การศึกษาศักยภาพการพัฒนาเกษตรอินทรีย์บนพื้นที่สูง : กรณีศึกษาพื้นที่เกษตรชุมชนชาวกะเหรี่ยง หมู่บ้านตะเพินคี่ จังหวัดสุพรรณบุรี

Date
ISBN
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Resource Type
Publisher
Views
Views3
Usage analytics
Journal Title
การศึกษาศักยภาพการพัฒนาเกษตรอินทรีย์บนพื้นที่สูง : กรณีศึกษาพื้นที่เกษตรชุมชนชาวกะเหรี่ยง หมู่บ้านตะเพินคี่ จังหวัดสุพรรณบุรี
Recommended by
Abstract
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษาสภาพแวดล้อมทั่วไปของพื้นที่ทำการเกษตรของชุมชนชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านตะเพินคี่ 2) เพื่อศึกษาบริบทการทำการเกษตรปัจจุบัน รวมทั้งความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ 3) เพื่อ วิเคราะห์หาจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT) ในการพัฒนาการเกษตรอินทรีย์ และ 4) นำเสนอแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งประชากรเป้าหมายที่ใช้ใน การศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย เกษตรกรชาวกะเหรี่ยงตะเพินคี่ จำนวน 57 ครัวเรือนและเจ้าหน้าที่ อุทยานแห่งชาติพุเตยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำเกษตรของชาวกะเหรี่ยงตะเพินคี่ จำนวน 1 คน ผลจากการวิจัยพบว่า 1. สภาพแวดล้อมทั่วไปของพื้นที่ทำการเกษตรของชุมชนชาวกะเหรี่ยงบ้านตะเพินคี่ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างดอนและโล่งแจ้ง อยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม และจากทางหลวงสายหลัก เนื่องจากอยู่ในเทือกเขาสลับซับซ้อน สำหรับแหล่งน้ำที่ใช้ในการทำเกษตรเป็นแหล่งน้ำจากบริเวณต้นน้ำ จึงไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมีหรือสารพิษโดยตรง แต่อาจได้รับการปนเปื้อนจากสารเคมีทางการเกษตรในบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ยังพบว่าพื้นที่ทำเกษตรส่วนใหญ่ทำการเกษตรแบบใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีมาเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี ซึ่งการทำการเกษตรดังกล่าวเป็นปัญหา และอุปสรรคต่อการทำเกษตรอินทรีย์ที่สำคัญมาก 2. บริบทของการทำการเกษตรและความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมดประกอบอาชีพทำการเกษตรมาเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ปีขึ้นไป และพืชที่ปลูกส่วนใหญ่คือ ข้าวโพด รองลงมาคือ ข้าวไร่ และมีจำนวนพื้นที่ทำการเกษตรมากกว่า 26 ไร่ขึ้นไปต่อครัวเรือน ลักษณะการถือครองที่ดินทำการเกษตรคือเป็นเจ้าของ (โดยได้รับการจัดสรรให้ครอบครองที่ดินทำกินจากอุทยานแห่งชาติพุเตยฯ) มีการทำการเพาะปลูกพืชปีละ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูกพืช โดยใช้ตามปริมาณที่แนะนำในคู่มือ ระยะเวลาในการใช้สารเคมีตั้งแต่อดีต-ปัจจุบัน มากกว่า 6 ปีขึ้นไป ซึ่งวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ใช้สารเคมีเพื่อกำจัดหญ้าและวัชพืช รองลงมาเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิต และเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่เคยอบรมเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ มีบางคนที่เคยอบรมบ้างแต่ไม่เคยนำระบบเกษตรอินทรีย์มาใช้ส่วนความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเรื่องที่มีความรู้มากที่สุดคือรู้ว่าเกษตรกรที่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูกมักมีปัญหาสุขภาพเรื้อรังอยู่ตลอดเวลา รองลงมามีความรู้ว่าสารสกัดจากพืชสมุนไพร เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้หอม กระเพรา โหระพา สามารถช่วยป้องกันและกำจัดแมลงได้ ตามลำดับ และเรื่องที่ไม่มีความรู้มากที่สุด คือเรื่องผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์มีราคาถูกกว่าผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูกโดยใช้สารเคมี รองลงมาคือ การเพาะปลูกพืชโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างต่อเนื่องและระยะยาวจะทำให้ได้ผลผลิตลดลง ตามลำดับ 3. จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT Analysis) ในการพัฒนาการทำเกษตรอินทรีย์ พบว่า จุดแข็ง (Strengths) มีดังนี้ 1) พื้นที่เหมาะต่อการทำเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากเป็นพื้นที่ค่อนข้างดอนและโล่งแจ้ง อยู่ห่างจากโรงงานอุตสาหกรรม และทางหลวงสายหลัก 2) มีแหล่งน้ำที่เหมาะต่อการทำเกษตรอินทรีย์ เพราะปลอดจากสารพิษปนเปื้อน เนื่องจากเป็นแหล่งน้ำบริเวณ ต้นน้ำ 3) เกษตรกรส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสนใจการทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น จุดอ่อน (Weaknesses) 1) พื้นที่ทำการเกษตรปัจจุบันมีการใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี มามากกว่า 10 ปี 2) เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ 3) เกษตรกรส่วนใหญ่มีพฤติกรรมที่เคยชินและยึดติดกับการทำเกษตรแบบใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมี 4) ยังไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลักเข้ามาให้การสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่องโอกาส (Opportunities) มีดังนี้ 1) ผลผลิตที่มาจากการทำเกษตรอินทรีย์เป็นที่ต้องการของตลาด 2) ผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูกแบบเกษตรอินทรีย์มีราคาสูงกว่าผลผลิตที่ได้จากการเพาะปลูกโดยใช้สารเคมี 3) ตลาดเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยและต่างประเทศมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 4)อุทยานแห่งชาติพุเตยพร้อมให้การส่งเสริมและสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกร อุปสรรค (Threats) มีดังนี้ 1) ดินในพื้นที่เพาะปลูกขาดความอุดมสมบูรณ์และเสื่อมโทรมซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูค่อนข้างนาน 2) การทำเกษตรอินทรีย์มีกระบวนการที่ซับซ้อน ต้องใช้ระยะเวลานานจึงจะได้ผลผลิต ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่มีหนี้สินและภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบ 3) การทำเกษตรอินทรีย์ ต้องใช้ความขยันหมั่นเพียรและมีความอดทนสูง ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดคุณสมบัติข้อนี้และยังยึดติดกับการทำเกษตรแบบใช้สารเคมีอยู่ จากข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษาวิจัยทั้งหมด สรุปได้ว่าพื้นที่ทำการเกษตรของชุมชน ชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านตะเพินคี่ ยังมีศักยภาพไม่เพียงพอที่จะพัฒนาการทำเกษตรอินทรีย์ได้ภายใน 1 ปี การพัฒนาและส่งเสริมให้ทำการเกษตรอินทรีย์จำเป็นต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไป โดยช่วงระยะแรกก่อนปรับเปลี่ยนไปเป็นเกษตรอินทรีย์ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกร รวมทั้งการฟื้นฟูด้านพื้นที่ทำเกษตรให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักแห่งความสำเร็จของการเกษตรอินทรีย์ สำหรับแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกรชาวกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ช่วงระยะปรับเปลี่ยนจากเกษตรเคมีไปสู่เกษตรอินทรีย์ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบควรนำไปพิจารณาเพื่อเป็นแนวทาง มีดังนี้ 1) ควรมีการส่งเสริมโดยจัดอบรมให้ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรกร รวมทั้งมีการติดตาม ให้คำปรึกษาแนะนำหลังการอบรมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง 2) ควรสร้างเครือข่ายและแกนนำเกษตรกรที่เป็นผู้น าชุมชน เพื่อช่วยปลุกจิตสำนึกและปรับทัศนคติด้านการทำเกษตรเคมีมาเป็นเกษตร อินทรีย์ให้กับเกษตรกร 3) ควรมีการกระตุ้นและส่งเสริมให้เกษตรกรเห็นความสำคัญของการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยชีวภาพ ในการเพาะปลูกเพื่อช่วยปรับปรุงบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์ 4) ควรมีการกระตุ้นและส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกษตรกรลดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง 5) ควรส่งเสริมเกษตรกรให้หันมาสนใจการทำเกษตรอินทรีย์อย่างจริงจัง โดยจัดให้มีการศึกษาดูงาน การทำเกษตรอินทรีย์ จากเกษตรกรต้นแบบหรือเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ ที่ประสบความสำเร็จ 6) อุทยานแห่งชาติพุเตย ควรมีการประสานความร่วมมือไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงด้านการเกษตรในการเข้ามาช่วยดำเนินการเรื่องเกษตรอินทรีย์อย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามเพื่อให้การพัฒนาและส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์แก่เกษตรชุมชนชาว กะเหรี่ยงหมู่บ้านตะเพินคี่ ในช่วงระยะปรับเปลี่ยนจากการทำเกษตรเคมีไปสู่เกษตรอินทรีย์ ประสบความสำเร็จ หน่วยงานภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ควรสนับสนุนและส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรชาวกะเหรี่ยงตะเพินคี่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้านการทำเกษตรอินทรีย์สืบต่อไป