The Graduate School
Permanent URI for this community
Browse
Browsing The Graduate School by Issue Date
Now showing 1 - 20 of 50
Results Per Page
Sort Options
Item มาตรการทางสังคมเพื่อสนับสนุนประสิทธิภาพการจัดการปัญหาอาชญากรรม ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 Social Measures and Their Impact on Crime Management Effectiveness During the COVID-19 Outbreak(Ratchaphruek Journal, 0023) ชาติชาย มหาคีตะ; อาภาศิริ สุวรรณานนท์งานวิจัยเรื่องมาตรการทางสังคมเพื่อสนับสนุนประสิทธิภาพการจัดการปัญหาอาชญากรรมในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารวบรวมสภาพปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 และ 2) เพื่อสร้างรูปแบบมาตรการทางสังคมที่เหมาะสมในการสนับสนุนประสิทธิภาพการจัดการปัญหาอาชญากรรมในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยมีการวิจัยเชิงปริมาณเป็นหลักและใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัยจากกลุ่มตัวอย่าง คือประชาชนทั่วไป แบ่งออกเป็น 6 ภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 540 คน และจัดการสนทนากลุ่มกับผู้แทนจากหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวนทั้งสิ้น 12 คน สถิติที่ใช้ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานผลการวิจัย พบว่า 1) ปัญหาอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 อันดับที่ 1 คือ อาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์ ความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการทางสังคมที่เหมาะสม อันดับที่ 1 คือ การส่งเสริมให้พ่อแม่ผู้ปกครองประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในการเคารพกฎหมายและมีส่วนร่วมในการป้องกันปัญหาอาชญากรรมร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐและผู้นำชุมชน การวิเคราะห์ผลการวิจัยรูปแบบมาตรการทางสังคม คือ การสร้างความตระหนักรู้และควบคุมตนเองจากภายในครอบครัวและชุมชน การสร้างจิตสำนึกต่อสังคมร่วมกันกับภาครัฐและองค์กรท้องถิ่นในชุมชน การสร้างความยุติธรรมทางสังคม การสร้างนวัตกรรมทางสังคม และการสร้างความยั่งยืนของมาตรการทางสังคมในภาวะวิกฤตItem การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอาชีพสําหรับการเตรียมความพร้อมในการกลับคืนสู่สังคมของเด็กและเยาวชนที่เคยกระทําผิดเกี่ยวกับยาเสพติด(RatchaphruReak Journal, 1265-09) ชาติชาย มหาคีตะ; อาภาศิริ สุวรรณานนท์การวิจัยนี้เป็นการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอาชีพสําหรับการเตรียมความพร้อมในการกลับคืนสู่สังคมของเด็กและเยาวชนที่เคยกระทําผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษารูปแบบหลักสูตรการฝึกอาชีพ และ 2) เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอาชีพ จํานวน 2 หลักสูตร การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพดด้วยการสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการศึกษาดูงานเป็นกรณีศึกษา ผู้ให้ข้อมูลสําคัญในการสัมภาษณ์ ได้แก่ผู้แทนจากกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นักวิชาการ นักสังคมสงเคราะห์ ผู้แทนสถานประกอบการและเด็กและเยาวชนที่อยู่ในระหว่างฝึกอาชีพในศูนย์ฝึกอบรม รวมทั้งสิ้น 58 คน เครื่องมือในการวิจัยนี้ คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างผลการศึกษา พบว่า 1) การฝึกวิชาชีพในปัจจุบันยังไม่มีหลักสูตรที่กําหนดไว้ชัดเจน 2) การพัฒนาหลักสูตรจํานวน 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรการฝึกอาชีพสําหรับการทํางานในสถานประกอบการและหลักสูตรการประกอบอาชีพอิสระ โดยมีวิชาปรับพื้นฐานรวม วิชาบังคับร่วม และวิชาเลือกที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและความถนัดของเด็กและเยาวชนที่อยู่ในระหว่างฝึกอาชีพในศูนย์ฝึกอบรมฯItem การศึกษาความสามารถด้านการประกอบอาหารของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โรงเรียนปัญญาวุฒิกร โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์(บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2019-06-01) กาญจนา เดชภิญญาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ด้านการประกอบอาหารของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาโดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 2) เพื่อศึกษาความสามารถด้านการประกอบอาหารของนักเรียน ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ และ 3) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการประกอบอาหารของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ก่อนและหลังได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ระดับชั้นประถมปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โดยเลือกแบบเจาะจงจากระดับสติปัญญา 50-70 ไม่มีพิการซ้อน มีจำนวนทั้งสิ้น 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้การประกอบอาหารโดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ จำนวน 8 แผน แบบประเมินระหว่างเรียนแต่ละแผน จำนวน 8 ชุด และแบบประเมินความสามารถด้านทักษะปฏิบัติการประกอบอาหารก่อนและหลังที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แล้วน าคะแนนที่ได้จากการประเมินท าการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิธีทดสอบวิลคอกซัน (Wilcoxon Matched-Pairs Signed-Ranks Test) ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของแผนการการจัดการเรียนรู้ด้านการประกอบอาหารของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 คะแนนระหว่างการพัฒนาความสามารถด้านการประกอบอาหารของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ได้ค่าเฉลี่ยร้อยละ 82.50 และคะแนนหลังการพัฒนาความสามารถในการประกอบอาหารของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ได้ค่าเฉลี่ยร้อยละ 84.20 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ก าหนดไว้ (E1/E2 เท่ากับ 80/80) 2) ความสามารถด้านการประกอบอาหารของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หลังได้รับการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ พบว่า นักเรียนมีคะแนนอยู่ระหว่าง 140-176 คะแนน มีค่าเฉลี่ย 161.67 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 84.20 3) การเปรียบเทียบความสามารถด้านการประกอบอาหารของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ด้วยการวิเคราะห์ Wilcoxon Signed Ranks Test พบว่า ความสามารถหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้านการประกอบอาหารของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โรงเรียนปัญญาวุฒิกร โดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ในภาพรวมแตกต่างจากก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p-value = .028) แสดงให้เห็นว่านักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาหลังพัฒนาความสามารถด้านการประกอบอาหารโดยใช้รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์มีการพัฒนาสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้Item การศึกษาผลสัมฤทธิ์การเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องเซต โดยวิธีการสอนที่แตกต่างกันตามความสามารถทางพหุปัญญาของนักเรียนที่มี่ความบกพร่องทางการได้ยิน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4(บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2019-06-07) อรอนงค์ นุเสนการวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของวิธีการสอนที่แตกต่างตามความสามารถทางพหุปัญญา เรื่อง เซต ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับหูหนวก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วย วิธีการสอนที่แตกต่างตามความสามารถทางพหุปัญญา เรื่อง เซต ประชากรที่ศึกษา คือนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับหูหนวกชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลองจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับหูหนวก กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา2560 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยวิธีการสอนที่แตกต่างตามความสามารถทางพหุปัญญา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของวิธีการสอนที่แตกต่างตามความสามารถทางพหุปัญญา วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เซต ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับหูหนวก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ระหว่างเรียนและหลังเรียนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ เท่ากับ 82.38/80.67 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เซต ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับ หูหนวกชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ หลังได้รับวิธีการสอนที่แตกต่างตามความสามารถทางพหุปัญญาสูงกว่าก่อนได้รับวิธีการสอนที่แตกต่างตามความสามารถทางพหุปัญญาItem ความสามารถด้านการเข้าใจภาษาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย โดยใช้บทเรียนมัลติมีเดียแบบสตอรี่ไลน์ ผ่านอุปกรณ์ระบบหน้าจอสัมผัส(บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2019-06-07) ชณิญภัค ศรีวันทาการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อศึกษาความสามารถด้านการเข้าใจภาษาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับปฐมวัย โดยใช้บทเรียนมัลติมีเดียแบบสตอรี่ไลน์ผ่านอุปกรณ์ระบบหน้าจอสัมผัส 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการเข้าใจภาษาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับปฐมวัย ก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนมัลติมีเดียแบบสตอรี่ไลน์ผ่านอุปกรณ์ระบบหน้าจอสัมผัส และ 3) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนมัลติมีเดียแบบสตอรี่ไลน์ผ่านอุปกรณ์ระบบหน้าจอสัมผัส ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องทางการได้ยินจำนวน 6 คน อายุ 4-5 ปี กำลังศึกษาชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ใช้การวิจัยเชิงทดลองเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละ 20 นาที รวมทั้งสิ้น 27 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) บทเรียนมัลติมีเดียแบบสตอรี่ไลน์ผ่านอุปกรณ์ระบบหน้าจอสัมผัส และ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการเข้าใจภาษาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้เปรียบเทียบ คือ สถิตินอนพาราเมตริก Wilcoxon Signed-Rank Test ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถด้านการเข้าใจภาษาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ระดับปฐมวัย จากการสอนโดยใช้บทเรียนมัลติมีเดียแบบสตอรี่ไลน์ผ่านอุปกรณ์ระบบหน้าจอสัมผัสอยู่ในระดับดี 2) ความสามารถด้านการเข้าใจภาษาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับปฐมวัย หลังเรียนด้วยบทเรียนมัลติมีเดียแบบสตอรี่ไลน์ผ่านอุปกรณ์ระบบหน้าจอสัมผัสแตกต่างจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p-value = .026) และ 3) บทเรียนมัลติมีเดียแบบสตอรี่ไลน์ผ่านอุปกรณ์ระบบหน้าจอสัมผัสมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 มีค่าเท่ากับ 97.62/95.56 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้Item การศึกษาความสามารถในการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูถัมถ์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน(บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2019-06-07) วิชชุดา แหล่งสนามการวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้การเขียนสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน 2) ศึกษาความสามารถในการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ โดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และ3) เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลองจากประชากรที่เป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่สูญเสียการได้ยินระดับ 90 เดซิเบลขึ้นไป และมีใบรับรองความพิการกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์ จำนวนทั้งสิ้น 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้การเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการใช้การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และแบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ก่อน-หลังการทดลอง ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .643 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานมีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 85.29/83.38 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ (E1/E2 เท่ากับ 80/80) 2) ความสามารถด้านการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานอยู่ในระดับปรับปรุง ในขณะที่หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานอยู่ในระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 9.88 คะแนน 3) ความสามารถด้านการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานในภาพรวมแตกต่างจากก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05Item การศึกษาความสามารถการอ่านคำศัพท์ภาษาไทยของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โรงเรียนปัญญาวุฒิกร โดยใช้กระดานสอนอ่าน(บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2019-06-07) สุมาลี พูลสวัสดิ์การวิจัยครังนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) ศึกษาความสามารถการอ่านคำศัพท์ภาษาไทยของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โรงเรียนปัญญาวุฒิกร โดยใช้กระดานสอนอ่าน 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านคำศัพท์ภาษาไทยของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โรงเรียนปัญญาวุฒิกร ก่อนและหลังเรียนโดยใช้กระดานสอนอ่าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนปัญญาวุฒิกร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 6 คน ซึ่งเลือกมาโดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง คือ มีระดับสติปัญญาระหว่าง 50-70 และไม่มีความพิการซ้ำซ้อน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 1) แผนการสอนอ่านคำศัพท์โดยใช้กระดานสอนอ่าน 2) แบบวัดความสามารถในการอ่านคำศัพท์ก่อนเรียนและหลังเรียน แล้วนำคะแนนที่ได้จากการประเมินทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ โดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิธีทดสอบวิลคอกชัน (The Wilcoxon Matched Pairs Signed Ranks Test) ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถการอ่านคำศัพท์ภาษาไทยของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โรงเรียนปัญญาวุฒิกร ก่อนการพัฒนาโดยใช้กระดานสอนอ่านในภาพรวมและรายด้านทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับไม่ผ่านเกณฑ์ความรู้ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง อ่านจากคำ อ่านจากภาพ และอ่านจากภาพและคำ แต่หลังการทดลองความสามารถการอ่านคำศัพท์ของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาโรงเรียน ปัญญาวุฒิกร หลังการพัฒนาโดยใช้กระดานสอนอ่าน ในภาพรวมอยู่ในระดับผ่านเกณฑ์ความรู้ ค่าเฉลี่ย 52.17 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3.31 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความสามารถการอ่านคำศัพท์ของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โรงเรียนปัญญาวุฒิกร หลังการพัฒนาโดยใช้กระดานสอนอ่าน อยู่ในระดับผ่านเกณฑ์ความรู้ทั้ง 3 เรื่องคือ อ่านจากคำอ่านจากภาพ และอ่านจากภาพและคำ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านคำศัพท์ภาษาไทยของเด็กบกพร่อง ทางสติปัญญาโดยใช้กระดานสอนอ่าน ความสามารถการอ่านคำศัพท์ของเด็กที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญา โรงเรียนปัญญาวุฒิกร หลังการพัฒนาโดยใช้กระดานสอนอ่านในภาพรวม แตกต่าง จากก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p-value = .026) การทดสอบสมมติฐาน ด้วยการวิเคราะห์ Wilcoxon Signed Ranks Test พบว่า ความสามารถการอ่านคำศัพท์ของเด็กที่มี ความบกพร่องทางสติปัญญา โรงเรียนปัญญาวุฒิกร หลังการพัฒนาโดยใช้กระดานสอนอ่าน ในภาพรวมแตกต่างจากก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (p-value = .026) เมื่อ พิจารณาความสามารถการอ่านคำศัพท์ก่อน-หลังได้รับการพัฒนาเป็นรายด้าน พบว่า ความสามารถ การอ่านคำศัพท์หลังได้รับการพัฒนาใน 3 เรื่อง คือ อ่านจากคำ (p-value = .024) อ่านจากภาพ (p-value = .024) และอ่านจากภาพและคำ (p-value = .023) แตกต่างจากก่อนได้รับการพัฒนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05Item กิจกรรมเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นระดับปฐมวัย(บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2019-06-07) จรินทร์ ภู่ระหงษ์การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ความสามารถในการใช้ทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของ เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น หลังจากการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการใช้ทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น ก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมเคลื่อนไหว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นกําลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นเตรียมความพร้อม กลุ่มงานบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มเด็กพิการและ ครอบครัว ศูนย์การศึกษาพิเศษ โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จํานวน 5 คน เลือกแบบเจาะจงโดยทําการทดลองเป็นรายบุคคล เครื่องมือที่ใช้ ในการศึกษาครั้งนี้ คือ แผนการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหว และแบบประเมินทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ 3 ด้าน จากแบบประเมินทักษะตามแบบประเมินพัฒนาการเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น 0-6 ปี ของศูนย์การศึกษาพิเศษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (2549) ดําเนินการทดลอง ตามแบบแผนการทดลองแบบ One Group Pretest-Postest สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบก่อน-หลังการทดลอง The Wilcoxon Matched Paris Signed-Ranks TestItem การพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์(บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, 2019-06-07) ปรรัตน์ ศรีพินิจการวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2) พัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาก่อนเละหลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์และ3) เปรียบเทียบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ระดับเล็กน้อย ไม่มีความพิการซ้อน ชาย-หญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นป.1-ป.3 ปีการศึกษา 2560 ของโรงเรียนชุมชนวัดหนองรี ตำบลหนองรี อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี จำนวน 7 คน โดยมีขั้นตอนการเลือกตัวอย่างด้วยวิธีเจาะจง ผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการทดลองด้วยตนเองโดยทำการทดลอง สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 50 นาที รวมระยะเวลาในการทดลอง 5 สัปดาห์รวมทั้งสิ้น 20 ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาและ แบบประเมินความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นแล้วทดลองโดยใช้แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบกลุ่มตัวอย่างเดียวก่อน-หลังทดลอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีค่าประสิทธิภาพ 80/82.81 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ 2) การพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หลังการพัฒนาอยู่ในระดับดีมาก 3) การเปรียบเทียบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ก่อนและหลังการฝึกด้วยกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีความแตกต่างจากก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05Item กระบวนการงานการจ่ายค่าตอบแทนผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ในการอ่านบทความวารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต(2020) นวลปราง รักษาภักดีItem ผลการจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษธุรกิจ(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) กนกวรรณ กุลสุทธิ์; สุดารัตน์ เจตน์ปัญจภัค; ขจีนุช เชาวนปรีชา; สรพล จิระสวัสดิ์; วิลาสินี พลอยเลื่อมแสง; ลลิตา พูลทรัพย์; จุฬาลักษณ์ ปาณะศรีการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษของนักศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษธุรกิจ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ และเพื่อ ศึกษาความคิดเห็นของนักศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษษุรกิจที่มีต่อการพัฒนาความรู้ด้านไวยากรณ์ภาษา อังกฤษด้วยการเรียนออนไลน์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษธุรกิจชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 43 คน สำหรับทำแบบทดสอบและตอบแบบสอบถามและเลือกนักศึกษาแบบเฉพาะเจาะจงจำนวน 5 คนเพื่อสัมภาษณ์กลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนรู้ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์โดยค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของข้อคำถามในแบบสอบถามเท่ากับ 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ ผลการศึกษาที่สำคัญพบว่า 1) นักศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษธุรกิจมีผลสัมฤทธิ์ทางด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษสูงขึ้นหลังการเรียนออนไลน์ที่ระดับนัยสำคัญ .05 และ 2) นักศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษธุรกิจเห็นด้วยต่อการพัฒนาความรู้ด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ด้วยการเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษออนไลน์ด้วยตนเอง และมีระดับความคิดเห็นด้วยอย่างยิ่งอันดับแรกในประเด็นผู้เรียนศึกษาเนื้อหาจากแบบฝึกไวยากรณ์ภาษาอังกฤษออนไลน์ด้วยตนเองได้เท่าที่ต้องการ ผลจากการสัมภาษณ์ พบความคิดเห็น 3 ประเด็น ได้แก่ ความสะดวกในการเรียนออนไลน์ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชันการพัฒนาความสามารถด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และความสามารถประยุกต์ใช้ความรู้จากการเรียนออนไลน์เพื่อการสอบโทอิคItem การส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์: ความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติและปัจจัยทางการตลาดในมุมมองของผู้บริโภค(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) สุณี หงษ์วิเศษ; ปริญญา นาคปฐม; กฤษฎิพัทธ์ พิชญะเดชอนันต์; ธนวัฒน์ พิมลจินดาการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสำรวจความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ และระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับ ปัจจัยทางการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในมุมมองของผู้บริโภค และ (2) เพื่อให้ข้อเสนอแนะในการส่งเสริม สินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากกลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากผู้ที่เลือกซื้อและได้ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์ จากห้างสรรพ สินค้า ร้านจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ และตลาดทั่วไป จำนวน 1,182 ตัวอย่าง ครอบคลุม 12 จังหวัด ใน 5 ภูมิภาค ทำการวิเคราะห์ผลใน 2 รูปแบบ คือ (1) ความรู้ความเข้าใจใช้แบบสอบถามเลือกตอบ แสดงผลเป็นเข้าใจถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง และไม่แน่ใจ สรุปผลเป็นความถี่และร้อยละ และ (2) ทัศนคติและปัจจัยการตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ใช้แบบสอบถามแบบ Rating Scale โดยแสดงค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน เนื่องจากขาดการสื่อสารทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ในขณะที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและต้องการบริโภค สินค้าปลอดสารปนเปื้อนโดยมีหน่วยงานที่น่าเชื่อถือรับรอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเกษตรอินทรีย์ ปัจจัยทางการตลาด พบว่า ผู้บริโภคต้องการสินค้าคุณภาพที่มีความหลากหลาย และให้ความสำคัญกับราคาและแหล่งจำหน่ายที่เข้าถึงได้ง่าย ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้บริโภค และควรส่งเสริมเกษตรกรให้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่หลากหลาย ด้วยวิธีการที่มีต้นทุนต่ำ เพื่อให้ราคาขายลดลง และควรส่งเสริมให้มีการขยายตัวของผู้ประกอบการเพื่อรองรับความ ต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึงItem การวิเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) รินทร์ฤดี ภัทรเดช; ปัญญเดช พันธุวัฒน์บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวทางของงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนภาษา อังกฤษระดับประถมศึกษาที่เผยแพร่ใน ThaiLIS ตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการ ศึกษา จำนวน 11 เล่ม ที่ผ่านเกณฑ์การการคัดเลือกที่กำหนดขึ้น เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบบันทึกข้อมูลเพื่อบันทึก ลักษณะของข้อมูลทั่วไปในงานวิจัยและแบบบันทึกผลงานวิจัยที่เป็นลักษณะองค์ความรู้รวมของงานวิจัยในการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพในการวิเคราะห์ 5 ด้าน ประกอบด้วย หัวข้องานวิจัย วัตถุประสงค์งานวิจัยแนวคิดทฤษฎี ระเบียบวิธีวิจัย และ ผลการศึกษา ผลการวิเคราะห์พบว่า ระหว่างปี 2553-2563 มีผลงานวิจัยเพียง 11 เล่ม ที่มีการศึกษาเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา ด้านหัวข้อวิจัยพบ ว่ามุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบ วิธีการ สื่อการสอน สภาพปัญหาของผู้เรียน ผู้สอน และการพัฒนาผู้สอน ด้าน วัตถุประสงค์พบว่าส่วนใหญ่มีการมุ่งเน้นศึกษาด้านสภาพปัญหาของการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษา ด้านแนวคิดทฤษฎีที่พบส่วนมากใช้แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และทฤษฎีการวัดและประเมินผลการศึกษา ด้านระเบียบวิธีวิจัยที่พบมากที่สุดคือการออกแบบงานวิจัยเป็นการวิจัยและ พัฒนา (Research and Development) และด้านผลการวิจัย สามารถจัดกลุ่มผลการวิจัยที่ได้เป็นห้าด้านคือการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาครูผู้สอน การพัฒนาเจตคติและทัศนคติของผู้เรียน การพัฒนาสื่อ และการพัฒนาการวัดผลประเมินผลItem ความขัดแย้งทางปัญญาและโครงการปรับปรุงคุณวุฒิวิชาชีพครู พ.ศ. 2560 กรณีศึกษาหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต มศว.(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) วรรธนะ สุขศิริปกรณ์ชัยการศึกษาวิชาชีพครูเป็นปัจจัยสำคัญของระบบการศึกษาแต่ทิศทางการพัฒนาความรู้และทักษะของครูไทยในปัจจุบันเกิดการลดหย่อนคุณภาพลงไปมาก งานวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงประยุกต์ ศึกษาความขัดแย้งทาง ปัญญาของนิสิต และอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรการศึกษาบัณฑิตสาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เกี่ยวกับโครงการปรับปรุงคุณวุฒิวิชาชีพครูปี พ.ศ. 2560 ซึ่งลดระยะเวลาของหลักสูตรการศึกษาบัณฑิตจากเดิม 5 ปี เป็น 4 ปี กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต สาขาวิชาภาษา อังกฤษ 62 คนได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามเกี่ยวกับความขัดแย้งทาง ปัญญาที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ประกอบกับการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผลการวิจัยแสดงด้วยสถิติเชิญพรรณนาให้เห็นว่า ทั้งนิสิตเกิดความขัดแย้งทางปัญญาในด้านต่าง ๆ ของโครงการปรับปรุง คุณวุฒิวิชาชีพครู พ.ศ. 2560 คือ 45.2% รู้สึกไม่มั่นคงเกี่ยวกับงานในอนาคต 30.6% เสื่อมศรัทธาในประโยชน์ของหลักสูตรปัจจุบันที่ตนศึกษา 74.2% เรียกร้องให้ต่อต้านโครงการปรับคุณวุฒิ 77.4% ต้องการความคุ้มครองจากโครงการใหม่ และ 56.5% คิดว่าโครงการใหม่ไม่มีความยุติธรรม ผลการสัมภาษณ์อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรชี้ให้เห็นถึงความไม่มั่นคงเรื่องโอกาสการแข่งขันของการทำงานในอนาคตและความเชื่อมั่นของนิสิตคงค้างของหลักสูตร 5 ปีItem การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของชุดตรวจเลือดแฝงในอุจจาระและชุดตรวจเลือดแฝงในปัสสาวะบนผ้าที่ปนเปื้อนเลือด(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) เพียงจิตร เงื่อนไข่น้ำ; ธิติ มหาเจริญการวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความไว ความจำเพาะและประสิทธิภาพของ ชุดตรวจเลือดแฝงในอุจจาระและชุดตรวจเลือดแฝงในปัสสาวะจากผ้าที่ปนเปื้อนคราบเลือดเพื่อช่วยในการตรวจคราบเลือดเบื้องต้น ในการทดลองครั้งนี้ใช้เลือดจากกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครที่มีผลการทดสอบเลือดว่า มีค่าความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเลือดต่างกัน 3 ระดับ โดยนำเลือดมาหยดลงบนผ้าตัวอย่างและเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดจึงนำมาทดสอบกับชุดตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ ชุดตรวจเลือดแฝงในปัสสาวะและทำการวิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติ t-test ผลการวิจัยพบว่า ชุดตรวจเลือดแฝงในอุจจาระและชุดตรวจเลือดแฝงในปัสสาวะมีความจำเพาะต่อเลือดมนุษย์ โดยให้ผลบวกกับเลือดมนุษย์เท่านั้นและให้ผลลบกับเลือดสัตว์ (หมู) ในด้านความไว พบว่า ชุดตรวจเลือดแฝงในอุจจาระมีความไวต่อเลือดมนุษย์มากกว่าชุดตรวจเลือดแฝงในปัสสาวะ โดยชุดตรวจเลือดแฝงในอุจจาระสามารถตรวจพบเลือดที่ทำการเจือจางได้ถึงระดับความเข้มข้นที่ 1 : 20,000 ในขณะที่ชุดตรวจเลือดแผงในปัสสาวะให้ผลตรวจพบเลือดที่ทำการเจือจางถึงระดับความเข้มข้นที่ 1: 2,000 ในส่วนของผลการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของชุดตรวจเลือดแฝงในอุจจาระและชุดตรวจเลือดแฝงในปัสสาวะเพื่อตรวจหาคราบเลือดบนผ้าที่ปนเปื้อนเลือดในสัปดาห์ที่ 1, 2, 3 และ 4 โดยการเปรียบเทียบความไว ความจำเพาะ จากผ้า ตัวอย่าง ระยะเวลาและค่าความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเลือด พบว่า ชุดตรวจเลือดแฝงในอุจจาระมีความประสิทธิภาพในการตรวจหาคราบเลือดบนผ้าที่ปนเปื้อนเลือดมากกว่าชุดตรวจปัสสาวะอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ 0.01Item การศึกษาเปรียบเทียบการปรากฏขึ้นของรอยลายนิ้วมือแฝงบนเครื่องหนัง ด้วยวิธีการซุปเปอร์กลู(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) อาภาพร อรุณแสงทอง; พัชรา สินลอยมางานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา และเปรียบเทียบการปรากฏขึ้นของรอยลายนิ้วมือแฝงด้วยวิธีการ ซุปเปอร์กลู จำแนกตามช่วงระยะเวลาและประเภทหนังที่แตกต่างกัน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองโดยทำการทดลองตรวจเก็บรอยลายนิ้วมือด้วยวิธีการซุปเปอร์กลูบนเครื่องหนัง 4 ประเภท คือ หนัง Top Grain, หนังกลับ, หนัง PU และหนังแก้ว ในระยะเวลาที่แตกต่างกัน 8 ช่วงเวลา คือ ทันที่หลังประทับลายนิ้วมือ, 3 ชั่วโมง, 6 ชั่วโมง, 12 ชั่วโมง, 1 วัน, 3 วัน, 5 วัน และ 7 วัน หลังจากนั้นจึงทำการตรวจพิสูจน์คุณภาพรอยลายนิ้วมือแฝงโดยการนับจำนวนจุดลักษณะสำคัญพิเศษด้วยเครื่องตรวจสอบลายพิมพ์นิ้วมือ อัตโนมัติ แล้วนำค่าที่ได้มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการวิจั พบว่า คุณภาพรอยลายนิ้วมือแฝงบนเครื่องหนังแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 05 (F = 11.586, Sig = 0.000) เมื่อพิจารณาคุณภาพของรอยลายนิ้วมือบนเครื่องหนังแต่ละประเภทแล้ว พบว่า รอยลายนิ้วมือแฝงที่ปรากฏขึ้นบนหนัง Top Grain มีคุณภาพของรอยลายนิ้วมืออยู่ในระดับสูงที่สุด ในขณะที่การปรากฏขึ้นของรอยลายนิ้วมือแฝงบนเครื่องหนังในแต่ละช่วงเวลานั้นไม่แตกต่างกันItem การสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติตามแนวคิดของแฮร์โรว์ และการจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีตามแนวคิดของคาร์ล ออร์ฟ(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) นที ปิ่นวิไลรัตน์; อินทิรา รอบรู้บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติตามแนวคิดของแฮร์โรว์ และการจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีตามแนวคิดของคาร์ล ออร์ฟ ระหว่างปี พ.ศ. 2548 - 2561 มีประเด็นสังเคราะห์ คือ 1) ด้านข้อมูลพื้นฐาน 2) ด้านวัตถุประสงค์ของการวิจัย 3) ด้านวิธีดำเนินการวิจัย 4) ด้านผลการศึกษา นำเสนอผลการวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ โดยการพรรณนาเป็นความเรียง เอกสารวิจัย จำนวน 24 เล่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบบันทึกข้อมูล คุณลักษณะวิทยานิพนธ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้าน ข้อมูลพื้นฐาน ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยของคณะครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน งานวิจัย ส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2) ด้านวัตถุประสงค์ของการวิจัย ส่วนใหญ่เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนก่อนเรียนและหลัง 3) ด้านวิธีดำเนินการวิจัย งานวิจัยส่วนใหญ่เลือกใช้กลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เป็นงานวิจัยเพื่อพัฒนาโดยใช้ทฤษฎีของคนอื่น มีการอ้างอิงจากสื่อสิ่งพิมพ์ภายในประเทศหาคุณภาพเครื่องมือโดยการหาค่าความเที่ยงตรง ส่วนใหญ่ผลการวิจัยเป็นไปตามสมมติฐาน 4) ด้านผลการ วิจัย การจัดการเรียนรู้ทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์ มี 5 ขั้นตอน โดยการเลียนแบบจากการสังเกตและลงมือทำตามคำสั่ง ผู้เรียนฝึกฝนให้ถูกต้องและชำนาญ ทำให้สามารถแสดงออกได้อย่างธรรมชาติ นิยมนำมาใช้ในวิชาดนตรี ศิลปะ เทคโนโลยีและการงานอาชีพ แนวคิดการสอนดนตรีของคาร์ล ออร์ฟ จะพัฒนาทักษะทางดนตรีจากง่ายไปหายาก จากจังหวะ ระดับเสียง สัญลักษณ์ตัวโน้ต การอ่านโน้ต และเครื่องดนตรี จึงทำให้ผู้เรียนเกิด พัฒนาการทางด้านดนตรีได้เป็นอย่างดีItem อิทธิพลของคุณภาพการให้บริการที่มีต่อนวัตกรรมการให้บริการของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ ที่ใช้บริการสนามบินสุวรรณภูมิ(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) ธนกร ณรงค์วานิชการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับของคุณภาพการให้บริการ และนวัตกรรมการให้บริการ (2) เปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อนวัตกรรมการให้บริการของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ จำแนกตามปัจจัย ส่วนบุคคล (3) ศึกษาอิทธิพลของคุณภาพการให้บริการที่มีต่อนวัตกรรมการให้บริการ และ (4) ค้นหาตัวพยากรณ์ที่ดีในการทำนายนวัตกรรมการให้บริการ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ ที่มาใช้บริการในสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม เก็บรวบรวมข้อมูลช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2562 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความ ถี่ค่าเฉลี่ยทดสอโดยใช้สถิติที สถิติเอฟ การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคุณ ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ 1) ผลการศึกษาคุณภาพการให้บริการและนวัตกรรมการให้บริการ พบว่า อยู่ในระดับมาก ทั้งในภาพรวม รายด้าน และรายข้อ 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อนวัตกรรมการให้บริการของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ พบว่า เพศ อายุสถานภาพการสมรส ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือน ต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 3) ผลศึกษาศึกษาอิทธิพลของคุณภาพการให้บริการ ที่มีต่อนวัตกรรมการให้บริการพบว่า คุณภาพการให้บริการ มีอิทธิพลต่อนวัตกรรมการให้บริการ อยู่ในระดับสูง (R=0.738) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4) ผลการค้นหาตัวพยากรณ์ที่ดีในการทำนายนวัตกรรมการให้บริการ พบว่า มีตัวพยากรณ์ที่ดีจำนวน 3 ตัว ประกอบด้วย ด้านการเข้าใจและรู้จักลูกค้า (TQ5) ด้านการตอบสนองลูกค้า (TQ3)และด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ (TQ1) มีอิทธิพลต่อนวัตกรรมการให้บริการ อยู่ในระดับสูง (R=0.734) มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05Item การวิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพและส่วนประกอบทางเคมีของยาบ้าที่ตรวจจับในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) เพ็ญพิศ เกตุใหม่; พัชรา สินลอยมาการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ข้อมูลการค้าและการแพร่ระบาดของยาบ้าในเขต พื้นที่จังหวัดนครราชสีมา 2) ความสัมพันธ์ของลักษณะทางกายภาพระหว่างสีกับน้ำหนักของยาบ้า และ 3) ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทางเคมีของยาบ้าระหว่างเมทแอมเฟตามีนกับกาเฟอีนที่พบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บรวบรวมข้อมูลตัวอย่างยาบ้าที่ส่งตรวจพิสูจน์ในศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 3 ระหว่างเดือนตุลาคม 2561 ถึงกุมภาพันธ์ 2562 และการสัมภาษณ์เชิงลึกเจ้าหน้าที่ตำรวจและนักวิทยาศาสตร์ กลุ่มงานตรวจยาเสพติด ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 3 รวม 13 ราย ผลการวิจัยพบว่า 1) ความรุนแรงของการค้าและการแพร่ระบาดของยาบ้าในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา พบว่าอำเภอเมืองนครราชสีมา มีการตรวจยึดจับกุมยาบ้าได้มากที่สุด จำนวน 183 คดี คิดเป็นร้อยละ 30.7 รองลงมาคือ อำเภอปากช่อง จำนวนการจับกุม 78 คดี คิดเป็นร้อยละ 13.1 และอำเภอหนองบุญมาก จำนวนการ จับกุม 39 คดี คิดเป็นร้อยละ 6.5 2) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ลักษณะทางกายภาพของสียาบ้ากับน้ำหนักของยาบ้า พบว่า ลักษณะทางกายภาพของสียาบ้ามีความสัมพันธ์กับน้ำหนักของยาบ้า มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทางเคมีของยาบ้าระหว่างเมทแอมเฟตามีนกับกาเฟอีนที่พบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา พบว่า ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทางเคมีของเมทแอมเฟตามีน มีความสัมพันธ์กับยาบ้าที่มีองค์ประกอบของกาเฟอีน มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05Item จดหมายหลวงอุดมสมบัติ(วารสารวิชาการบัณฑิตวิทยาลัยสวนดุสิต ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (2021), 2021-02-15) ยอดชาย ชุติกาโมจดหมายหลวงอุดมสมบัติเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ที่บันทึกโดย หลวงอุดมสมบัติ (จัน) ซึ่งเป็นขุนนางในกรมพระคลังสินค้าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื้อหาของจดหมายชุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างการปกครองหัวเมืองปักษ์ใต้และหัวเมืองประเทศราชในคาบสมุทรมลายู การบริหารราชการแผ่นดิน และการขยายอำนาจของสยามไปยังดินแดนดังกล่าว โดยมีการจัดการความสัมพันธ์ทางการเมืองกับหัวเมืองใหญ่ เช่น นครศรีธรรมราช และสงขลา เอกสารนี้ยังแสดงให้เห็นถึงบทบาทของจักรวรรดินิยมอังกฤษในภูมิภาค และความพยายามของสยามในการรักษาอธิปไตยผ่านการวางกลยุทธ์ทางการปกครองที่ซับซ้อน นอกจากนี้ เนื้อหาในจดหมายยังเป็นหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับรูปแบบของระบบราชการไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งยังคงได้รับอิทธิพลจากระบบการปกครองของกรุงศรีอยุธยา ด้วยความละเอียดของข้อมูลทางประวัติศาสตร์ จดหมายหลวงอุดมสมบัติ จึงถือเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ในการศึกษาการบริหารราชการแผ่นดินไทยในยุคต้นรัตนโกสินทร์
- «
- 1 (current)
- 2
- 3
- »
