การจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความสุขของผู้สูงวัย

Date
ISBN
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Resource Type
Publisher
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
Views
Views5
Usage analytics
Journal Title
การจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความสุขของผู้สูงวัย
Recommended by
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่กำหนดรูปแบบของการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความสุขของผู้สูงวัย (2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยด้านการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัล และการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอิทธิพลต่อความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัย (3) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัยกับดัชนีชี้วัด ความสุขของผู้สูงวัย และ (4) เพื่อสร้างรูปแบบการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความสุขของผู้สูงวัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ ในระยะที่หนึ่ง การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้สูงวัยในประเทศไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่มีการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ศึกษาจังหวัด กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ จังหวัดนครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และ สมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิและแบบโควต้า จำนวน 400 คน เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม ข้อมูลที่ได้ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป คำนวณค่าสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอย พหุคูณ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์เนื้อหาจากคำถามปลายเปิด ระยะที่สอง การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้สูงวัยในประเทศไทยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และมีการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล อาศัยอยู่ในชุมชนที่เป็นพื้นที่ศึกษารวมทั้งกลุ่มผู้นำชุมชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการของพื้นที่ โดยการเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบเจาะจง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่มย่อย จำนวน 30 คน แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้อหาร่วมกับข้อมูลเชิงปริมาณ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ กลุ่มตัวอย่างผู้สูงวัยประกอบด้วยเพศหญิงที่มีสัดส่วนใกล้เคียงกับเพศชาย มีอายุระหว่าง 60 - 69 ปี ร้อยละ 73.00 มีการศึกษาในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 75.00 และมีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ร้อยละ 46.75 กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 31.00 ไม่ได้ประกอบอาชีพ (พ่อบ้าน/แม่บ้าน) และมีสถานะสมรส ร้อยละ 72.00 มีจำนวนมากที่ยังอยู่กับครอบครัวถึงร้อยละ 84.50 ผู้สูงวัยกลุ่มนี้ยังมีการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมบ้างเป็นบางครั้ง คิดเป็นร้อยละ 61.75 สำหรับประสบการณ์การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ผลการศึกษาด้านเครื่องมือที่ผู้สูงวัยใช้บริการเทคโนโลยีดิจิทัล พบว่าส่วนมากใช้งาน จากสมาร์ตโฟนถึงร้อยละ 85.50 และยังพบว่ามีการใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัลทุกวัน ร้อยละ 77 มีระยะเวลาใช้งานประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง ร้อยละ 38.75 โดยเชื่อมต่อผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ร้อยละ 53.50 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ใช้งานที่บ้าน ร้อยละ 82.25 ความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัย ประกอบด้วย (1) การจัดการเทคโนโลยี ดิจิทัลเพื่อสร้างความสุขของผู้สูงวัย พบว่า ผู้สูงวัยมีฮาร์ดแวร์ที่สามารถเอื้ออำนวยต่อการใช้งาน เทคโนโลยีดิจิทัลได้ตามจุดมุ่งหมาย โดยใช้งานแอปพลิเคชันเพื่อสร้างความสุข ความบันเทิงให้ตนเอง และสามารถใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้สะดวกและรวดเร็ว เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต (2) การยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัล พบว่า ผู้สูงวัยมีการใช้งานและยอมรับการเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัล ด้วยรับรู้ถึงความง่ายของการดำเนินชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนรวดเร็ว มีความสะดวกในการใช้งาน สามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา และผู้สูงวัยยังได้รับรู้ถึงความมั่นคงปลอดภัยที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน ประเด็นด้านความสุขของผู้สูงวัย พบว่า ผู้สูงวัยส่วนมากมีความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล สำหรับด้านการรับรู้ข้อมูลในการดูแลช่วยเหลือตนเองได้จากเทคโนโลยีดิจิทัล และดัชนีชี้วัด สุขภาพจิตคนไทย พบว่า ความสุขของผู้สูงวัยมาจากสมาชิกในครอบครัวมีความรักและผูกพันต่อกัน ตลอดจนความรู้สึกตนเองมีความมั่นคงปลอดภัยเมื่ออยู่กับครอบครัว เมื่อวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีดิจิทัลและปัจจัยการจัดการเทคโนโลยี ดิจิทัลที่ส่งผลต่อความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัย พบว่า แม้ว่าระดับความง่ายใน การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในภาพรวมจะอยู่ในระดับมากแต่กลับไม่ส่งผลถึงความสุขจากการใช้งาน เทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัย อาจมีสาเหตุจากการที่ผู้สูงวัยส่วนมากใช้งานแอปพลิเคชันเฉพาะที่ใช้งานประจำจนเกิดความเคยชิน ส่วนเรื่องการจัดหาสมาร์ตโฟนและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้นได้มาจากความช่วยเหลือของบุตรหลานเป็นหลัก จึงไม่ได้รู้สึกว่าการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลนั้นง่ายหรือยาก ส่วนปัจจัยอื่นทุกตัวได้แก่ (1) การรับรู้ความสะดวกสบายในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล (2) การรับรู้ความมั่นคงปลอดภัยในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล และ (3) การรับรู้ประโยชน์ในการใช้งาน เทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลทางบวกไปในทิศทางเดียวกันกับการเปลี่ยนแปลงของความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัยโดยร่วมกันอธิบายการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรตามได้ร้อยละ 69.80 ส่วน อิทธิพลของปัจจัยการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลที่ส่งผลต่อความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัย พบว่า การใช้งานระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่ส่งผลถึงความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัย ส่วนปัจจัยอื่นได้แก่ (1) บุคลากรผู้สูงวัยที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (2) การใช้งาน ซอฟต์แวร์เพื่องานเทคโนโลยีดิจิทัล และ (3) การใช้งานฮาร์ดแวร์เพื่องานเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งผลทางบวกไปในทิศทางเดียวกันต่อการเปลี่ยนแปลงของความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการใช้บริการพร้อมเพย์ได้ถึงร้อยละ 52.00 ตามลำดับ การศึกษาสหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัยกับดัชนีชี้วัดความสุขโดยใช้สหสัมพันธ์ของเพียร์สันพบว่า ปัจจัยความสุขจากการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลของผู้สูงวัยส่วนมากมีความสัมพันธ์ทางบวกขนาดน้อยกับดัชนีชี้วัดความสุข มีเพียงบางปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กันทางบวกขนาดปานกลาง ได้แก่ (1) ผู้สูงวัยรู้สึกเป็นสุขในการช่วยเหลือผู้อื่นที่มีปัญหา (2) ผู้สูงวัยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นเมื่อมีโอกาส และ (3) ผู้สูงวัยรู้สึกภูมิใจในตนเอง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.527 ถึง 0.600 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพประเด็นที่เป็นข้อค้นพบสำคัญ 3 ประเด็น ได้แก่ (1) การจัดการ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความสุขของผู้สูงวัย พบว่า ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ไม่ได้จัดการเรื่องอุปกรณ์การใช้งาน และระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยตนเอง แต่จะมีสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนเป็นผู้ดูแลและช่วยเหลือให้สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น ส่วนประเด็นด้านซอฟต์แวร์ ผู้สูงวัยส่วนใหญ่จะใช้งานแอปพลิเคชันที่ออกแบบให้มีการใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ได้แก่ ไลน์ ยูทูป เฟซบุ้ค เพื่อติดต่อสื่อสารเป็นประจำ ทำให้ไม่มีปัญหาด้านการใช้งาน แต่ผู้สูงวัยยังมีความต้องการที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้งาน ด้านอื่นเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพ การตกแต่งภาพ การใช้แอปพลิเคชันเพื่อสุขภาพ เป็นต้น (2) การส่งเสริมการเรียนรู้ดิจิทัลของผู้สูงวัย พบว่า การเรียนรู้และใช้งานของผู้สูงวัยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ การเรียนรู้จากเพื่อนสมาชิกในครอบครัว หรือสมาชิกเครือข่าย จะเป็นการเรียนรู้เพื่อนำไปใช้งานอย่างง่าย และการเรียนรู้ผ่านการอบรมของชุมชน/เทศบาลที่ได้จัดส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ก่อให้เกิดกลุ่มเครือข่ายของผู้สูงวัยในชุมชนที่จะแลกเปลี่ยนและกระจายข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสมาชิกและชุมชน (3) ปัญหาและอุปสรรค ในการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างความสุขของผู้สูงวัยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ (3.1) ด้านค่าใช้จ่าย ทั้งที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ตรายเดือน (3.2) ด้านอุปกรณ์หรือสมาร์ตโฟนที่ขนาดหน้าจอที่ขนาดเล็กอาจจะเป็นอุปสรรคต่อสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งานจากปัญหาด้านสายตาพร่ามัวหรือปัญหานิ้วล็อกของผู้สูงวัยแม้ว่าจะปรับขนาดตัวอักษรให้มีขนาดใหญ่แล้วก็ตาม และ (3.3) ด้านการเรียนรู้การใช้งานของผู้สูงวัยเองที่บางคนอาจจะต้องเรียนรู้ซ้ า ๆ และใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถจำวิธีการใช้งานได้ และใช้งานได้เฉพาะโปรแกรมที่ไม่มีความซับซ้อน ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ ได้แก่ กรมกิจการผู้สูงอายุ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถนำข้อมูลไปเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย ควรให้ความรู้หรือการอบรมการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลแก่ผู้สูงวัย เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงแบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือมีค่าใช้จ่ายในราคาที่น้อยลง รวมถึงการส่งเสริมให้หน่วยงาน ภาครัฐในระดับชุมชนให้ความสำคัญกับผู้สูงวัยอย่างเท่าเทียมกันทั้งในชุมชนเมืองและชุมชนชนบท