แนวทางการจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็กปฐมวัยเพื่อป้องกันการขาดไอโอดีนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
Journal Title
แนวทางการจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็กปฐมวัยเพื่อป้องกันการขาดไอโอดีนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
Recommended by
Abstract
การวิจัยครั้งนี้ได้ทำการเก็บตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใน 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา สุรินทร์ ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ ประชากรกลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2-5 ปี จำนวนทั้งสิ้น 419 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือการ ตรวจวัดปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะของเด็กก่อนวัยเรียน แบบทดสอบพัฒนาการของเด็กก่อนวัยเรียนและรายการอาหารที่เสริมไอโอดีน เพื่อทดสอบความพึงพอใจในแต่ละรายการอาหาร ผลการวิจัย พบว่า ปริมาณไอโอดีนที่ตรวจวัดได้จากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวน 12 ศูนย์ พบปริมาณไอโอดีนที่ตรวจวัดได้มีค่าระหว่าง 45-1,316.5 ไมโครกรัมต่อลิตร ค่าเฉลี่ยที่ตรวจวัดได้คือ 284.98 ไมโครกรัมต่อลิตร ค่าสูงสุดอยู่ที่ 1,316.5 ไมโครกรัมต่อลิตรมาจากตัวอย่างปัสสาวะของเด็กเล็กรหัสตัวอย่าง S1-059 จากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านนาบัว จังหวัดสุรินทร์ และ ค่าต่ำสุดอยู่ที 45 ไมโครกรัมต่อลิตร จากตัวอย่างปัสสาวะของเด็กเล็กจากรหัสตัวอย่าง B1-009 จากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดบ้านตลาดชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ปริมาณไอโอดีนที่ตรวจวัดได้จากกลุ่มตัวอย่างมีค่าไอโอดีนต่ำกว่ามาตรฐาน จำนวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 5.01 และมีค่าไอโอดีนสูงกว่ามาตรฐาน จำนวน 169 คน คิดเป็นร้อยละ 40.33 และเมื่อทำการศึกษาพัฒนาการของเด็กที่มีปริมาณไอโอดีนในปัสสาวะต่ำหรือสูงกว่ามาตรฐาน พบว่า เด็กที่อยู่ในจังหวัดชัยภูมิ มีพัฒนาการที่ดีถึงแม้ว่าปริมาณของไอโอดีนที่ตรวจพบจะต่ำกว่าหรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนการทดสอบความพึงพอใจในรายการอาหารเสริมไอโอดีน พบว่า เด็กก่อนวัยเรียนมีความชอบในรายการอาหารคาวคือ ไก่กรอบทอด ผักทอดเทมปุระ บะหมี่น้ำ โดยมีค่าความชอบเฉลี่ย 2.74, 2.35 และ 2.31 ตามลำดับ และมีความชอบในรายการอาหารหวาน คือ กล้วยหอม กล้วยบวชชี และมันสำปะหลังเชื่อม โดยมีค่าความชอบเฉลี่ย 2.97, 2.05, 1.59 ตามลำดับ
