ปราโมทย์ ยอดแก้วกิตติศักดิ์ วสันติวงศ์พนม สุวรรณประเทศกฤษณพร ประสิทธิ์วิเศษสุธาทิพย์ เลิศวิวัฒน์ชัยพรสุรพงษ์ วงศ์พลับ2025-08-132025-09-032025-08-132025-09-03https://ebooks.dusit.ac.th/detail.php?recid=2609https://repository.dusit.ac.th/handle/123456789/11991การวิจัยการพัฒนาการตลาดข้าวอินทรีย์ในสังคมไทย เป็นการวิจัยเชิงเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการผลิต และการตลาดข้าวอินทรีย์ตามมาตรฐานของสังคมและ ระบบสากลในประเทศไทย 2) ศึกษาวิเคราะห์ พฤติกรรม แรงจูงใจ ความรู้ ความต้องการ ปัญหา อุปสรรคการผลิต-การตลาดข้าวอินทรีย์ในประเทศ และ3) การพัฒนาการตลาดข้าวอินทรีย์ใน สังคมไทย ประชากรเป็นชาวนา ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคข้าวอินทรีย์ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการผลิตข้าวอินทรีย์โครงการโรงสีข้าวสวนดุสิตและกลุ่มผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ใน จังหวัดสุรินทร์ จํานวน 10 คน และกลุ่มสนทนากลุ่ม จํานวน 4 กลุ่ม จากสมาชิกผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ สวนดุสิต กลุ่มผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ในจังหวัดสุรินทร์ กลุ่มผู้จําหน่ายข้าวอินทรีย์ในกรุงเทพมหานคร กลุ่มผู้บริโภคข้าวอินทรีย์ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมีการระดมความคิดเชิงวิพากษ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด การเกษตรอินทรีย์ และเกี่ยวข้องทางการตลาดข้าวอินทรีย์ ใช้เครื่องมือ แบบมีโครงสร้างการสนทนา และแบบไม่มีโครงสร้างในการสัมภาษณ์เชิงลึก รวมถึงการสังเกตข้อมูล ในพื้นที่จริง และทําการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาบรรยาย การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลสามเส้า และการนําข้อมูลมาจําแนกจัดหมวดหมู่อย่างเป็นระบบ ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการผลิตข้าวอินทรีย์ เป็นระบบการทํานาที่ไม่ใช่สารสังเคราะห์ และการแปรรูปที่ผ่านการรับรองอินทรีย์ การทํานาอินทรีย์จึงไม่ใช่ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และสารเร่งการเจริญเติบโต ทําให้ช่วยลดต้นทุนด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ น้ําหมักชีวภาพ และใช้เทคนิคธรรมชาติกับ การดูแลรักษาด้วยความตั้งใจ ทําให้ได้คุณภาพมาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ IFOAM ยุโรป สวิสเซอร์แลนด์ แคนาดา อเมริกา และสํานักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ตามความต้องการของลูกค้าต่างประเทศ ส่วนการบริโภคข้าวอินทรีย์ในสังคมไทย มาจากระบบมาตรฐานกรมวิชาการ เกษตร ตราออร์แกนิคไทยแลนด์และไม่ได้การรับรองมาตรฐาน ปัจจุบันเริ่มมีการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม(พีจีเอส) หรือ “ชุมขนรับรอง”มากขึ้น เพื่อให้เกิดความสะดวก ทําให้ข้าวอินทรีย์มีมาตรฐานขายได้ราคาสูงขึ้น ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถพึ่งตนเองได้ จากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การบริโภคเกิดจากแรงจูงใจในเรื่องสุขภาวะ การแบ่งปัน และการได้มีส่วนช่วยเหลือสังคม ซึ่งส่วนมากนิยมบริโภคเพราะมีคุณประโยชน์พิเศษ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ จึงควรมีฉลาก คําแนะนําที่ชัดเจนถึงคุณค่า คุณประโยชน์ ในการตัดสินใจซื้อ การเลือกขนาดควรให้ความสําคัญแบบ ระบบสุญญากาศ ปริมาณ 1 กิโลกรัม เพราะสะดวกในการซื้อ และการเก็บรักษา ด้านราคาต้องยุติธรรมเหมาะสมกับคุณภาพและไม่แตกต่างจากราคาข้าวทั่วไปมาก ด้านการจัดจําหน่ายยังมีการ กระจายตัวได้น้อย มีลูกค้าเฉพาะกลุ่ม จึงต้องการให้มีการจําหน่ายในตลาดสดทั่วไปเพิ่มขึ้น ด้านการ ส่งเสริมการตลาดมีน้อยมาก โดยเฉพาะการสื่อสารที่ทําให้เกิดความรู้ความเข้าใจในความเป็นข้าวอินทรีย์ จึงควรมีการสื่อสารเล่าเรื่อง กระบวนการแห่งคุณค่า คุณประโยชน์ เพื่อสร้างจิตสํานึกให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความรับผิดชอบร่วมกันในสังคมไทย ดังนั้นการพัฒนาการตลาดข้าวอินทรีย์ในสังคมไทย จึงต้องรู้จักการหาโอกาสทางการตลาด เพื่อการพัฒนาการตลาด 3 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นแรกเป็นการพัฒนาชาวนาให้มีจิตวิญญาณเกษตรอินทรีย์ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในกระบวนการปลูกแบบมาตรฐาน และสามารถพัฒนาพื้นที่เป็น แหล่งเรียนรู้หรือเพื่อการท่องเที่ยวได้ 2) ขั้นที่สองเป็นการผลิตที่เน้นคุณภาพ โดยการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ถึงคุณค่าต่อความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาการตลาดไปสู่การตลาดดิจิตอล และ3) ขั้นที่ สามเป็นการบูรณาการส่งเสริมการตลาดอินทรีย์เชิงรุกอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการมีตลาดนัดสีเขียว การจําหน่ายกับองค์การหน่วยงานของรัฐ กระตุ้นให้ผู้บริโภคในสังคมไทยเกิดความรู้ความเข้าใจ ด้วยการพัฒนาการตลาดร่วมกันของทุกภาคส่วนตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ําตามสภาพแวดล้อมของวิถีสังคมไทยข้าวอินทรีย์ข้าวอินทรีย์ -- นวัตกรรมทางเทคโนโลยีการพัฒนาการตลาดข้าวอินทรีย์การพัฒนาการตลาดข้าวอินทรีย์ในสังคมไทย