แนวคิดและรูปแบบของพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 7 กับการพัฒนา รูปแบบปฏิมากรรมร่วมสมัย
dc.contributor.author | สุดารัตน์ เทพพิมล | |
dc.date.accessioned | 2025-05-29T13:37:32Z | |
dc.date.available | 2025-05-29T13:37:32Z | |
dc.description.abstract | การวิจัยเรื่อง แนวคิดและรูปแบบของพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 4-รัชกาลที่ 7 กับการพัฒนารูปแบบปฎิมากรรมร่วมสมัย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดและรูปแบบของพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 4-รัชกาลที่ 7 และการพัฒนารูปแบบของปฏิมากรรมร่วมสมัย รวมทั้งนำเสนอแนวทางในการพัฒนาปฏิมากรรมร่วมสมัยโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์เอกสาร (Documentary Analysis) 2) แบบบันทึกการสนทนากลุ่มโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Focus Group) 3) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างสำหรับผู้เชี่ยวชาญ (Structured Interview) ผลการวิจัย พบว่าในสมัยรัชกาลที่ 4-รัชกาลที่ 7 ได้รับอิทธิพลทางแนวคิดทางวิทยาศาสตร์จากตะวันตก จึงส่งผลให้รูปแบบของพระพุทธปฏิมามีการปรับเปลี่ยนจากอิทธิพลทางด้านแนวคิดบวกกับความรู้ใหม่จากตะวันตกในเชิงช่างเกิดเป็นการผสมผสานรูปแบบของศิลปกรรมในอดีตอย่างกลมกลืน ประกอบด้วย 1) พระพุทธรูปที่สร้างใหม่โดยปฏิมากรในราชสำนักตามแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 4 คือ จากขมวดพระเกศาขึ้นไปไม่มีอุษณีษะ (เกตุมาลา) ละม้ายพระพุทธรูปแบบลังกา แต่ยังคงมีรัศมีรูปเปลวเพลิง พระกรรณสั้น ครองจีวรเป็นริ้วธรรมชาติแบบเหมือนจริง 2) พระพุทธรูปที่จำลองขึ้นจากรูปแบบประเพณีโบราณที่เคยมีมาในอดีต 3) พระพุทธรูปที่สร้างจากภาคประชาชนโดยมีรูปแบบที่หลากหลาย ด้วยฝีมือของศิลปินช่างพื้นบ้าน 4) พระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะเหมือนจริงแบบตะวันตก 5) พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากหัวเมืองอื่น 6) พระพุทธรูปแบบผสมผสานไทยประเพณีประยุกต์ วัสดุที่ใช้สร้าง ได้แก่ ทองคำลงยา เงิน สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง หยก ปูน และโลหะผสมอื่น ๆ ส่วนปฏิมากรรมร่วมสมัยหรือพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7 จนถึงปัจจุบัน มีลักษณะเป็นพหุลักษณ์ กล่าวคือผสมผสานอัตลักษณ์ของพระพุทธรูปโบราณ อาทิ แบบเชียงแสน สุโขทัย คันธาระ ยังคงมีแนวคิดของการอนุรักษ์ตามกรอบการสืบสานแบบประเพณีนิยมทางอุดมคติ ซึ่งปรากฏในมหาปุริสลักษณะ อิริยาบถนั่งยังคงอยู่ในกรอบสามเหลี่ยม ส่วนที่มีการต่อยอดผสมผสานแนวคิดสมัยใหม่ คือการครองจีวรแบบเหมือนจริง ถึงแม้จะมีการลดทอนลักษณะทางอุดมคติไปบ้าง ด้วยการแสดงกล้ามเนื้อเล็กน้อย แต่ยังต้องคงไว้ซึ่งลักษณะทางอุดมคติ เช่น เปลวรัศมี อุษณีษะ เพื่อแสดงความแตกต่างระหว่างมหาบุรุษและมนุษย์สามัญ แสดงความน่าเคารพบูชา ถือได้ว่าเป็นการสร้างสรรค์รูปแบบโดยปรับเปลี่ยนลักษณะที่คิดว่างดงามให้มีความโดดเด่น โดยยังคงไว้ซึ่งแนวคิดทางอุดมคติทางความงาม เชื่อมโยงให้เห็นปรัชญาทางพระพุทธศาสนาเห็นถึงความจริง จากความจริงภายนอก (Visual Image) สู่ความจริงภายในที่สงบ (Mental Image) พระพุทธรูปจึงเปรียบเสมือนตัวแทนของการประกาศธรรมของพระศาสดาที่ทำให้มนุษย์พ้นจากวัฎสงสาร จึงมีเหตุอันได้มาซึ่งรูปกายอันเป็นเลิศที่เป็นสมมุติสัจจะ (Conventional Truth) เมื่อปฏิบัติได้ตามคำสอนจึงหลุดพ้นจากสมมุติสัจจะเข้าสู่ปรมัตถสัจจะ (Absolute Truth) | |
dc.identifier.uri | https://repository.dusit.ac.th/handle/123456789/6952 | |
dc.publisher | มหาวิทยาลัยสวนดุสิต | |
dc.subject | ปฏิมากรรมร่วมสมัย พระพุทธรูป | |
dc.title | แนวคิดและรูปแบบของพระพุทธรูปสมัยรัชกาลที่ 4 - รัชกาลที่ 7 กับการพัฒนา รูปแบบปฏิมากรรมร่วมสมัย | |
mods.location.url | https://ebooks.dusit.ac.th/detail.php?recid=2821 |