โปรแกรมการเพิ่มความสามารถในการจัดการตนเองของบุคคลที่มีความดันโลหิตสูง: โดยการประยุกต์ใช้แบบจำลองการสร้างเสริมสุขภาพของเพ็นเดอร์ และทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม

Date
ISBN
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Resource Type
Publisher
Views
Views2
Usage analytics
Journal Title
โปรแกรมการเพิ่มความสามารถในการจัดการตนเองของบุคคลที่มีความดันโลหิตสูง: โดยการประยุกต์ใช้แบบจำลองการสร้างเสริมสุขภาพของเพ็นเดอร์ และทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
Recommended by
Abstract
การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองวัดก่อนและหลังการทดลอง (Pretest-posttest control group design) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโปรแกรมการเพิ่มความสามารถในการจัดการตนเองของบุคคลที่มีความดันโลหิตสูงโดยการประยุกต์ใช้แบบจำลองการสร้างเสริมสุขภาพของเพ็นเดอร์ และทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม 2) ประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมในกลุ่มตัวอย่างประชากรในการวิจัย คือ บุคคลที่มีภาวะความดันโลหิตสูงกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่บุคลากร คู่สมรส หรือญาติของบุคลากรมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์การคัดเข้ากลุ่มตัวอย่าง (Inclusion criteria) คำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G* Power version 3.1.3 โดยกำหนดให้ขนาดอิทธิพล (Effect size) 0.5, Power Analysis 0.8, α=0.05 ได้ขนาดตัวอย่าง 27 คนมีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง เข้ากลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมเป็นคู่ๆโดยวิธี Match-paired โดยคำนึงถึงระดับความดันโลหิต อายุ ระดับการศึกษา และลักษณะงานที่ทำ ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างในกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมอย่างละ 31 คน โปรแกรมการเพิ่มความสามารถในการจัดการตนเองของบุคคลที่มีความดันโลหิตสูงใช้เวลาทั้งหมด 20 สัปดาห์ ประกอบไปด้วยกิจกรรมหลักๆ ดังนี้ 1) ในสัปดาห์ที่ 1 กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมได้รับการประเมินก่อนการทดลอง และได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง ภาวะแทรกซ้อน และวิธีการจัดการตนเอง เพื่อควบคุมภาวะความดันโลหิตสูงพร้อมกัน 2) ในสัปดาห์ที่ 2, 4, 6 และ 8 เป็นกิจกรรมกลุ่มเพื่อพัฒนาทักษะในการจัดการตนเองทั้ง 7 ด้าน สำหรับกลุ่มทดลอง คือ การพัฒนาทักษะด้านการจำกัดการบริโภคโซเดียมการจำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์การลดอาหารไขมันและเพิ่มผัก ผลไม้และอาหารที่มีกากใยด้านการออกกำลังกายแบบแอโรบิคด้านการรักษาน้ำหนักของร่างกายด้านการบริหารจัดการความเครียดและด้านการปฏิบัติตามแผนการรักษาด้วยยา3) มีการประเมินหลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 10 และ ประเมินติดตามในสัปดาห์ที่ 12 และ 4) หลังจากนั้นดำเนินการตามโปรแกรมเช่นเดียวกันในกลุ่มควบคุมในสัปดาห์ ที่ 12-20 เพื่อพิทักษ์สิทธิของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่มควบคุม ประสิทธิผลของโปรแกรมการเพิ่มความสามารถในการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงประเมินจาก 1) ภาวะสุขภาพ ซึ่งประกอบด้วย ระดับความดันโลหิตซิสโตลิค ไดแอสโตลิค ดัชนีมวลกาย เส้นรอบวงเอว และผลการตรวจเลือดและปัสสาวะ ซึ่งสัมพันธ์กับการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูงได้แก่ HDL, LDL, Triglycerides และอัตราการกรองที่ไต (Estimated glomerular filtration rate-eGFR), FBS, high-sensitivity C-reactive protein (HS-CRP) และ Microalbumin ในปัสสาวะ 2) การรับรู้ประโยชน์ของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้ง 7 ด้าน 3) การรับรู้อุปสรรคของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้ง 7 ด้าน 4) การรับรู้ความสามารถของตนเอง (Perceived self-efficacy) ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้ง 7 ด้านและ 5) ระดับความสามารถในการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในทั้ง 7 ด้านตามทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ผลการศึกษาพบว่าทั้งก่อนการทดลอง และหลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของ อายุ ดัชนีมวลกาย เส้นรอบวงเอว ความดันโลหิตซิสโตลิค และไดแอสโตลิค รวมทั้งผลการตรวจเลือดและปัสสาวะที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูงคะแนนการรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรคการรับรู้ความสามารถของตนเองในปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้ง 7 ด้าน และระดับความสามารถในการจัดการตนเองของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ผลการเปรียบเทียบตัวแปรทั้งหมด ระหว่างก่อนและ หลังการทดลอง (สัปดาห์ที่ 10) ในกลุ่มทดลองโดยใช้สถิติ paired t-test พบว่า เส้นรอบวงเอว ค่าความดันโลหิตซิสโตลิค และ การรับรู้อุปสรรคมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value <0.05) ส่วนการเปรียบเทียบระดับความสามารถในการจัดการตนเองของผู้ที่มีความดันโลหิตสูงในทั้ง 7 ด้าน โดยใช้สถิติ Wilcoxson Sign Rank Test พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 95% การจำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์, การรักษาน้ำหนักของร่างกาย และการบริหารจัดการความเครียดผลการเปรียบเทียบในเรื่องเดียวกันระหว่างก่อนและ หลังการทดลอง (สัปดาห์ที่ 10) ในกลุ่มควบคุม ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในตัวแปรใดๆ ยกเว้น ระดับความสามารถในการจัดการตนเองด้านการปฏิบัติตามแผนการรักษาด้วยยา ที่พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่น 95% การทดสอบประสิทธิผลของโปรแกรมในการลดความดันโลหิตซิสโตลิต และเส้นรอบวงเอวในกลุ่มทดลอง ในสามห้วงระยะเวลา คือ ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง (สัปดาห์ที่ 10) และ ในสัปดาห์ที่ 12 โดยใช้สถิติ Analysis of Variance Repeated Measure ภายหลังการตรวจสอบ assumption แล้ว และ post hoc analysisโดย Bonferronitest พบว่า ค่าความดันซิสโตลิคมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระหว่าง ก่อนการทดลอง และหลังการทดลอง (สัปดาห์ที่ 10) และ ระหว่างก่อนการทดลอง และหลังการทดลองในสัปดาห์ที่ 12;F(2, 50) = 6.871, p-value = 0.002, partial η2 = .216 เช่นเดียวกันพบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติของ เส้นรอบวงเอว ในลักษณะเดียวกัน F(1.225, 35.538) = 9.131, p-value = 0.003, partial η2 = .239