การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PRAWIT เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย

Default Image
Date
ISBN
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Resource Type
Publisher
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
Views
Views3
Usage analytics
Journal Title
การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PRAWIT เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
Recommended by
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PRAWIT เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย 2) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมตามรูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PRAWIT และ 3) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพรูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PRAWIT เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย โดยวิธีการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ระยะที่ 1 การพัฒนารูปแบบการจัดกิจรรมแบบ PRAWIT เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 อายุ 4 - 5 ขวบ จำนวน 25 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ สาขาลำปาง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ด้วยการวิจัยปฏิบัติการ (Action Research) จากนั้นสร้างคู่มือการใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PRAWIT และประเมินความเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 10 ท่าน ระยะที่ 2 การทดลองใช้รูปแบบการจัดกิจรรมแบบ PRAWIT เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยนำรูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PARWIT ไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 อายุ 4 - 5 ขวบ จำนวน 21 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ สาขาลำปาง 8 สัปดาห์ โดยมีการประเมินทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการทดลอง เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และความต่างของค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการทดลอง ระยะที่ 3 การขยายผลรูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PRAWIT เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย นักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยนำรูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PARWIT ไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่างที่สังกัดแตกต่างกัน จำนวน 4 โรงเรียน ได้แก่ 1) นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 อายุ 4 - 5 ขวบ จำนวน 35 คน โรงเรียนผดุงวิทยา (วัดศรีบุญเรือง) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 2) นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 อายุ 4 - 5 ขวบ จำนวน 25 คน โรงเรียนเทศบาล 5 (บ้านศรีบุญเรือง) สังกัดเทศบาลนครลำปาง 3) นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 อายุ 4 - 5 ขวบ จำนวน 35 คน โรงเรียนอนุบาลลำปาง (เขลางค์รัตน์อนุสรณ์) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและ 4) นักเรียนเตรียมความพร้อมอนุบาล อายุ 4-5 ขวบ จำนวน 11 คน ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหนองหล่ม สังกัดองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และความต่างของค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการทดลอง ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PRAWIT เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย มี 6 องค์ประกอบสำคัญ คือ การปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้า (Perception) การทบทวนข้อมูล (Rehearsal) การลงมือปฏิบัติกิจกรรม (Action) การเขียน (Write) การแสวงหาความรู้ (Inquiry) และการถ่ายโยงความรู้ (Transfer of Learning) และผู้เชี่ยวชาญประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการจัดกิจกรรมแบบ PRAWIT ทั้งฉบับมีค่าเฉลี่ย 4.16 มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด 2. การจัดกิจกรรมตามรูปแบบจัดกิจกรรมแบบ PARWIT หลังการทดลองเด็กปฐมวัยมีทักษะการเรียนรู้สูงขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ซึ่งก่อนการทดลอง มีค่าเฉลี่ย 14.04 ส่วนเบี่ยนเบนมาตราฐาน 0.74 หลังการมีค่าเฉลี่ย 23.14 ส่วนเบี่ยนเบนมาตราฐาน 2.22 ก่อนและหลังการทดลองมีค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9.10 และมีขนาดความแตกต่างทางคณิตศาสตร์ขนาดปานกลาง (d = 0.53) 3. การจัดกิจกรรมตามรูปแบบจัดกิจกรรมแบบ PARWIT หลังการทดลองเด็กปฐมวัยมีทักษะการเรียนรู้สูงขึ้นกว่าก่อนการทดลองทั้ง 4 โรงเรียน ดังนี้ 3.1 โรงเรียน A ทักษะการเรียนรู้หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ซึ่งก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ย 11.91 ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน 1.75 หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ย 16.77 ส่วนเบี่ยนเบนมาตราฐาน 1.68 ก่อนและหลังการทดลองมีค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.86 และมีขนาดความแตกต่างทางคณิตศาสตร์ขนาดเล็กน้อย (d = 0.02) 3.2 โรงเรียน B ทักษะการเรียนรู้หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ซึ่งก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ย 11.88 ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน 1.76 หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ย 16.68 ส่วนเบี่ยนเบนมาตราฐาน 1.84 ก่อนและหลังการทดลองมีค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80 และมีขนาดความแตกต่างทางคณิตศาสตร์ขนาดเล็กน้อย (d = 0.02) 3.3 โรงเรียน C ทักษะการเรียนรู้หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ซึ่งก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ย 11.91 ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน 1.63 หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ย 16.68 ส่วนเบี่ยนเบนมาตราฐาน 1.47 ก่อนและหลังการทดลองมีค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.77 และมีขนาดความแตกต่างทางคณิตศาสตร์ขนาดเล็กน้อย (d = 0.04) 3.4 โรงเรียน C ทักษะการเรียนรู้หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ซึ่งก่อนการทดลองมีค่าเฉลี่ย 11.81 ส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน 1.66 หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ย 15.90 ส่วนเบี่ยนเบนมาตราฐาน 1.04 ก่อนและหลังการทดลองมีค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.09 และมีขนาดความแตกต่างทางคณิตศาสตร์ขนาดเล็กน้อย (d = 0.02)
Description
Citation
View online resources
Collections