ผลการตัดข้อสอบที่มีอำนาจจำแนกติดลบออกต่อคะแนนการสอบและความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ: รายวิชาพยาธิวิทยา
Journal Title
ผลการตัดข้อสอบที่มีอำนาจจำแนกติดลบออกต่อคะแนนการสอบและความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ: รายวิชาพยาธิวิทยา
Recommended by
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณภาพของข้อสอบ การเปลี่ยนแปลงของคะแนนเฉลี่ย และอันดับของการสอบของนักศึกษารายบุคคล ก่อนและหลังการตัดข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกติดลบออก การเปลี่ยนแปลงของค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบ ก่อนและหลังการตัดข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกติดลบออก ในรายวิชาพยาธิวิทยา โดยประชากรและกลุ่มตัวอย่างคือ ข้อสอบและคะแนนการสอบรายวิชาการพยาบาลฉุกเฉินและสาธารณภัยของนักศึกษา หลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต ชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาการพยาบาลฉุกเฉินและสาธารณภัยในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2555 โดยใช้โปรแกรมการวิเคราะห์ข้อสอบรายข้อ ( Items Analysis) สถิติที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วย Paired t-test (one-tailed) และ Sign Ranked test ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากข้อสอบจำนวน 3 ฉบับ เป็นข้อสอบย่อย ครั้งที่ 1 จำนวน 105 ข้อ ข้อสอบย่อย ครั้งที่ 2 จำนวน 65 ข้อ และปลายภาค 105 ข้อ พบว่า 1) ในด้านคุณภาพข้อสอบ เมื่อพิจารณาจากดัชนีความยากง่าย (P) พบว่า ข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายในเกณฑ์ที่เหมาะสม (P อยู่ระหว่าง .20-.80) ข้อสอบย่อยครั้งที่ 1 มีจำนวนรวม 49 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 46.67 ข้อสอบย่อยครั้งที่ 2 มีจำนวนรวม 39 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 60 ข้อสอบปลายภาคมีจำนวน 74 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 70.47 ด้านค่าอำนาจจำแนก (r) พบว่า ข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกในเกณฑ์ที่เหมาะสม (r≥ 0.20) ข้อสอบย่อยครั้งที่ 1 มีจำนวน 51 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 49.52 ข้อสอบย่อยครั้งที่ 2 มีจำนวน 27 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 41.54 ข้อสอบปลายภาคมีจำนวน 55 ข้อ คิดเป็นร้อยละ 52.38 ทั้งนี้ข้อสอบที่มีค่าอำนาจจำแนกติดลบ (r = -1.00-0.00) ข้อสอบย่อยครั้งที่ 1 มี 12 ข้อ (11.43%) ข้อสอบย่อยครั้งที่ 2 มี 5 ข้อ (7.69%) และ ปลายภาคมี 8 ข้อ (7.62%) ส่วนคุณภาพของข้อสอบทั้งฉบับ พบว่าข้อสอบย่อยครั้งที่ 1 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.807 เมื่อตัดข้อสอบที่มีค่า r ติดลบ ออกทำให้ค่าความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเป็น 0.822 ข้อสอบย่อยครั้งที่ 2 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.744 เมื่อตัดข้อสอบที่มีค่า r ติดลบ ออกทำให้ค่าความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเป็น 0.758 ข้อสอบปลายภาค มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.812 เมื่อตัดข้อสอบที่มีค่า r ติดลบ ออกทำให้ค่าความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเป็น 0.835 2) ผลการเปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยที่นักศึกษาได้รับ ก่อนและหลังการตัดข้อสอบที่มีค่า r ติดลบออก โดยสถิติ Paired t-test (one- tailed) พบว่า การสอบย่อยครั้งที่ 1 คะแนนเฉลี่ยของนักศึกษา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α=0.05 (t =-29.31, p-value <0.025) การสอบย่อยครั้งที่ 2 คะแนนเฉลี่ยของนักศึกษา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α=0.05 (t =-3.53, p-value <0.025) ส่วนการสอบปลายภาคนักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α=0.05 (t = -17.83, p-value <0.025) 3) ผลการทดสอบการเปลี่ยนแปลงของลำดับที่ของนักศึกษา ก่อนและหลังการตัดข้อสอบที่มีค่า r ติดลบออก โดยสถิติ Sign Ranked test พบว่าการสอบย่อยครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 และการสอบปลายภาคมีการเปลี่ยนแปลงลำดับที่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ α =0.05
