การยกระดับคุณภาพครูปฐมวัยสังกัดกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทยโดยใช้กระบวนการสร้างระบบชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยงในรูปแบบการพัฒนาในขณะปฏิบัติการสอน

dc.contributor.authorธีรเดช ชื่นประภานุสรณ์
dc.contributor.authorจงกล บุญชาติ
dc.contributor.authorองค์อร สงวนญาติ
dc.contributor.authorสราวุธ ชมบัวทอง
dc.contributor.authorชนินทร์ ฐิติเพชรกุล
dc.contributor.authorกัญชุลี มูลพัฒน์
dc.date.accessioned2025-08-13T02:29:29Z
dc.date.accessioned2025-09-03T03:46:39Z
dc.date.available2025-08-13T02:29:29Z
dc.date.available2025-09-03T03:46:39Z
dc.description.abstractการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพของครูปฐมวัยด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานแห่งการเรียนรู้ (BBL: Brain Based Learning) และการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนในรูปแบบการวิจัยต่อเนื่อง (R & D: Research and Development) โดยการทดลอง (Experimental Research) ผ่านกระบวนการชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยง 2) เพื่อการประเมินผลศักยภาพของครูปฐมวัยหลังผ่านการใช้ระบบชี้แนะการเป็นพี่เลี้ยงด้วยวิธีการนิเทศติดตามผลในขณะปฏิบัติการสอนและการทำวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนจริงโดยมุ่งเน้นประเมินทักษะของผู้เข้าอบรม 3 ด้านคือ 2.1) ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของครูก่อนและหลังจากการอบรม (Pre-test and Post – test Design) ได้แก่ องค์ความรู้ทางด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้การวัดประเมินผลแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานแห่งการเรียนรู้ (BBL: Brain Based Learning) ที่สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัยและการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (CAR: Classroom Action Research) 2.2) ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ได้แก่ ทักษะ เทคนิค วิธีการสอนของครูปฐมวัยในขณะสาธิตการสอนตามโรงเรียนของตนเอง ด้วยข้อมูลมูลเชิงคุณภาพจากการสังเกตพฤติกรรมการสอน 2.3) ด้านจิตพิสัยหรือเจตคติ (Affective Domain) ประกอบไปด้วย 2 ด้าน คือ ก) เจตคติที่มีต่อวิชาชีพครูความรักและความภาคภูมิใจในวิชาชีพครู ข) เจตคติต่อรูปแบบการอบรมและการพัฒนาด้วยการใช้ระบบการชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเนื้อหาสาระองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมด้วยวิธีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยง 2) ด้านการจัดกิจกรรมและวิธีการเรียนรู้ด้วยวิธีการชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยง 3) ด้านสื่อการเรียนการอบรม 4) ด้านการวัดและประเมินผล 5) ด้านความพึงพอใจต่อผู้ให้ความรู้และพี่เลี้ยงที่คอยให้คำแนะนำ 6) ด้านประโยชน์และการนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือครูปฐมวัยสังกัดกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ที่คัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) จำนวน 100 คน สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ คู่มือและแบบฝึกอบรม แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการอบรม (Pre-test and Post-test) แบบประเมินการสอน แบบประเมินเจตคติต่อการอบรม แบบประเมินงานวิจัยในชั้นเรียน แบบบันทึกการนิเทศติดตามผล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การคำนวณค่าทางสถิติได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของครูปฐมวัยทั้ง 100 คน พบว่า มีค่าระดับความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นหลังจากอบรมไปแล้วในภาพรวมเพิ่มขึ้นจาก 23.56 คะแนน เป็น 34.70 คะแนน ซึ่งได้ค่าร้อยละความก้าวหน้าเฉลี่ยรวมทั้ง 4 ภูมิภาคเท่ากับ 32.68 โดยเห็นได้ว่าภาคเหนือมีค่าความก้าวหน้าสูงสุดคือ ร้อยละ 35.52 รองลงมาได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ค่าร้อยละความก้าวหน้าเท่ากับ 34.11 อันดับสามได้แก่ ภาคกลางได้ค่าร้อยละความก้าวหน้าเท่ากับ 30.72 และอันดับสุดท้ายคือภาคใต้ได้ค่าร้อยละความก้าวหน้าเท่ากับ 30.44 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการจัดกระบวนการเรียนรู้ หรือทักษะพิสัย พบว่า อยู่ในระดับดี 3. เจตคติต่อการอบรม 1) ด้านการอบรมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61 เมื่อแยกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านวิทยากรมีค่าสูงสุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.91 รองลงมาได้แก่ ด้านเนื้อหาสาระมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.68 อันดับสามได้แก่ ด้านด้านประโยชน์และการนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62 และ 2) เจตคติต่อการเป็นครูปฐมวัย อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.76 4. ผลการทดสอบสมมติฐาน ปรากฏผลดังนี้ 4.1 คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของครูหลังจากเข้ารับการอบรมสูงกว่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของครูกลุ่มเดียวกันก่อนเข้ารับการอบรม ผลการทดสอบสมมติฐานทางการเรียนรู้ของครูปฐมวัยจำนวน 100 คน พบว่า คะแนนการเรียนรู้หลังจากการเข้ารับการอบรมแล้ว มีค่าระดับก่อนเรียนรู้ในภาพรวมเท่ากับ 23.56 คะแนน จาก 50 คะแนนและมีค่าระดับคะแนนหลังการอบรม เป็น 34.70 คะแนน ซึ่งได้ค่าร้อยละความก้าวหน้าเฉลี่ยรวมทั้ง 4 ภูมิภาคเท่ากับ 32.68 จึงสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 4.2 คะแนนด้านการปฏิบัติการสอนของครูภายในชั้นเรียนอยู่ในระดับดีถึงดีมาก ผลการทดสอบสมติฐาน พบว่า คะแนนด้านการปฏิบัติการสอนของครูภายในชั้นเรียนมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับดี จึงสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 4.3 คะแนนความคิดเห็นต่อแนวทางการอบรมพัฒนา (จิตพิสัย) ที่มีต่อวิชาชีพครูความรักและความภาคภูมิใจในวิชาชีพครู และ เจตคติต่อการอบรม วิธีการเรียนรู้แบบการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยวิธีการชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยง (Coaching and Mentoring) ของครูหลังการอบรมอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ความคิดเห็นที่ครูปฐมวัยมีต่อวิชาชีพครู ความรักและความภาคภูมิใจในวิชาชีพครูอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.76 ซึ่งผลที่ได้รับสูงกว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนเจตคติต่อการอบรมพบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.62 ซึ่งสูงกว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้ 4.4 งานวิจัยในชั้นเรียนมีคุณภาพอยู่ในระดับดี ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า งานวิจัยของครูปฐมวัยทั้ง 100 คน มีคุณภาพอยู่ในระดับดี ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
dc.identifier.urihttps://ebooks.dusit.ac.th/detail.php?recid=2427
dc.identifier.urihttps://repository.dusit.ac.th/handle/123456789/11807
dc.subjectการศึกษาปฐมวัย
dc.subjectครู -- การพัฒนาตนเอง
dc.subjectมาตรฐานวิชาชีพครู
dc.subjectครูปฐมวัย
dc.titleการยกระดับคุณภาพครูปฐมวัยสังกัดกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทยโดยใช้กระบวนการสร้างระบบชี้แนะและการเป็นพี่เลี้ยงในรูปแบบการพัฒนาในขณะปฏิบัติการสอน
Files
Collections