การพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางลดริ้วรอยและป้องกันภาวะผิวแห้ง จากว่านห่างจระเข้และว่านเพชรหึง

dc.contributor.authorฤทธิพันธ์ รุ่งเรือง
dc.contributor.authorวิทวัส รัตนถาวร
dc.contributor.authorทัศนีย์ พาณิชย์กุล
dc.contributor.authorณัฐพร บู๊ฮวด
dc.contributor.authorอมรรัตน์ สีสุกอง
dc.contributor.authorดวงเนตร ธรรมกุล
dc.contributor.authorอรทัย โกกิลกนิษฐ
dc.contributor.authorนภัสสร เพียสุระ
dc.date.accessioned2025-03-18T06:37:22Z
dc.date.accessioned2025-09-03T03:46:46Z
dc.date.available2025-03-18T06:37:22Z
dc.date.available2025-09-03T03:46:46Z
dc.date.issued2023
dc.description.abstractการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากว่านหางจระเข้ (หอมขจรฟาร์ม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต) และว่านเพชรหึง (ส่วนใบ ลำต้นเทียม และราก) พบว่า ว่านหางจระเข้มีปริมาณสารฟินอลิกรวมและฟลาโวนอยด0รวม เท่ากับ 2.66±0.09 mg GAE/g extract และ 1.29±0.21 mg QE/g extract ตามลำดับ นอกจากนี้ว่านหางจระเข้ยังพบสารประกอบในกลุ่ม Anthraquinones และ Anthranols อีก 13 ชนิด โดยมีปริมาณ Aloin A และ Aloin B เท่ากับ 47.54±0.22 mg/L และ 35.85±0.16 mg/L ตามลำดับสารเหล่านี้แสดงฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และสมานแผลในเซลล์ผิวหนังมนุษย์ สำหรับว่านเพชรหึง พบว่า ส่วนใบให้ร้อยละสารสกัดสูงที่สุด รองลงมาคือ ลำต้นเทียม และราก ตามลำดับ สอดคล้องกับปริมาณฟินอลิกรวม โดยมีปริมาณเท่ากับ 69.26±0.99, 61.16±1.06 และ 33.40±0.45 mg GAE/g extract ตามลำดับ และมีปริมาณ ฟลาโวนอยด0รวมเท่ากับ 129.35±1.93, 56.25±0.45 และ 52.89±0.51 mg QE/g extract ตามลำดับ โดยเมื่อวิเคราะห์สารสำคัญดBวย Liquid chromatography in combination with hybrid quadrupole time-of-flight mass spectrometry (LC–QTOF-MS) พบว่า สารสกัดจากส่วนใบพบ Arginine, Choline, Trigonelline, Gastrodin, Vitexin และ Orientin เมื่อนำสารสกัด ส่วนใบมาทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ผิวหนังของคน พบว่า ความเข้มข้นของสารสกัด 1,000 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร เซลล์มีอัตราการรอดชีวิต เท่ากับ ร้อยละ 105.06±2.08% และมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ matrix metalloproteinase-2 (MMP-2) ในเซลล์ผิวหนังของคนเท่ากับ 83.51±2.89% และยังสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อิลาสติน และสมานแผลในเซลล์ผิวหนังมนุษย์ได้ สำหรับมาตรฐานของสารสกัดทั้ง 2 ชนิด พบว่า ไม่พบเชื้อจุลินทรีย์และโลหะหนัก จากนั้นนำสารสกัดว่านหางจระเข้ และว่านเพชรหึงผสมลงในสูตรตำรับ 4 ตำรับ คือ ตำรับที่ใส่สารสกัดว่านหางจระเข้ ร้อยละ 1 (F1) ตำรับที่ใส่สารสกัดว่านหางจระเข้ ร้อยละ 1 และสารสกัดว่านเพชรหึง ร้อยละ 1 (F2) ตำรับที่ใส่สารสกัดว่านหางจระเข้ ร้อยละ 1 และสารสกัดว่านเพชรหึง ร้อยละ 1.5 (F3) และ ตำรับที่ใส่สารสกัดว่านหางจระเข้ ร้อยละ 1 และสารสกัดว่านเพชรหึง ร้อยละ 2 (F4) ทำการทดสอบความคงตัวทางสภาวะเร่ง จำนวน 6 รอบ พบว่า ไม่เกิดการแยกชั้น มีการเปลี่ยนแปลงของสีความหนืด และค่าความเป็นกรด-ด่างเล็กน้อยแต่ลักษณะทางกายภาพไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นจึงนำตำรับสูตรที่ใส่สารสกัดว่านหางจระเข้ ร้อยละ 1 และสารสกัดว่านเพชรหึง ร้อยละ 2 มาทำการทดสอบการระคายเคืองด้วยวิธี patch test กับอาสาสมัครจำนวน 23 คน พบว่า มีคะแนนการระคายเคือง เท่ากับ 4.4 ซึ่งมีค่า Skin irritation score น้อยกว่า 5 หมายความว่ายังเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย
dc.identifier.urihttps://repository.dusit.ac.th/handle/123456789/12230
dc.publisherมหาวิทยาลัยสวนดุสิต
dc.subjectว่านห่างจระเข้
dc.subjectว่านเพชรหึง
dc.subjectเครื่องสำอาง
dc.subjectสารต้านอนุมูลอิสระ
dc.subjectคอลลาเจน
dc.subjectอิลาสติน
dc.subjectเวชสำอาง
dc.titleการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางลดริ้วรอยและป้องกันภาวะผิวแห้ง จากว่านห่างจระเข้และว่านเพชรหึง
mods.location.urlhttps://ebooks.dusit.ac.th/detail.php?recid=3707
Files
Collections