้างกระบวนการการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยวิธีการแบบเจาะจง รวมผู้ให้ข้อมูลสำคัญรวมทั้งสิ้นจำนวน 50 คน การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับเกษตรกรในพื้นที่ จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ คะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ผลการวิจัยมีดังนี้ ความคาดหวังในการรับบริการต่อนวัตกรรมการบริการการท่องเที่ยว เชิงนิเวศเกษตรในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.19, S.D. = .69) ส่วนความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.36, S.D. = .75) ความคาดหวังในการรับบริการต่อความสามารถการบูรณาการทางเทคโนโลยีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.14, S.D. = .70) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.34, S.D. = .74) ความคาดหวังในการรับบริการต่อความร่วมมือในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศใน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .71) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.39, S.D. = .75) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .71) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.39, S.D. = .75) ความคาดหวังในการรับบริการต่อความเข้มแข็งของชุมชนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .69) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.16, S.D. = .69) ความคาดหวังในการรับบริการต่อประเมินโอกาสทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศใน ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅ = 4.21, S.D. = .72) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นต่อประเมินโอกาสทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (X̅ = 3.35, S.D. = .73) ความคาดหวังในการรับบริการต่อประเมินสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X̅ = 4.21, S.D. = .70) สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 3.43, S.D. = .75) การประเมินสมรรถนะการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X̅ = 4.02, S.D. = .50) สำหรับกระบวนการการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรในลักษณะแหล่งเรียนรู้เพื่อ เพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การดำเนินการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง โดยการดำเนินการเกษตรแบบครัวเรือนในการพึ่งพาตนเองและการรวมกลุ่มของเกษตรกรในพื้นที่เพื่อการพึ่งพาตนเอง ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรร่วมกับมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน ในการนำความรู้มาช่วยเหลือเกษตรในพื้นที่ในการพัฒนาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และ ขั้นตอนที่ 3 การยกระดับเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับอาชีพเกษตรกรรม นำแนวคิดทางการบริหารมาปรับใช้ในการเกษตร ประกอบการตลาดดิจิทัลและนวัตกรรมการผลิตItem กระบวนการสร้างคุณค่าจากทุนทางสังคมวัฒนธรรมสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน ตำบลผาปัง อำเภอแม่พริก จังหวัด ลำาปาง(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) ขวัญนภา สุขคร; เสาวธาร สมานิตย์; ฐิติวรฎา ใยสำลี; สิทธา พงษ์ศักดิ์; สิรณัฐเศรษฐ สุภาจันทรสุข; ไผทเทพ ตุทานนท์; พัชพร วิภาศรีนิมิตการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อถอดบทเรียนการจัดการชุมชนบนฐานการพัฒนาตามศักยภาพและบริบทของชุมชน 2) เพื่อสังเคราะห์และนำเสนอกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของชุมชน และ 3) เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลผาปัง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง ผลจากการวิจัยจะก่อให้เกิดประโยชน์ในหลายมิติ เช่น ด้านวิชาการเกิดกระบวนทัศน์ใหม่ (Paradigm shift) ของกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็งและยั่งยืนของ ชุมชน ด้านนโยบายได้ต้นแบบกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็ง และยั่งยืนของชุมชนที่สามารถประยุกต์ใช้ในพัฒนาชุมชนในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศได้ ด้านเศรษฐกิจการพัฒนาเกิดกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชน และเป็นกระบวนการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับทุกมิติของชุมชน พัฒนาจากฐานความรู้และสร้างมูลค่าเพิ่มจากทุนทางสังคมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ นำไปสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืนเศรษฐกิจชุมชน และภาพรวมของประเทศ และด้านสังคมและชุมชน เกิดกระบวนการในเชิงคุณค่านำไปสู่การพัฒนาชุมชนในมิติอย่างสมดุล ในการวิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR = Participatory Action Research) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความสมบูรณ์ถูกต้อง และมีความน่าเชื่อถือจึง ได้กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจะมีความหลากหลายรูปแบบในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลตามประเภทของข้อมูลที่รวบรวมจากแหล่งต่าง ๆ ประกอบด้วย การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดเวทีประชาคม เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประชุมเชิงปฏิบัติการ สนทนากลุ่ม (Focus Group) การสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากแหล่งข้อมูลทุติภูมิ โดยการรวบรวมมาจากหนังสือ ตำรา บทความ และงานวิจัยต่าง ๆ นั้นแล้วนำข้อมูลทั้ง 2 ประเภท มาตีความ จัดหมวดหมู่ สังเคราะห์ และวิเคราะห์ตามประเด็นที่กำหนด และมีการนำเครื่องมือมาตรวจสอบหาค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Validity) ซึ่งมีค่า IOC ที่หาได้คือ 1.00 ผลของการวิจัยได้มาซึ่งกระบวนการสร้างคุณค่าชุมชนวิถีสู่การพัฒนาบนความเข้มแข็ง และยั่งยืนของชุมชนในรูปแบบ PHAPANG Model ประกอบด้วย กระบวนการที่ 1: ศักยภาพและทุนชุมชน มีการพัฒนาอย่างสมดุลและครอบคลุมทุก มิติ (P: Potential and community capital with balanced development and covering all dimensions) กระบวนการที่ 2: กระบวนการพัฒนาทุนมนุษย์ บนฐานองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างกระบวนการเชิงคุณค่าของชุมชน (H: Human capital development process on the basis of knowledge and innovation to create a value process for the community) กระบวนการที่ 3: การจัดการและการสร้างนวัตกรรมเพื่อการจัดการชุมชนด้วย กระบวนการจัดการความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ (A: Administration and innovation for community management with creative conflict management processes) กระบวนการที่ 4: การมีส่วนร่วมและเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมที่ยึดโยงฐานวัฒนธรรม วิถี ความเชื่อ อัตลักษณ์ และตัวตนของคนในชุมชน (P: Participation and strengthen the participation process that adheres to the cultural base, the way of belief, community identity and identity of people in the community) กระบวนการที่ 5: อัตลักษณ์ท้องถิ่นและการสร้างแบรนด์อัตลักษณ์ชุมชนต้นแบบ ความสุข สร้างสรรค์ ยั่งยืน (A: Authentic Local Identity and Creating Community’s Identity Brands for sustainable creative happiness) กระบวนการที่ 6: ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นที่โดดเด่นและมีอัตลักษณ์ (N: Notable local identity products) กระบวนการที่ 7: คุณค่าที่แท้จริงและกระบวนการสร้างคุณค่าและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยใช้ฐานภูมิปัญญาของชุมชน (G: Genuine value creation and the process of value creation and utilization of natural resources and the environment by adapting the local wisdom base) จากการวิเคราะห์บริบทชุมชน ศักยภาพความพร้อมของชุมชน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายในและภายนอกชุมชน โดยใช้เทคนิค SWOT Analysis นำไปสู่การกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชุมชนร่วมกัน โดยได้ข้อสรุปภาพอนาคตและทิศทางการพัฒนาโดยนำเสนอใน 2 ประเด็นดังนี้ ประเด็นที่ 1 วิสัยทัศน์ในการพัฒนาชุมชน (วิสัยทัศน์: ชุมชนต้นแบบการจัดการชุมชนเชิงคุณค่า (ความสุข สร้างสรรค์ ยั่งยืน) ประเด็นที่ 2 ยุทธศาสตร์การพัฒนา โดยกำหนดแนวทางและ ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมโดยนำเสนอยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชุมชน ตำบลผาปังแบบมีส่วนร่วมใน 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) การจัดการองค์ความรู้ชุมชนและการบูรณาการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนโดยใช้กระบวนการเชิงคุณค่าเป็นฐานในการพัฒนา 2) เสริมสร้างศักยภาพการจัดการชุมชนเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมวิถีอัตลักษณ์ 3) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยใช้ฐานภูมิปัญญาของชุมชน และ 4) เสริมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาชุมชนในทุกมิติอย่างสมดุล โดยใช้ฐานภูมิปัญญาและนวัตกรรมItem กระบวนการเกิดอาชญากรรมในแง่มุมของพุทธธรรม(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2017) วิศิษฏ์ เจนนานนท์การวิจัยเรื่อง “กระบวนการเกิดอาชญากรรม ในแง่มุมของพุทธธรรม" มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ได้สาเหตุการเกิดอาชญากรรมและรูปแบบการป้องกันอาชญากรรมตามหลักพุทธธรรมในพระไตรปิฎก โดยการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ซึ่งศึกษา ทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูล สําคัญ รวม 5 กลุ่ม ๆ ละ 5 คน ได้แก่ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านพุทธศาสนา ซึ่งเป็นนักวิชาการ ราชบัณฑิตทางด้านพุทธศาสนา และปรัชญา กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการทางด้านอาชญาวิทยา กลุ่มบุคลากร ที่ปฏิบัติหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม กลุ่มบุคคลผู้ที่เคยต้องโทษ และพ้นโทษ มาแล้ว และไม่กลับไปกระทําความผิดซ้ํา และกลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจํากลางคลองเปรม รวมจํานวน 25 คนItem กระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพ ในตําบลโคกโคเฒ่า อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรีเอกชัย พุมดวง | ยุสนีย์ โสมทัศน์การวิจัยเรื่องกระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพ ในตำบลโคกโคเฒ่า อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ 1) เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มอาชีพในชุมชนตำบลโคกโคเฒ่า และ 2) เพื่อพัฒนาศักยภาพของสมาชิกกลุ่มอาชีพให้มีความสามารถในการบริหารจัดการกลุ่มตามแนวคิดเศรษฐกิจชุมชน โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และใช้กระบวนการจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือในการสืบค้นและสร้างกระบวนการเรียนรู้ของชุมชน ผลจากการวิจัยเป็นดังนี้ 1) การสร้างกระบวนการเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมของกลุ่มอาชีพในชุมชน พบว่า มีกลุ่มอาชีพของชุมชน จํานวน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มจักสานกระเป๋า กลุ่มทำขนมไทย และกลุ่มทําปุ๋ยอินทรีย์ในการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ โดยใช้การจัดการความรู้ (KM) เป็นเครื่องมือซึ่งพบว่า ประกอบกลุ่มอาชีพในชุมชนได้ใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ การสร้างความรู้ การถ่ายทอดความรู้ และการใช้ความรู้ แต่ยังขาดการจัดเก็บและการสืบค้นความรู้ นอกจากนี้ กลุ่มอาชีพมีการวิเคราะห์ศักยภาพของกลุ่มการวิเคราะห์ปัญหา และการวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน การศึกษาดูงานจากแหล่งเรียนรู้ต้นแบบ โดยมีการกำหนดโจทย์ในการศึกษาดูงานของชุมชนต้นแบบ ณ แหล่งเรียนรู้ดอนหวาย-ท่าจีน เพื่อศึกษาเรียนรู้แนวทางในการบริหารจัดการและการดำเนินงานของกลุ่มอาชีพ การประกอบธุรกิจชุมชน ผลิตภัณฑ์ชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น 2) การพัฒนาศักยภาพของสมาชิกกลุ่มอาชีพให้มีความสามารถในการบริหารจัดการกลุ่มตามแนวคิดเศรษฐกิจชุมชนด้วยการถอดบทเรียนจากการศึกษาดูงานของชุมชนต้นแบบ การนำมาพัฒนากลยุทธ์ของกลุ่มอาชีพตำบลโคกโคเฒ่าให้มีความสามารถในการบริหารจัดการกลุ่มตามแนวคิดเศรษฐกิจชุมชน ออกได้เป็น 3 กลยุทธ์ คือ 1) พัฒนาผผลิต ผู้ประกอบการ และการตลาด ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพกลุ่มผผลิต และการส่งเสริมช่องทางการตลาด 2) พัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนด้วยองค์ความรู้ ด้วยการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ และการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ และ 3) การสร้างกระบวนการเรียนรู้และสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยการสืบค้น รวบรวม และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นItem กระบวนทรรศน์และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการกากของเสียและสารอันตรายจากอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน(มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 2007) เดช เฉิดสุวรรณรักษ์การวิจัยเรื่อง กระบวนทรรศน์และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการกากของเสียและสารอันตรายจากอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อต้องการ วิเคราะห์ สภาพปัญหา จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ของการจัดการของภาครัฐกับปัญหา กากของเสียและสารอันตรายจากอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งมีความสําคัญ และเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ทําให้มีผลกระทบ ในวงกว้างทั้งในเรื่องสุขภาพพลานามัยของประชาชน ผลกระทบการส่งออกสินค้าของไทยกับมาตรการที่สหภาพยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศประกาศใช้ และการขนย้ายหรือธุรกรรมนอกระบบที่ไม่มีการควบคุมดูแล ซึ่งในเรื่องนี้หน่วยงานภาครัฐของไทย หลายหน่วยกําลัง เริ่มทําการศึกษา และได้เร่งพยายามพัฒนาขีดความสามารถให้แก่ผู้ผลิต โดยเฉพาะกับบริษัท ขนาดกลาง-ย่อย ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ทั้งในด้านของการออกกฎหมาย การพัฒนาบุคคลากร และการควบคุมItem กระบวนทัศน์การจัดการตลาดกลางผักและผลไม้ของประเทศไทย(มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 2009) กัญญานนท์ กมลยะบุตรการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการดําเนินงาน ปัญหาอุปสรรคของการจัดการตลาดกลางผักและผลไม้ วิเคราะห์ปัจจัยแห่งความสําเร็จที่ทําให้การจัดการตลาดกลาง ผักและผลไม้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนําเสนอกระบวนทัศน์ของการจัดการตลาดกลางผัก และผลไม้ของประเทศไทย โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Research) ทั้งเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสําคัญ คือ ผู้ประกอบการ หรือผู้บริหารระดับสูงของตลาดกลางผักและผลไม้ ทั้ง 4 ภาค และผู้เชี่ยวชาญภาครัฐและนักวิชาการ จํานวนทั้งสิ้น 15 คน การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวมรวมข้อมูล กลุ่มเป้าหมายจํานวน 398 คน ประกอบด้วย ผู้ค้าหรือคนกลาง เกษตรกรและผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการในตลาดกลางสุรนครเมืองใหม่ จังหวัดนครราชสีมาItem กระบวนทัศน์การตลาดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อธำรงศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืน(มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 2008) กันณวัน อภิรักษ์ธนากรการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงกระบวนทัศน์การตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังศึกษาถึงอุปสรรค และข้อจํากัดในการพัฒนากระบวนทัศน์การตลาดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย และศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนา คุณภาพกระบวนทัศน์การตลาดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย สุดท้ายศึกษาถึงรูปแบบและ แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนทัศน์การตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อธํารงศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืนที่เหมาะสม การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงกระบวนทัศน์การตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังศึกษาถึงอุปสรรค และข้อจํากัดในการพัฒนากระบวน ทัศน์การตลาดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย และศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนา คุณภาพกระบวนทัศน์การตลาดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย สุดท้ายศึกษาถึงรูปแบบและแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนทัศน์การตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เพื่อธํารงศักยภาพการแข่งขันที่ยั่งยืนที่เหมาะสมItem กระบวนทัศน์การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชนตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552 2561)(มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 2011) นันทิดา ทองเจือการศึกษา เรื่อง กระบวนทัศน์การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชนตาม แนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพ การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชนตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ในปัจจุบัน และเพื่อนําเสนอกระบวนทัศน์การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชนตามแนวทาง การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) โดยมีขั้นตอนการวิจัย 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นการศึกษาสภาพปัจจุบันการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชนตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) 2) ขั้นการร่างกระบวนทัศน์การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชน ตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) 3) ขั้นการตรวจสอบความเหมาะสม และเป็นไปได้ของกระบวนทัศน์การพัฒนาคุณภาพโรงเรียนเอกชนตามแนวทางการปฏิรูป การศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) แหล่งข้อมูลที่ศึกษาได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนเอกชน เอกสาร ผู้ทรงคุณวุฒิ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสัมมนา วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา แจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานItem กลยุทธ์การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการของพนักงานร้านพลก๊อปปี้ เซอร์วิส แอนด์ ซัพพลาย(มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2015) เลิศพล บรรลือการวิจัยเรื่อง กลยุทธ์การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการของพนักงานร้านพลก๊อปปี้ เซอร์วิส แอนด์ ซัพพลาย มีวัตถุประสงค์ดังนี้ คือ 1. เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อการเลือกใช้บริการและเปรียบเทียบความพึงพอใจของลูกค้าต่อการใช้บริการ 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกใช้บริการของลูกค้า และ 3. เพื่อศึกษากลยุทธ์การจัดการความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการของพนักงาน ร้านพลก็อปปี้ เซอร์วิส แอนด์ ซัพพลาย เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.959 จากลูกค้าที่ใช้บริการจํานวน 184 คน และพนักงาน ในร้านฯ จํานวน 6 คน สถิติที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ ค่าร้อยละ (%) ค่าความถี่ (X) ค่าเฉลี่ย (S.D.) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (T-test) ค่าสัมประสิทธ์สัมพันธ์ ANOVA และ Schelfe test และใช้การ วิเคราะห์สถานการณ์ (SWOT Analysis) เพื่อกําหนดกลยุทธ์Item กลยุทธ์การจัดการความรู้เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล(มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 2011) ณัฐหทัย โสตาศรีการวิจัยเรื่อง กลยุทธ์การจัดการความรู้เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ เปรียบเทียบความคิดเห็นของพนักงานในสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลต่อกลยุทธ์การจัดการความรู้ ศึกษาปัจจัยการจัดการความรู้ที่มีต่อการสร้างวัฒนธรรมองค์กร และสร้างรูปแบบการสร้างวัฒนธรรมองค์กรของสํานักงานสลาก กินแบ่งรัฐบาล การศึกษาใช้การวิจัยแบบผสม กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานสํานักงานสลากกินแบ่ง รัฐบาล จํานวน 260 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามที่สร้างขึ้น มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .981 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีของเชฟเฟ สําหรับข้อมูลที่วิเคราะห์ได้นํามาจัดการสนทนากลุ่มเพื่อสร้างรูปแบบการสร้างวัฒนธรรมองค์กรของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยใช้กลยุทธ์ทางการจัดการความรู้Item กลยุทธ์การจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชน กรณีศึกษาตำบลโคกโคเฒ่า อําเภอเมือง จังหวดสุพรรณบุรีเรณุมาศ กุละศิริมา | นุจิรา รัศมีไพบูลย์ | เอกชัย พุมดวง | เปรมฤทัย แย้มบรรจงการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบรบทของชุมชนโคกโคเฒ่าในการจัดการความรู้ สร้างกระบวนการจัดการความรู้ของครอบครัว เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของประชาชนในชุมชนโคกโคเฒ่า หาแนวทางในการจัดการความรู้โดยใช้เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ชุมชน สร้างกระบวนการเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพในตำบลโคกโคเฒ่า และหาแนวทางในการสร้างกลยุทธ์การจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วมของชุมชนในตำบลโคกโคเฒ่า อําเภอเมือง จังหวดสพรรณบุรี เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตประชากรประกอบด้วยประชาชนในตำบลโคกโคเฒ่า ผู้บริหารทองถิ่นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาชุมชน กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มจากประชากรที่กําหนดโดยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จํานวน 10 คน เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการสัมภาษณ์เชิงลึก ดําเนินการวิจัยแบบผสมผสานด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสมภาษณ์ และแบบประเมินวิเคราะห์เนื้อหาและวิเคราะห์ SWOT สถิติที่ใช้ในการประเมินผลความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของกลยุทธ์เป็นค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. การจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของประชาชนในชุมชนโคกโคเฒ่า พบว่า ในการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตใน 3 ด้าน ชุมชนมีจุดอ่อนและต้องการให้มีการจัดการความรู้และพัฒนามากที่สุดของแต่ละทักษะดังนี้ 1) ทักษะการดารงชีวิตประจาวัน คือ ด้านความสามารถในการบริหารจัดการระบบการเงิน 2) ทักษะเฉพาะบุคคลและทักษะทางสังคม คือ ด้านการสร้างความมั่นใจในตนเอง 3) ทักษะการประกอบอาชีพ คือ ด้านความสามารถในการประกอบอาชีพในการแก้ไขปัญหาในกระบวนการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตในแตละด้านควรใช้แนวทางในการจัดการความรู้ให้เป็นระบบการเข้าถึงความรู้ควรมีการติดต่อผ่านผู้นําหรือบุคคลที่สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ หรือใช้วิธีติดต่อผ่านเครือข่ายกลุ่มผู้ร่วมอาชีพ และในการถ่ายทอดและแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ควรมีการสร้างกลุ่มเรียนรู้เฉพาะขึ้นมา เพื่อให้มีการถ่ายทอดและแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ที่ตรงกับความต้องการของสมาชิกในกลุ่ม 2. การจัดการความรู้โดยใช้เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ชุมชน ตําบลโคกโคเฒ่า พบว่า องค์ประกอบของการจัดการความรู้ชุมชน 3 ประการ คือ คน เทคโนโลยี และกระบวนการ สําหรับชุมชนโคกโคเฒ่าส่วนใหญ่ประชาชนมีการศึกษาระดับพื้นฐาน มีผู้บริหารท้องถิ่นและกลุ่มผู้นําชุมชนมีประสบการณ์ มีศักยภาพในการบริหารจัดการภายในกลุ่มของชุมชน มีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ มีการสืบทอดความรู้จากครูภูมิปัญญาท้องถิ่น/ปราชญ์ชาวบ้าน ชุมชนมทรัพยากรบุคคลจากโรงเรียน/มหาวิทยาลัย และองค์กรท้องถิ่นที่มีความรู้ความสามารถเป็นผู้อํานวยให้เกิดกระบวนการจัดการความรู้ชุมชน วัฒนธรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนในชุมชนส่วนใหญ่มีการเรียนรู้เพื่อการประกอบอาชีพ ไม่มีการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกจัดเก็บและสืบค้นข้อมูลองค์ความรู้ที่ชุมชนต้องการเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และในกระบวนการจัดการความรู้ของชุมชน มีการแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และถ่ายทอดความรู้ให้แก่สมาชิกในกลุ่มโดยผู้นําชุมชน ไม่มีการจัดตั้งเครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ กระบวนการจัดการความรู้ชุมชนยังไมเป็นระบบ การดำเนินงานให้เกิดผลอย่างจริงจังเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เนื่องจากไม่มีหน่วยงาน/กลุ่มทีมงานที่จะจัดการความรู้ของชุมชน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ของชุมชนมีน้อย 3. การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพ ในตำบลโคกโคเฒ่า พบว่ามี 3 กลุ่มดังนี้ 1) กลุ่มจักสานกระเป๋า โดยกลุ่มสูตรแม่บ้าน บ้านสามหน่อ หมู่ที่รวมกลุ่มกันเพื่อสร้างอาชีพเสริมด้านการจักสานจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายทอดจากครูภูมิปัญญาท้องถิ่น 2) กลุ่มขนมไทย โดยกลุ่มสูตรแม่บ้านตำบลโคกโคเฒ่า และผู้นําหมู่บ้านเป็นแกนนำในการจัดตั้งกลุ่มทํางานในรูปกระบวนการกลุ่มช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเชี่ยวชาญในการทำขนมไทย มีการรวมกลุ่มกันทำขนมไทยเป็นอาชีพเสริมในช่วงเวลาว่างงาน และกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านสามหน่อ ได้รวมกลุ่มกันทำขนมกระยาสารท เพื่อจำหน่ายในเทศการทำบุญ 3) กลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ โดยมีคณะกรรมการเข้าร่วม 15 คน มีความเชี่ยวชาญในการทำปุ๋ยอินทรีย์ จดทะเบียนเป็นกลุ่มผลิตปุ๋ยอินทรีย์ขึ้นในปี 2551 ได้ผลิตสำหรับใช้ในชุมชนและชุมชนใกล้เคียงเพื่อลดต้นทุนการผลิต และมีการพัฒนาเป็นการผลิตปุ๋ยเม็ด มีตราผลิตภัณฑ์ “เพชร พานทอง” บรรจุถุงจัดจำหน่ายทั้งภายในและภายนอกชุมชน 4. กลยุทธ์การจัดการความรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของชุมชนโคกโคเฒ่ามี 3 กลยุทธ์ ดังนี้ 1) กลยุทธ์ในการจัดการความรู้ของครอบครัวเพื่อพัฒนาทักษะชีวิตของประชาชนในตําบลโคกโคเฒ่า ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์ คือ การพัฒนาทักษะการดำรงชีวิตประจำวัน การพัฒนาทักษะเฉพาะบุคคลและทักษะทางสังคม และการพัฒนาทักษะการประกอบอาชีพ 2) กลยุทธ์การจัดการความรู้โดยใช้เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ชุมชนโคกโคเฒ่า ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ คือ การพัฒนาทีมงานเครือข่ายการจัดการความรู้ชุมชน การพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ในชุมชนให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาระบบการจัดการความรู้ และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ 3) กลยุทธ์การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมตามแนวเศรษฐกิจชุมชนของกลุ่มอาชีพในตำบลโคกโคเฒ่า ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ คือ การพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ของกลุ่มอาชีพ การสร้างและการพัฒนาองค์ความรู้ การพัฒนาระบบการจัดเก็บและการสืบค้นความรู้ และการสร้างและพัฒนาภาคเครือข่ายการจัดการความรู้Item กลยุทธ์การจัดการคุณภาพบริการหลังการขาย เพื่อความอยู่รอดของธุรกิจระบบกระจายเสียงชนิดไร้สาย กรณีศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตปริมณฑล(มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 2012) อิศรทรัพย์ รัตนอมรชัยการศึกษาเรื่องกลยุทธ์การจัดการคุณภาพบริการหลังการขายเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจระบบกระจายเสียงชนิดไร้สาย กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตปริมณฑล มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) ความพึงพอใจของผู้ซื้อระบบกระจายเสียงชนิดไร้สายด้านคุณภาพ การให้บริการหลังการขาย 2) ปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพการให้บริการหลังการขายสําหรับผู้ซื้อระบบ กระจายเสียงชนิดไร้สาย 3) ความอยู่รอดของธุรกิจระบบกระจายเสียงชนิดไร้สาย โดยใช้วิธี การศึกษา คือ การวิจัยแบบผสมผสาน ดําเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก นายกเทศมนตรี ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจซื้อ (ผู้ซื้อ) และผู้ใช้ ประกอบด้วย นักประชาสัมพันธ์ เจ้าหน้าที่ ประชาสัมพันธ์เทศบาล สําหรับการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้มีส่วนในการตัดสินใจ ซื้อในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตปริมณฑล ที่ใช้ระบบกระจายเสียงชนิดไร้สายรวม 62 หน่วยงาน ทําการวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ ค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ความแปรปรวนและ การวิเคราะห์ถดถอยพหุเพื่อทดสอบสมมติฐานItem กลยุทธ์การจัดการตามระบบประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน(มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต, 2011) ศรานนท์ นนทวงษ์การศึกษาเรื่อง กลยุทธ์การจัดการตามระบบประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของการดําเนินงานประกันคุณภาพ การศึกษาภายในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน 2) ศึกษาแบบอย่างที่ดีในการดําเนินงานประกัน คุณภาพภายในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน และ 3) เสนอกลยุทธ์การจัดการตามระบบการประกัน คุณภาพภายในของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน โดยมีขั้นตอนการวิจัย 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นการศึกษาสภาพปัจจุบันของการดําเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในโรงเรียน อาชีวศึกษาเอกชน 2) ขั้นการออกแบบการจัดการตามระบบประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน และ 3) ขั้นการตรวจสอบความเหมาะสมของกลยุทธ์การจัดการตามระบบประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน แหล่งข้อมูลที่ศึกษาเชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้บริหาร หรือผู้รับผิดชอบด้านการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน จํานวน 162 คน แหล่งข้อมูลที่ศึกษาเชิงคุณภาพในการศึกษาแบบอย่างที่ดีในการประกันคุณภาพ ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูงของโรงเรียนที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการดําเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน จํานวน 5 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลในการสัมมนาตรวจสอบความเหมาะสมของข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา