การศึกษาศักยภาพการกําจัดแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ รวมทั้งรูปแบบ การดื้อยาที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ถังปฏิกรณ์โฟโตคะตะไลติกโดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาไทเทเนียมไดออกไซด์

Default Image
Date
ISBN
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Resource Type
Publisher
Views
Views1
Usage analytics
Journal Title
การศึกษาศักยภาพการกําจัดแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ รวมทั้งรูปแบบ การดื้อยาที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ถังปฏิกรณ์โฟโตคะตะไลติกโดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาไทเทเนียมไดออกไซด์
Recommended by
Abstract
การศึกษาในครั้งนี้ดําเนินการขึ้นเพื่อศึกษารูปแบบการดื้อยาปฏิชีวนะจากระบบบําบัดน้ําเสีย ชุมชนรวมถึงกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนและกระบวนการโฟโตคะตะไลติกที่ใช้ไทเทเนียม ไดออกไซด์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ซึ่งสรุปได้ว่าระบบบําบัดน้ําเสียดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงในการกําจัด อีโคไลซึ่งเป็นตัวแทนแบคทีเรียก่อโรค โดยสามารถกําจัดได้เฉลี่ยร้อยละ 98.7 อีกทั้งอีโคไลส่วนใหญ่ที่ คัดแยกจัดเป็นอีโคไลที่ดื้อยาปฏิชีวนะ (ร้อยละ 92-98) โดยอีโคไลร้อยละ 76-88 เป็นอีโคไลที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่มีคุณสมบัติดื้อต่อยาปฏิชีวนะชนิด Tetracycline, Cefuroxime, Cetazidime และ Ampicillin ในระดับที่สูง (มากกว่าร้อยละ 50) ในภาพรวมพบว่า ภายในถังเติมอากาศก่อให้เกิดการพัฒนาระดับการดื้อยาเพิ่มมากขึ้น โดยอีโคไลจากน้ําเสียก่อนเข้าสู่ ระบบมีค่า MAR index 0.238 และมีค่าเพิ่มขึ้นเป็น 0.273 เมื่ออยู่ในถังเติมอากาศ แต่อย่างไรก็ตาม อโคไลที่เหลือรอดและปนเปื้อนออกมากับน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดกลับมีระดับการดื้อยาที่ลดลง (MAR index = 0.133) แสดงให้เห็นว่าระบบบําบัดที่ทําการศึกษาสามารถลด/ควบคุมการแพร่กระจายของแบคทีเรียดื้อยาได้ โดยสภาวะภายในระบบบําบัดเป็นปัจจัยที่มีความสําคัญต่อรูปแบบการดื้อยาที่ ปรากฏ เช่น กระบวนการเติมอากาศ กระบวนการดูดติด/เกาะติดผิวอนุภาคแขวนลอย การกักพักใน ถังตกตะกอน และความหนาแน่นของจุลินทรีย์ภายในถังเติมอากาศ ถึงแม้จะพบอีโคไลดื้อยาหลุดรอด ออกจากระบบในปริมาณต่ําแต่ก็อาจเกิดโอกาสแพร่กระจายไปยังสิ่งแวดล้อมอื่นๆต่อไปได้ ดังนั้นจึงได้ทําการจําลองกระบวนการฆ่าเชื้อเพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการกําจัดแบคทีเรียก่อโรคและรูปแบบ การดื้อยาปฏิชีวนะที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งพบว่ากระบวนการเติมคลอรีนและกระบวนการโฟโตคะตะไล ติกที่ใช้ไทเทเนียมไดออกไซด์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยามีประสิทธิภาพสูงในการกําจัดอีโคไล โดยชุดการ ทดสอบที่สภาวะเหมาะสมสามารถกําจัดอีโคไลได้มากกว่าร้อยละ 75 อาทิเช่น 1) กระบวนการเติม คลอรีนความเข้มข้น 1 และ 2 มิลลิกรัม/ลิตร และใช้ระยะเวลาในการทําปฏิกิริยา 30 และ 60 นาที (ร้อยละ 76.8-99.7) และ 2) กระบวนการโฟโตคะตะไลติกที่ใช้ไทเทเนียมไดออกไซด์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ระยะเวลา 30 และ 60 นาที (ร้อยละ 75.1-92.4) แต่อย่างไรก็ตามอีโคไลดังกล่าวก่อเกิดการพัฒนาการดื้อยาปฏิชีวนะในระดับที่เพิ่มสูงขึ้นโดยมีค่า MAR index เริ่มต้นที่ 0.473 ภายหลังผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อมีค่าเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง 0.491-0.636 และ 0.436-0.491 สําหรับการทําปฏิกิริยากับ คลอรีนและกระบวนการโฟโตคะตะไลติกที่ใช้ไทเทเนียมไดออกไซด์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาตามลําดับ อีกทั้งเมื่อกักพักน้ําเสียที่ผ่านกระบวนการทั้งสองรูปแบบ (24 และ 48 ชั่วโมง) ส่งผลให้อีโคไลมีปริมาณ ข ลดลงรวมทั้งมีระดับการดื้อยาลดต่ําลงเช่นกันโดยมีค่า MAR index อยู่ที่ 0.327-0.545 และ 0.418 0.473 ตามลําดับ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาในแง่ของการพัฒนารูปแบบการดื้อยาสามารถสรุปได้ว่า กระบวนการโฟโตคะตะไลติกที่ใช้ไทเทเนียมไดออกไซด์เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเป็นกระบวนการที่มีความเหมาะสมในการบําบัดน้ําเสียเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนการปล่อยออกสู่แหล่งภายนอกเพราะลด/ ควบคุมการแพร่กระจายของแบคทีเรียดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
Description
Citation
View online resources
Collections