ผลกระทบจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรที่มีต่อการดื้อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรียในดินเพาะปลูก และในพื้นที่ชุมชนชาวกระเหรี่ยง หมู่บ้านตะเพินคี่ จังหวัดสุพรรณบุรี

Default Image
Date
ISBN
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Resource Type
Publisher
Views
Views2
Usage analytics
Journal Title
ผลกระทบจากการใช้สารเคมีทางการเกษตรที่มีต่อการดื้อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรียในดินเพาะปลูก และในพื้นที่ชุมชนชาวกระเหรี่ยง หมู่บ้านตะเพินคี่ จังหวัดสุพรรณบุรี
Recommended by
Abstract
การศึกษาข้อมูลในครั้งนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับผลของการใช้สารเคมีทางการเกษตรติดต่อกัน เป็นระยะเวลานานที่มีต่อแบคทีเรียก่อโรคในบริเวณพื้นที่เพาะปลูก และบริเวณชุมชนที่อาศัยอยู่ ใกล้เคียง โดยจะเป็นการศึกษาคุณสมบัติการดื้อต่อยาปฏิชีวนะควบคู่กับการทนทานต่อโลหะหนัก ซึ่งชุมชนที่ทำการศึกษาข้อมูลนั้น มีภูมิประเทศตั้งอยู่บนพื้นที่สูง และอยู่ใกล้เคียงกับอุทยานแห่งชาติทำการประกอบอาชีพทางการเกษตรโดยการปลูกพืชไร่เป็นหลัก มีการใช้สารเคมีทางการเกษตร ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ในที่นี้ทำการศึกษาโดยการคัดแยกอีโคไล จำนวน 260 สายพันธุ์จากดินเพาะปลูก ตะกอนดินแหล่งน้ำ และน้ำเบื้องต้นผลการทดสอบความไวต่อยาจำนวน 12 ชนิด พบว่า อีโคไลส่วนใหญ่จัดเป็นอีโคไลที่มีคุณสมบัติดื้อยาปฏิชีวนะ (80.0-100.0%) เมื่อพิจารณาจากค่า MAR index ซึ่งบ่งบอกถึงการดื้อยาปฏิชีวนะหลายชนิด พบว่า อีโคไลในดินเพาะปลูกหลังการเก็บเกี่ยวมีค่าสูงกว่าอีโคไลในดินระหว่างช่วงการเพาะปลูก โดยมีค่า 0.414-0.417 และ 0.293 ตามลำดับ ส่วนอีโคไลจากบริเวณชุมชนที่ศึกษา (ตะกอนดินแหล่งน้ำ) พบว่า มีระดับการดื้อยาที่รุนแรงกว่าอีโคไลจากพื้นที่เพาะปลูก โดยอีโคไลบริเวณตะกอนดินกลางชุมชนมีระดับการดื้อยาสูงสุดเมื่อเทียบกับจุดอื่น (MAR index = 0.500) เมื่อพิจารณาการดื้อยาปฏิชีวนะในแต่ละชนิด พบว่า อีโคไลที่ทดสอบ มีการดื้อยากลุ่ม Beta-lactam เช่น Cephem, Penicillin และ Beta-lactamase inhibitor combination ในระดับที่สูง โดยพบอยู่ในช่วง 60.0-85.0%, 66.7-95.0% และ 25.0-70.0% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตามการดื้อยาของอีโคไลในกลุ่ม Phenicol มีระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับยากลุ่มอื่น (5.0-26.7%) นอกจากนี้ยังมีการศึกษาความคล้ายคลึงของข้อมูลการดื้อยาปฏิชีวนะผ่านการจัดกลุ่มด้วยวิธี Hierarchical cluster ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ โดย cluster ที่ 1 คือ อีโคไลที่คัดแยกจากพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดมีลักษณะการดื้อยาปฏิชีวนะใกล้เคียงกันมาก และนอกจากนี้ยังมีลักษณะใกล้เคียงกันกับอีโคไลสายพันธุ์ที่พบจากตะกอนดินบริเวณต้นน้ำ แต่ไม่ได้มีความใกล้เคียงกันมากเท่ากับดินเพาะปลูกทั้ง 3 จุด และ cluster ที่ 2 คือ อีโคไลจากตะกอนดินแหล่ง น้ำบริเวณกลางชุมชน และบริเวณที่น้ำไหลผ่านชุมชนออกไป ทั้งนี้เนื่องจากการดำเนินกิจกรรมที่แตกต่างกันส่งผลให้รูปแบบการดื้อยาปฏิชีวนะที่ปรากฏแตกต่างกันออกไป อาทิเช่น กิจกรรมทางการเกษตรซึ่งมีการใช้สารเคมีต่างๆ และกิจกรรมการดำเนินชีวิตของผู้คนในชุมชน สำหรับผลการทดสอบความทนทานต่อโลหะหนักในอีโคไล โดยการหาค่า MIC (Minimum inhibitory concentration) กับโลหะหนักชนิดสังกะสี นิเกิล แคดเมียม ทองแดง และโครเมี่ยม พบว่า อีโคไลที่คัดแยกจากพื้นที่ที่อยู่ระหว่างช่วงที่มีการเพาะปลูกมีค่า MIC ของโลหะหนักทั้ง 5 ชนิด สูงที่สุด (705 2,560 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) รองลงมาคือ อีโคไลจากพื้นที่เพาะปลูกภายหลังการเก็บเกี่ยว (117.5 2,240 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) และบริเวณในชุมชน (427.5-1,680 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร) ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าอีโคไลพบตามพื้นที่เพาะปลูก และตะกอนดินในแหล่งน้ำบริเวณใกล้เคียงมีคุณสมบัติ การดื้อต่อยาปฏิชีวนะร่วมกับความทนทานต่อโลหะหนักเกิดขึ้น โดยโลหะหนักที่ทำการทดสอบนั้น จัดเป็นตัวแทนสารเคมีที่น่าจะเกิดการสะสมตามบริเวณที่ทำการทดสอบ แต่เมื่อมีการพักดินที่ทำการเพาะปลูกไว้ (หมายถึงไม่มีการสัมผัสสารเคมีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง) พบว่าคุณสมบัติความทนทานต่อโลหะหนักนั้นลดลง และยังพบอีกว่าโลหะหนักมีอิทธิพลในการเหนี่ยวนำให้ระดับการดื้อยาปฏิชีวนะเพิ่มสูงขึ้น อาทิเช่น ค่า MIC ของสังกะสีที่เพิ่มขึ้นมีความสัมพันธ์ต่อการเพิ่มระดับการดื้อยาปฏิชีวนะ ชนิด Tetracycline (R2=0.643), Sulfa- methoxazole (R2=0.955), และ Trimethoprim (R2= 0.955) และค่า MIC ของโลหะหนักชนิดอื่น (นิเกิล แคดเมียม ทองแดง และโครเมี่ยม) ยังมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการดื้อยาปฏิชีวนะชนิด Caftazidime (CAZ) (R2=0.723-0.974)
Description
Citation
View online resources
Collections