การพัฒนารูปแบบการจัดการการเรียนรู้แบบ TPACK Model ต่อความสามารถทางภาษาอังกฤษในรายวิชาภาษาอังกฤษของนักศึกษา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

Date
ISBN
Journal Title
Journal ISSN
Volume Title
Resource Type
Publisher
Views
Views37
Usage analytics
Journal Title
การพัฒนารูปแบบการจัดการการเรียนรู้แบบ TPACK Model ต่อความสามารถทางภาษาอังกฤษในรายวิชาภาษาอังกฤษของนักศึกษา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
Authors
Recommended by
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้ตามกรอบแนวคิด TPACK Model ในรายวิชาภาษาอังกฤษ 2) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความสามารถของนักศึกษาก่อนและหลังจากประยุกต์ใช้การจัดการเรียนรู้แบบ TPACK Model และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนรู้ตามกรอบแนวคิด TPACK Model ในรายวิชา ภาษาอังกฤษ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างผู้วิจัยใช้วิธีสุ่มแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ตามกรอบแนวคิด TPACK Model 2) โปรแกรมภาษาอังกฤษ มัลติมีเดีย ชุด English Discoveries Online 3) แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เรียนต่อการจัดการ เรียนการสอนแบบ TPACK Model 4) ข้อสอบ Placement test online ในชุด English Discoveries Online สถิติที่ใช้ในงานวิจัย 1) ใช้วิธี Paired Sample t-test เป็นการเปรียบเทียบความสามารถทางภาษาอังกฤษก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบ TPACK Model เพื่อดูความสามารถทางภาษาอังกฤษของนักศึกษาว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ค่าสถิติที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ในการวิเคราะห์ความคิดเห็นในแบบสอบถามของนักศึกษา พบว่า ผู้เรียนมีความคิดเห็นในร้อยละ 76-100 ที่มีความคิดเห็นในระดับมาก จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 50.00 และมีความคิดเห็นระดับ 51 75% จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 50.00 และมีความคิดเห็นระดับ 26-50% จำนวน 1 คน คิด เป็นร้อยละ 2.50 ตามลำดับ โดยในข้อคำถามนี้มีผู้เรียนที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ประมาณร้อยละของผู้สอนมีรูปแบบการจัดการเรียนการสอนนอกห้องเรียนที่รวมเทคโนโลยี เนื้อหา และวิธีการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ พบว่า ผู้เรียนมีความคิดเห็นด้านดังกล่าว ดังนี้ ผู้เรียนมีความคิดเห็นใน ร้อยละ 76-100 ที่มีความคิดเห็นในระดับมาก จำนวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 42.50 และมีความคิดเห็นระดับ 51-75% จำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 55.00 และมีความคิดเห็นระดับ 26-50% จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 7.50 ตามลำดับ โดยในข้อคำถามนี้มีผู้เรียนที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมด จำนวน 41 คน