ผลของการตัดข้อสอบที่มีอำนาจจำแนกติดลบออกต่อคะแนนการสอบ และความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ: กรณีศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
Journal Title
ผลของการตัดข้อสอบที่มีอำนาจจำแนกติดลบออกต่อคะแนนการสอบ และความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ: กรณีศึกษาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
Recommended by
Abstract
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาย้อนหลังจากชุดข้อสอบที่ใช้ในการสอบนักศึกษาชั้นปีที่ 1-4 ใน ปีการศึกษา 2555 ภาคการศึกษาที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง เลือกจากข้อสอบ และคะแนนการสอบของรายวิชาที่มีการวัดและประเมินผลโดยใช้ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choices) 4 ตัวเลือก ทั้ง วิชาในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป หมวดวิชาเฉพาะ และหมวดวิชาเลือกเสรี จำนวนทั้งสิ้น 11 วิชา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณภาพของข้อสอบของคณะพยาบาลศาสตร์ 2) การเปลี่ยนแปลงของคะแนนสอบรายวิชาและอันดับก่อนและหลังการตัดข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกติดลบออก และ 3) การเปลี่ยนแปลงค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับก่อนและหลังการตัดข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกติดลบออก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบบันทึกข้อมูลที่ผู้วิจัยใช้สำหรับเก็บข้อมูลแต่ละรายวิชา และโปรแกรมการวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อ (Items Analysis) สถิติที่ใช้ในงานวิจัย ประกอบด้วย Paired t-test (one-tailed), Sign Ranked test และ Pearson’s Product Moment Correlation ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อสอบทั้งหมด 1,969 ข้อ จาก 11 วิชา จำนวน 26 ฉบับ จากจำนวนนักศึกษาที่เข้าสอบทั้งหมด 332 คน พบว่า 1) ในด้านคุณภาพข้อสอบ เมื่อพิจารณาจากดัชนีความยากง่าย (P) พบว่า ข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายในเกณฑ์ที่เหมาะสม (P อยู่ระหว่าง .20-.80) มีจำนวนรวม 1,384 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 70.39 ด้านค่าอำนาจจำแนก (r) พบว่า ข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกในเกณฑ์ที่เหมาะสม (r ≥ .20) มี จำนวน 1,020 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 51.80 ข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกติดลบ มีจำนวน 138 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 7.05 ส่วนคุณภาพของข้อสอบทั้งฉบับ พบว่า ข้อสอบที่มีค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น .70 ขึ้นไป มีจำนวน 10 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 38.46 2) ผลการเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยที่นักศึกษาได้รับก่อนและหลังการตัดข้อสอบที่ มีค่า r ติดลบออก โดยสถิติ Paired t-test (one-tailed) พบว่า นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (p value < 0.025) จากข้อสอบจำนวน 21 ฉบับ (คิดเป็นร้อยละ 80.77 ของจำนวนชุดข้อสอบทั้งหมด) คะแนนลดลง 1 ฉบับ (คิดเป็นร้อยละ 0.10) ที่เหลืออีก 4 ฉบับไม่พบว่า คะแนนเฉลี่ยของนักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α = 0.05 3) ผลการทดสอบการเปลี่ยนแปลงของลำดับที่ของนักศึกษา ก่อนและหลังการตัดข้อสอบที่มีค่า r ติดลบออก โดยสถิติ Signed Rank Test พบว่า ลำดับที่ของนักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p value < 0.05) จากข้อสอบจำนวน 21 ฉบับ (ร้อยละ 80.77) ที่เหลืออีก 5 ฉบับคะแนนของนักศึกษาไม่มีการเปลี่ยนแปลงลำดับที่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ α = 0.05 4) ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ ก่อนและหลังการตัดข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกติดลบออก โดยใช้สถิติ Paired t-test (one-tailed) พบว่า ค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ หลังการตัดข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกติดลบออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ α = 0.05 (t = 4.49, df = 25, p value < 0.025) และผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างร้อยละของข้อสอบที่ค่า r ติดลบกับค่าความเชื่อมั่นที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยสถิติ Pearson’s Product Moment Correlation พบว่า มีความสัมพันธ์กันในเชิงบวก (r = .667) ที่ α = 0.05
