รูปแบบและแนวทางการเตรียมการด้านสุขภาพเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ

Date
ISBN
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Resource Type
Publisher
Views
Views2
Usage analytics
Journal Title
รูปแบบและแนวทางการเตรียมการด้านสุขภาพเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ
Authors
Recommended by
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเตรียมการด้านสุขภาพในประเด็นการทำประกัน สุขภาพของผู้ที่กำลังก้าวสู่วัยผู้สูงอายุ ซึ่งสำรวจกับกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปี ถึง 59 ปึ และ ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มตัวอย่างในวัย ทำงานอายุ 35-59 ปี จำนวน 292 คน และวัยสูงอายุ (ตั้งแต่ 60 ปีขี้นไป) จำนวน 108 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในงานวิจัย คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติคแบบเชิงอันดับ (Ordinal Logistic Regression Analysis) ภาคเอกชน จากการศึกษาพบว่า เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกประกันสุขภาพ กลุ่มตัวอย่างทั้งกลุ่มผู้จะก้าวสู่วัยสูงอายุและผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีภาวะสุขภาพเหมือนกัน คือ มีการตรวจสุขภาพประจำปี ไม่เคยประสบอุบัติเหตุที่ต้องเข้าโรงพยาบาลในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยเข้านอนพักรักษาตัว แต่ถ้าไม่สบายจะใช้บริการสถานพยาบาลภาครัฐ ลูก/หลานดูแลเมื่อยามเจ็บป่วย ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลต่อเดือนโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 1000 บาท ไม่เคยสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ และจะประเมินสุขภาพของตนเองอยู่ในระดับแข็งแรงดี ยกเว้นการมีโรคประจำตัวด้วย การรับการรักษาต่อเนื่อง และแหล่งการเงินสำหรับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ โดยกลุ่มผู้จะก้าวสู่วัยสูงอายุ จะไม่มีโรคประจำตัวด้วย ไม่รับการรักษาต่อเนื่อง และใช้ระบบประกันสังคม ในขณะที่ผู้สูงอายุมีโรคประจำตัว มีการรักษาต่อเนื่อง และใช้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) กลุ่มตัวอย่างผู้ที่จะก้าวสู่วัยสูงอายุนั้นมีสัดส่วนการไม่มีและมีประกันสุขภาพภาคเอกชนไม่แตกต่างกันมากนัก สำหรับคนที่มีประกันสุขภาพส่วนใหญ่จะมีในรูปแบบกรมธรรม์รองที่แนบท้าย กรมธรรม์หลักประเภทการประกันชีวิต และนิยมจะเลือกซื้อกับบริษัท AIA (ประกันวินาศภัย) กรุงเทพประกันภัย และเมืองไทยประกันภัย เพราะ 1) เงื่อนไขความคุ้มครอง 2) ด้านชื่อเสียงบริษัท 3) การให้บริการ 4) อัตราชำระเบี้ยประกัน 5) การประชาสัมพันธ์ 6) การจ่ายสินไหมทดแทน และ 7) คุณสมบัติของตัวแทน ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุนั้นจะแตกต่างอย่างชัดเจนว่ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่มีกรมธรรม์ ประกันสุขภาพภาคเอกชน แนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพสำหรับกลุ่มตัวอย่างที่กำลังก้าวสู่วัยสูงอายุอยู่ในระดับปานกลางด้วยคะแนนเฉลี่ย 5.74 และกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุนั้นกลับมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อประกันสุขระดับค่อนข้างจะน้อยด้วยคะแนนเฉลี่ย 3.29 เหตุผลสามอันดับแรกที่จะทำให้ตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพ คือ พอใจแบบประกัน เป็นการสร้างสวัสดิการยามเจ็บป่วยมีเงินรักษา และต้องการความมั่นคงปลอดภัยสำหรับตนเองและครอบครัว รูปแบบกรมธรรม์ที่สนใจมีทั้งรูปแบบกรมธรรม์รองที่แนบท้ายกรมธรรม์หลักประเภทการประกันชีวิต และรูปแบบประกันสุขภาพที่อยู่ในหมวด ประกันภัยเบ็ดเตล็ดในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยมีวงเงินเบี้ยประกันสุขภาพที่สนใจจะจ่ายอยู่ในช่วง 10,000-12,000 บาท/ปี และสนใจที่จะชำระเบี้ยประกันเป็นรายปีทุก 1 ปี โดยนิยมซื้อต่อเนื่องทุกปีกับบริษัทเดิม และสนใจซื้อผ่านตัวแทน โดยที่ตนเองจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะซื้อประกันสุขภาพหรือไม่ ปัจจัยที่กลุ่มตัวอย่างให้ความสำคัญที่สุดในการเลือกซื้อประกันสุขภาพ คือ ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป รองลงมาคือ ค่ารักษาพยาบาลกรณีคนไข้ในปัจจัยส่วนบุคคล ภาวะและพฤติกรรมสุขภาพ และส่วนผสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพภาคเอกชนอย่างมีนัยสำคัญ คือ กลุ่มอายุ ศาสนา การมีโรคประจำตัว การรับการรักษาต่อเนื่อง การประเมินสุขภาพของตนเอง การผ่อนคลายความเครียด และด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ กล่าวคือ คนกำลังจะก้าวสู่วัยสูงอายุ (วัยทำงาน) จะมีความเป็นไปได้ที่จะมีอัตราการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพภาคเอกชนมากกว่าผู้สูงอายุ คนที่นับถือศาสนาต่างกันจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีอัตราการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพภาคเอกชนต่างกัน คนที่ไม่มีโรคประจำตัวจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีอัตราการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพภาคเอกชนมากกว่าคนที่มีโรคประจำตัว คนที่รับการรักษาต่อเนื่องจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีอัตราการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพภาคเอกชน มากกว่าคนที่ไม่รับการรักษาต่อเนื่อง คนที่ประเมินสุขภาพของตนเองว่าแข็งแรงมากกว่าจะมีแนวโน้ม การตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพมากกว่า คนที่ประเมินตนเองว่ามีระดับการปฏิบัติการผ่อนคลาย ความเครียดมากกว่าจะมีแนวโน้มการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพมากกว่า งานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะว่า บริษัทรับประกันภัยอาจจะใช้กลยุทธ์การกำหนดราคา โดยให้มีอัตราค่าเบี้ยประกันสุขภาพให้เหมาะสมกับแรงจูงใจด้านภาษีของกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ ที่ว่าค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบิดา มารดา สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท และให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มวัยทำงานที่สนใจจะซื้อประกันสุขภาพให้บิดา มารดา หรือซื้อให้ตนเอง ส่วนในกรณีที่ผู้เอาประกันอยู่ในกลุ่มเสี่ยง บริษัท รับประกันอาจใช้กลยุทธ์ด้านราคาสำหรับรับประกันกลุ่มที่มีความเสี่ยงนี้ โดยการปรับเบี้ยประกันตามความเสี่ยง (risk adjusted premium) ซึ่งยังช่วยป้องกันปัญหา Adverse selection อีกด้วย และการให้มีส่วนร่วมจ่าย (co-payment) ที่จะช่วยป้องกันปัญหา User Moral Hazard ได้