การประเมินความสัมพันธ์ของปัจจัยของพืชพรรณที่มีต่อการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ภาคเหนือ
Journal Title
การประเมินความสัมพันธ์ของปัจจัยของพืชพรรณที่มีต่อการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ภาคเหนือ
Recommended by
Abstract
การทดลองครั้งนี้ใช้การวางแผนการทดลองแบบเชิงสำรวจ (Survey research) โดยการศึกษาแบบภาคตัดขวาง (Cross sectional study) พื้นที่อำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ จำนวน 3 ตำบล ได้แก่ ร้องกวาง ทุ่งศรี และร้องเข็ม รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 73.24 ตารางกิโลเมตร (45,775 ไร่) หมู่บ้านทั้งสิ้น 28 หมู่บ้าน โดยสุ่มตัวอย่างพื้นที่การเกษตรบนที่สูงโดยเทคนิคแบบชั้นภูมิ หรือ stratified sampling ซึ่งได้ จำนวนตัวอย่างศึกษา รวม 29 พื้นที่ รวมถึงพืชพรรณที่ขึ้นอยู่โดยรอบบริเวณ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการกัดเซาะของดิน ในพื้นที่เพาะปลูกที่สูงในจังหวัดแพร่ และ ศึกษาสมบัติทางวิศวกรรมของพืชพรรณในการลดการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่เพาะปลูกที่สูงในจังหวัดแพร่ รวมถึงประเมินความสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อการกัดเซาะของดิน ในพื้นที่เพาะปลูกที่สูงในจังหวัดแพร่ โดยพบว่า การเกษตรกรรมบนพื้นที่สูง มีการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งสิ้น และมีพืชคลุมดินในพื้นที่เป็นหญ้า ซึ่งจากการนำดินตัวอย่างทั้ง 29 ตัวอย่างไปวิเคราะห์เพื่อหาชุดดินพบว่า โดยส่วนใหญ่เป็นชุดที่ 47 C D และ E และชุดดินที่ 55 C D และ E ซึ่งมีสมบัติเป็นดินร่วนปนทราย มีค่ายึดตัวของดินปานกลาง และมีค่าความเหนียวของดินน้อยถึงปานกลาง มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่สูง มีความชันเฉลี่ยร้อยละ 10 โดยส่วนใหญ่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยการเกษตรกรรมพื้นที่สูง ซึ่งเมื่อพิจาณาปัจจัยอื่นร่วมทั้ง ปัจจัยความคงทนต่อการชะล้างพังทลายของดิน ปัจจัยความยาวและลาดชันของความลาดเท ปัจจัยเกี่ยวกับการจัดการพืช ปัจจัยเกี่ยวกับการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน สัมประสิทธิ์ปัจจัยการจัดการพืชและการป้องกันการชะล้างพังทลาย โดยนำมาวิเคราะห์ผ่านสมการการสูญเสียดินสากล (USLE) พบว่า ตัวอย่างทั้ง 29 ตัวอย่างมีการชะล้างพังทลายของดินอยู่ในช่วงรุนแรงและรุนแรงมาก คือ 86.44 -187.32 ตัน/เฮคแตร์/ปี ขณะที่ผลการศึกษาสมบัติทางวิศวกรรมของพืชและความสัมพันธ์ของพืชพรรณต่อการชะล้างพังทลายของดิน โดยใช้กระถินไทยที่มีความสามารถในการดำรงชีวิตของตนเองในสภาวะที่เลวร้ายได้ดี ขึ้นง่าย ดูแลง่าย โดยพิจารณาความสามารถในการยึดเกาะของดินเมื่อดินมีความชื้นในดินสูงขึ้น โดยการพิจารณาสมบัติของรากกระถินตามอายุ ซึ่งได้แก่ 3 5 7 9 และ 11 เดือน ตามลำดับ ซึ่งผลการศึกษาสมบัติทางวิศวกรรมโดยเฉพาะค่า tensile ของรากกระถินช่วงอายุต่างๆ พบว่ามีความสามารถในการทนแรงดึงจากสภาวะภายนอกได้ดี โดยขึ้นอยู่กับเส้นผ่านศูนย์กลางของราก ซึ่งขนาดของรากใหญ่กระถินจะมีความสามารถในการทนต่อแรงดึงสูงขึ้น ซึ่งสามารถต้านทานแรงลมที่มากระกระทำโยตรงได้ดี อีกทั้งสมบัติของรากที่มีการแตกตัวออกไปตามแนว VH หรือ แนวขวางและแนวดิ่งทำให้รับแรงดึงได้ดี รวมถึงรากยึดหรือ (anchor root) มีความยาวถึง 3 เมตรทำให้รับแรงดึงได้สูงมาก ขณะที่รากของกระถินสามารถเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะของดินในบริเวณรัศมีของรากกระถินให้ยึดเกาะกันได้ดี
